บทย่อ
ตั้งแต่เกิดมา 'ทออรุณ' เคยคิดว่าการเห็นผีตั้งแต่เด็กนั้นเหมือนชีวิตต้องสาป ทว่าการโดนทั้งเจ้ากรรมนายเวรตามเอาชีวิต ทั้งโดนผีพ่อม่ายจ้องจับทำเมียนั้นแย่ยิ่งกว่า และที่แย่ยิ่งกว่านั้น... ก็คือการที่แทบเอาชีวิตไม่รอดจนต้องกลับมาพึ่งพา 'ฉัตรจักร' หรือหลวงฉัตร เณรฉัตร ไอ้ฉัตร!! คนที่เธอเกลียดขี้หน้าที่สุด แต่จะไม่พึ่งก็ไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายดันเป็นคนเดียวที่จะทำให้เธอรอดจากเรื่องบ้าบอพวกนี้ "อยากให้เรียกหลวงก็หยุดกวนน้องก่อนสิ ไม่งั้นน้องจะเรียกไอ้ฉัตร!!" "ดื้อนักเดี๋ยวน้องจะโดนหลวงไอ้ฉัตรเขกหัวนะ อิตัวดี" หมายเหตุ : ในเรื่องมีการใช้ภาษาใต้ (ชุมพร) มีคำแปลค่ะ ปล. จบดี ไม่มีนอกกายนอกใจ เชิงอรรถ หลวง = พี่ (คนใต้มักเรียกผู้ชายที่บวชเรียนแล้วและอายุมากกว่าว่าหลวง หากอายุน้อยกว่าจะเรียกว่าเณร ไม่ได้หมายความว่ายังเป็นพระหรือเณรแต่อย่างใด) คำเตือน นิยายเรื่องนี้กล่าวถึงสิ่งลี้ลับ ไสยศาสตร์ มีฉากสยองขวัญ ผี สัมภเวสี และความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
1.อารามภบท
ตีสองห้าสิบเก้า
ท่ามกลางความมืดภายในห้องนอนขนาดเล็ก บนเตียงนุ่มขนาดหกฟุตมีร่างผอมบางของหญิงสาวที่กำลังนอนหลับสนิท
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังอยู่ในความเงียบ เช่นเดียวกับหน้าอกที่สะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะ คลอไปกับเสียงของเข็มนาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาผนัง
ตีสาม
ทว่าในความสงบ ไม่ได้มีเพียงช่วงอกของหญิงสาวเท่านั้นที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ แต่กลับมีก้อนของบางสิ่งปูดขึ้นมาจากหน้าท้องบาง เพราะเธอซึ่งสวมเพียงเสื้อสายเดี่ยวกางเกงขาสั้นนอนแถมยังติดนิสัยถีบผ้าห่ม ตอนนี้จึงแทบไม่มีอะไรคลุมกาย
ก้อนนั้นค่อยๆปูดขึ้นมาจนมีขนาดเท่ากำปั้น มันเคลื่อนวนไปมาอยู่ชั่วครู่บริเวณช่องท้องก่อนจะแตกตัวเป็นเก้าส่วน ไม่นานไอสีดำก็ค่อยๆคืบคลานออกมาจากทวารทั้งเก้า
รูหูทั้งสองข้าง
จมูกสองรู
ปากหนึ่ง
ทวารหนักหนึ่ง
ทวารเบาอีกหนึ่ง
เมื่อออกมาแล้วมันก็ลอยวนเวียนลามเลียไปตามร่างกายขาวผ่อง ก่อนที่ทั้งเก้าส่วนจะพุ่งไปที่ปลายเตียงแล้วรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว มันค่อยๆก่อตัวเชื่องช้าจนเป็นรูปร่างของผู้ชายตัวสูง
จากควันดำเริ่มปรากฏเป็นใบหน้าและลำตัวส่วนบนที่จางเกินกว่ามนุษย์ไปหลายขุม ดวงตาหม่นแสงทว่าแฝงไปด้วยความลุ่มหลงของ ‘มัน’ มองหญิงสาวที่ยังนอนอยู่บนเตียงหวานหยดย้อย
รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นบนใบหน้ายามที่ไล้สายตาไปตามเรือนร่างอรชรงามล้ำน่ามอง ไม่ต่างจากตอนที่อายุสิบแปดปีที่ได้เจอกันครั้งแรก น่าเสียดายที่คืนนี้มันอ่อนแรงจากมนตร์คาถาของอีหญิงวิปริตสาระแนที่เป็นเพื่อนของเธอ จึงไม่อาจทำอะไรได้มาก
ช่างแส่นัก!
