8.เป่ากระหม่อม (ทำไม)
“ไอ้ป้องไปบอกแม่กับคนอื่นให้ออกมาจากห้องพระได้แล้วไป น้องโฉมมาช่วยหลวงเก็บของหน่อย”
“ค่ะ”
“ครับ พี่หลวงฉัคร”
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นทุกคนก็ต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน น้องสาวพ่อหมออย่างโฉมสะคราญลุกขึ้นไปช่วยพี่ชายเก็บของเข้าที่ ลูกศิษย์ชื่อป้องเดินออกไปด้านนอกเพื่อตามคนอื่นๆ
ส่วนบัวที่มีหน้าที่แค่มาเป็นเพื่อนตั้งแต่แรกนั้นก็ทำตัวให้มีประโยชน์ด้วยการเดินไปช่วยเด็กสาวรุ่นน้องเก็บของด้วย
“มาพี่ช่วยค่ะ”
“ขอบคุณค่ะพี่บัว”
ด้านพี่อนงค์ลุกขึ้นมาช่วยประคองทออรุณลงจากตั่งไม้ เพื่อที่น้องโฉมและบัวจะได้เก็บเสื่อกกไปม้วนและเก็บอุปกรณ์อื่นๆเข้าที่ได้อย่างสะดวก เมื่อเห็นว่าทุกอย่างดูจะคลี่คลายแล้วจึงหันไปเอ่ยถามคนที่เพิ่งให้การช่วยเหลือน้องสาวของตนไปเมื่อครู่
“เรียบร้อยแล้วนะเณร”
“ครับ แต่ให้น้องนอนบ้านผมสักสองสามคืนนะครับพี่อนงค์ เดี๋ยวให้น้องโฉมกับไอ้ปราบไอ้ป้องช่วยพาไป” ฉัตรจักรพยักหน้าขณะที่ตอบอย่างสุภาพ แต่เนื้อความกลับทำเอาทออรุณถึงกับหน้าเหรอหรา
เพราะแม้ไม่ได้กลับบ้านนานถึงสองปี แต่เธอรู้ดีว่าคำว่า ‘บ้านผม’ นั้นไม่ได้หมายถึงบ้านใหญ่ด้านหน้า หรือแม้กระทั่งสำนักไวศรวณที่พวกเรายืนกันอยู่นี้
ทว่าหมายถึงบ้านของเจ้าตัวจริงๆ ที่สร้างแยกอยู่ด้านหลังแต่อยู่ในที่ดินผืนเดียวกัน เธอรู้เรื่องนั้นเพราะสนิทสนมกับน้องโฉมเป็นอย่างดี กลับบ้านมาทีจึงได้รู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายอยู่ตลอด
“อาการยังไม่ค่อยน่าไว้ใจ อยู่ใกล้มือเกิดเป็นอะไรผมจะได้ช่วยทัน โดนน้ำมันพรายน้ำมันผีแบบนี้ต่อให้ขับออกแล้วแต่จะให้หมดในครั้งเดียวมันยาก ไม่ได้มาขับออกตั้งแต่โดนแรกๆด้วย”
ยิ่งยืนฟังทออรุณก็ยิ่งอยากจะจะบ้า เรื่องเหตุผลน่ะเข้าใจอยู่ว่าทำไมถึงอยากให้นอนค้างที่นี่ แต่จะต้องถึงขั้นให้ไปนอนบ้านตัวเองทำไมในเมื่อพูดด้วยนับคำได้ หน้ายังไม่อยากมองเลยด้วยซ้ำ แบบนั้นไปอยู่บ้านหลังเดียวกันไม่อึดอัดแย่เหรอ
ที่จริงถ้าจะให้อยู่ที่นี่ให้นอนบ้านใหญ่ของป้าทิพย์กับน้องโฉมก็ได้ มันก็อยู่ในรั้วต้นทับทิมของตระกูลไวศรวณเหมือนกัน
“จริงด้วยสิ งั้นพี่ฝากเณรช่วยดูน้องด้วยนะ ตอนนี้พี่ก็เหมือนเหลือน้องสาวคนเดียว อรัญเขาไปอยู่ต่างประเทศกว่าจะได้กลับมาก็อีกนาน” ทว่าขณะที่กำลังจะอ้าปากค้าน จู่ๆพี่อนงค์ก็ชิงรับปากอีกฝ่ายไปก่อนโดยไม่ถามความเห็นเธอเลยสักคำ
“ครับ คนบ้านเดียวกันผมช่วยเต็มที่อยู่แล้ว”
ทั้งสองคนคุยกันเสร็จสรรพจนทออรุณได้แต่อ้าปากค้าง ยิ่งเห็นว่าดวงตาคมนั้นเหลือบมามองแว้บหนึ่งก่อนหันไปพยักหน้ายิ้มๆกับพี่อนงค์ก็ยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจ
แต่ครั้นจะหันไปหาแรงสนับสนุนจากบัวอีกฝ่ายก็ยืนหัวร่อต่อกระซิกกับน้องโฉมอย่างออกรส ไม่ได้หันมาสนใจเพื่อนอย่างเธอเลยแม้แต่น้อย ทออรุณได้แต่เข่นเขี้ยวในใจยามที่หันกลับมา
“อะ เอ่อ น้องให้บัวนอนเป็นเพื่อนด้วยได้ไหม บัวคงไม่สะดวกไปนอนบ้านพี่อนงค์คนเดียว” เมื่อไม่ได้ความช่วยเหลือจากเพื่อนเท่าที่ควรหญิงสาวจึงหันมาเอ่ยขอกันเขาตรงๆ ก่อนหันไปขมวดคิ้วใส่พี่สาว
ด้านฉัตรจักรเหล่ตาไปมองบัวที่หันหลังคุยกับน้องสาวของตัวเองอย่างออกรส ในใจนึกถึงวิญญาณผู้หญิงสวมสไบที่ได้ไปล่วงรู้เห็นมา ต่อให้รู้สึกไม่ถูกชะตานักตั้งแต่เห็นหน้าแต่ให้อีกฝ่ายนอนห้องเดียวกับทออรุณคงดีกว่า
เพราะมองแว้บเดียวเขาก็ดูออกแล้วว่าเด็กคนนี้เป็นคนมีวิชาติดตัว มีบุญบารมีหนุนนำมาจากอดีตชาติ มีเครื่องรางของขลังติดตัวหลายอย่าง สายสิญจน์ที่ข้อมือของทออรุณก็คงเป็นของเจ้าตัวนั้นแหละ
ตอนอยู่กรุงเทพคงพึ่งพาคนๆนี้อยู่ถึงมีชีวิตรอดมาได้
เพราะคิดแบบนั้นใบหน้าคมคายจึงพยักขึ้นลงเป็นเชิงอนุญาต ก่อนหันไปกำชับน้องสาวให้ช่วยพาทออรุณไปที่บ้านตัวเอง แล้วลาพี่อนงค์จากนั้นจึงเดินออกไปจากห้อง
ตั้งแต่ต้นจนจบบทสนทนาหลังจบไม่ได้พูดกับเจ้าตัวอย่างเธอเลยสักคำ ตอกย้ำสิ่งที่หญิงสาวเพิ่งต่อว่าอีกฝ่ายในใจไปเมื่อครู่
บางทีทออรุณก็ไม่แน่ใจว่าฉัตรจักรเกลียดเธอมากหรือกลัวดอกพิกุลร่วงกันแน่ ดูท่าคงจะเป็นอย่างแรกเพราะหากกลัวดอกพิกุลร่วงจริงคงไม่พูดกับคนอื่นปกติ แต่กับเธอทำหน้าเหมือนอยากกลั้นใจตาย
แต่จะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ ขอแค่เธอไม่ต้องอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับอีกฝ่ายตามลำพังก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อยมีบัวมาอยู่เป็นเป็นเพื่อนด้วยมันก็ดีกว่า
ช่วงกลางดึกในคืนนั้น ตัวล็อคประตูโลหะค่อยๆบิดหมุนกลับด้านอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่ไม่นานประตูไม้บ้านใหญ่จะถูกผลักเข้ามาด้านในเบาๆท่ามกลางแสงสลัวของโคมไฟหัวเตียง
ปากหยักยังคงขยับขมุบขมิบบริกรรมคาถาเพื่อให้คนในห้องหลับสนิทแล้วจึงค่อยเดินเข้ามาด้านใน คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าบนเตียงมีเพียงทออรุณเท่านั้นที่นอนอยู่ ส่วนอีกคนระเห็จระเหลงมาปูผ้านวมนอนบนพื้น
ฉัตรจักรหยุดยืนมองอีกฝ่ายอยู่ชั่วครู่พลางหาเหตุผลว่าทำไมบัวบูชาถึงไม่ขึ้นไปนอนกับเพื่อนทั้งที่เตียงก็กว้าง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี สุดท้ายจึงละวางความคิดนั้นไปเสียก่อนจะเดินอ้อมเตียงไปอีกฝั่ง
ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวเข้าชุดกับโสร่งสีดำพิมพ์ลายแขกหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงแผ่วเบา ดวงตาคมกริบมองใบหน้าจิ้มลิ้มขาวสว่างของคนที่ยังนอนหลับสนิทนิ่ง สายตาไล่มองเนื้อตัวไร้ซึ่งริ้วรอยช้ำม่วงเหมือนตอนที่เพิ่งมาถึง
ในใจคิดว่าหน้าตาของเธอเปลี่ยนไปอย่เหมือนกัน แม้หน้าตาจะยังน่ารักน่าชังเหมือนเดิมทว่าต่างกับเมื่อช่วงอายุสิบแปดปีที่เขาได้เห็นหน้าอยู่บ่อยๆ
หลังจากขึ้นไปเล่าเรียนที่กรุงเทพถึงจะได้กลับมาเยี่ยมพี่สาวบ้าง แต่ทออรุณเป็นคนติดบ้านไม่ค่อยชอบออกไปไหนทำให้ไม่ค่อยได้เห็นหน้าเท่าไหร่ จะได้เห็นสักทีก็ตอนเธอตามพี่อนงค์ไปทำบุญที่วัด หรือมีงานอะไรในหมู่บ้าน
ยิ่งเรียนจบแล้วหญิงสาวก็ยิ่งไม่ค่อยได้กลับมา พี่อนงค์เคยบอกแม่กับน้องสาวเขาว่าเธอทำงานเป็นนักข่าวมือฉมังในโต๊ะอาชญากรรม งานทั้งเยอะและหนักจึงไม่มีเวลากลับ
ชายหนุ่มนั่งมองเธอนิ่งอย่างเผลอไผลอยู่อย่างนั้น กระทั่งเมื่อได้ระลึกได้สติเตือนตัวเองว่ากำลังทำตัวเหมือนคนโรคจิต กายแกร่งจึงขยับขึ้นไปนั่งใกล้กับช่วงหัวไหล่ของเธอ เพื่อทำจุดประสงค์แรกที่เธอเข้ามาที่นี่
แขนแกร่งเอื้อมคร่อมร่างเล็กจ้อยที่เหมือนจะผอมลงกว่าแต่ก่อนมากก่อนจะค้ำร่างกายไปกับที่นอนนุ่มและโน้มกายลงเล็กน้อย ปลายนิ้วปัดเอาผมหน้าม้าสีบลอนด์ออก
ปากขยับบริกรรมคาถาแล้วเป่าลงบนหน้าผากของเธอเบาๆ ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามารังควานในฝันได้อีก เพราะดูจากหน้าตาที่อิดโรยเธอคงไม่ได้หลับเต็มตามาหลายคืนแล้ว มาอยู่ที่นี่จะได้นอนหลับสนิทเต็มตื่นไปจนเช้า
เมื่อเป่ากระหม่อมเสร็จเรียบร้อยแล้วฉัตรจักรก็ยังนั่งมองเธออยู่อย่างนั้นต่ออีกพักใหญ่ นัยน์ตาคมพินิจใบหน้าหมวยในแสงโคมไฟนิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนจะเคลื่อนลงมามองสายสิญจน์แล้วเหลือบมองเจ้าของที่นอนอยู่ข้างล่าง
กระทั่งระลึกได้อีกครั้งว่ากำลังทำเรื่องประหลาดอีกแล้วจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะออกจากห้องไปแล้วปิดประตูล็อกให้อย่างเงียบเชียบ
เมื่อออกมาแล้วเสียงทุ้มก็เอ่ยสั่งกุมารน้อยแฝดสองตนให้เฝ้าที่หน้าห้องห้ามคลาดสายตา ถึงบ้านหลังนี้จะปลอดภัยแต่หากมีอะไรผิดให้ไปปลุกเลยไม่ต้องกลัว
โดยที่ฉัตรจักรไม่รู้เลยว่ามีคนหนึ่งในห้องที่ไม่เพียงดวงแข็งแต่ยังหัวแข็งมาก นั่นก็คือบัวที่กำลังนอนลืมตาโพลงอยู่ในห้อง และพยายามเงี่ยหูฟังว่าเขาพูดกับใครที่หน้าห้อง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงของเจ้าของบ้าน
แต่ต่อให้ไม่ได้ยินเธอก็รู้นั่นแหละว่าอีกฝ่ายคงกำลังสั่งผีบริวารให้เฝ้าทออรุณไม่ผิดแน่
เมื่อครู่บัวไม่ได้หลับแต่ยังนอนเล่นมือถือเช็คนั่นนี่ไปเรื่อย เมื่อได้ยินเสียงตัวล็อคลั่นจึงรีบแกล้งหลับอย่างแนบเนียน เพราะตั้งแต่แรกก็ไม่คิดว่าจะเป็นโจรขโมย เนื่องจากวิธีการเข้ามันผิดมนุษย์มนา
นอกจากเข้าทางประตูแล้วเสียงเสียบกุญแจก็ไม่มีสักแอะ แต่ตัวล็อกกลับลั่นจากด้านในได้แบบนี้ต้องเป็นคนมีวิชาอาคมแก่กล้า แล้วในรั้วสำนักไวศรวณนี้จะมีใครทำได้อีกนอกจากคนที่เธอคิดเอาไว้
พอลืมตาขึ้นมาดูจึงได้รู้ว่าตัวเองเดาไม่ผิด
เป็นพ่อครูฉัตรหรือที่คนที่นี่เรียกพ่อหมอฉัตรนั่นแหละใช้คาถาสะเดาะลูกบิดประตูเข้ามาในห้อง เธอเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดว่าผู้ชายคนนั้นมานั่งมองเพื่อนสนิทตั้งนานสองนาน
เป่ากระหม่อมให้แล้วก็ยังนั่งมองอีกพักใหญ่ ก่อนจะเดินออกไปเงียบๆเหมือนไม่อยากให้ใครรู้
บัวบูชามั่นใจว่าเดาความหมายในสายตาของอีกฝ่ายตอนที่มองทออรุณไม่ผิดแน่ คิดถูกจริงๆที่เปลี่ยนใจพาเพื่อนกลับใต้ แทนที่จะทู่ซี้พากลับสุรินทร์แบบเดิม
เธอต้องรู้ให้ได้ว่าระหว่างสองคนนี้มามันยังไงกันแน่!!
นอกรั้วต้นทับทิมที่ปลูกแซมด้วยต้นหนาดซึ่งล้อมรอบที่ดินบริเวณบ้านของตระกูลไวศรวณ ปรากฏร่างของหญิงสาวนางหนึ่งในชุดสไบสีม่วงกับผ้านุ่งลายอย่างอันงดงามวิจิตร ทว่าเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตที่ไหล่บ่าลงมาจากลำคอที่หักเอียงกระเท่เร่
มือเปื้อนเลือดประดับไปด้วยเล็บสีดำจับศีรษะของตัวเองให้ตั้งตรง เกิดเป็นเสียงลั่นของกระดูกอยู่ในความเงียบ ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความเคียดแค้นมองไปยังสำนักไวศรวณที่ตนเข้าไปไม่ได้นิ่ง
จิตสังหารแรงกล้าพุ่งตรงไปยังบ้านทรงไทยประยุกต์ใต้ถุนสูงที่ตั้งอยู่ด้านในสุดทว่าไม่อาจเล็ดลอดกำแพงแก้วเจ็ดชั้นที่ครอบที่ดินทั้งผืนเข้าไปได้ ไม่ว่าชาติไหนก็มีแต่คนกางปีกปกป้องมันอยู่ร่ำไป
น่าโมโหนัก!!
“คิดว่าจักช่วยมันได้ฤา ตามปกป้องให้ได้ตลอดก็แล้วกันนะเจ้าคะ คุณพี่ภพ”