แต่แม้อยากกำจัดไปให้พ้นทางก็ทำไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้มีบุญญาธิการมาเกิด มีบารมีมากล้นจุติมาจากภพเทวดา มีของดีคุ้มตัวจนแตะต้องไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ
ไม่เพียงแค่ตัวเอง แต่บางครั้งก็ยังร่ายคาถาใส่เธอจนแทบจะแตะต้องไม่ได้ บางคราวที่มาอยู่ใกล้ตัวมันก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปหลบในเงามืด
“เมียพี่ ”
เสียงทุ้มนั้นเบาหวิวไม่ต่างจากสายลม มันย่อตัวลงขณะที่ไล่สายตามองเรียวขาสวยซึ่งโผล่พ้นกางเกงขาสั้น มือที่ยังเป็นเพียงกลุ่มหมอกควันยื่นเข้าไปแตะที่ปลายเท้า ก่อนชะงักเล็กน้อยเพราะความร้อนจากประกายสีทองที่แผดเผา
แต่แม้จะแสบร้อนมันก็ยอมทน ขอเพียงได้ต้องกายนี้แม้ต้องเจ็บปวดยิ่งกว่าเป็นร้อยเท่าทบทวีก็เต็มใจ แค่ให้มันได้เป็นคู่ชูชื่น ได้มีโอกาสเสพสมและครอบครอง
มากกว่าที่เคยได้ครองมาตลอด
“งามเหลือเกินคนดี ”
แต่อีกไม่นานหรอก เที่ยงคืนวันพรุ่งนี้สิ่งที่มันหวังมาเนิ่นนานก็จะเป็นจริงดั่งใจนึก เมื่อวันเกิดปีที่ยี่สิบห้าของเธอมาถึงจะมีอีนังนั่นสักกี่คนก็ไม่อาจช่วยได้ เข้าสู่เบญจเพสเมื่อใด เธอก็จะตกเป็นของมันแต่เพียงผู้เดียว!!
ช่วงเย็นของวันถัดมา
“อืมถึงแล้ว ฉันซื้ออาหารใต้มาเผื่อด้วยแกจะขึ้นมากินไหม ร้านนี้เจ้าของเป็นคนบ้านเดียวกับฉันเลยนะ อร่อยมากเหมือนที่แม่เคยทำให้กินเลย”
“โอเค รีบมานะ อย่าลืมเอาน้ำเต้าหู้มาให้ด้วยนะ สิบปีแล้วฉันก็ยังไม่ได้กินฝีมือแกเลยเนี่ย”
“เออจ้า รสชาเขียวนะ”
มือขาวลดโทรศัพท์ที่แนบหูลงขณะที่หันไปล็อกประตูเพิ่มอีกชั้นเพื่อความสบายใจ ทออรุญ เดินไปวางกระเป๋าลงบนโซฟาก่อนจะเดินถือถุงอาหารไปวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เดินไปหยิบจานมาจัดการเทกับข้าวเพื่อรอเพื่อนสนิท
ส่วนตัวเธอนั้นกินมาตั้งแต่ช่วงเย็นแล้วเพราะว่าพี่ๆที่ทำงานด้วยกันมาหลายปีพาไปเลี้ยงส่ง เนื่องจากวันนี้เป็นวันทำงานในฐานะนักข่าววันสุดท้าย ก่อนที่พรุ่งนี้จะได้มาเป็นนักเขียนอิสระเต็มตัวเสียที
การเป็นนักข่าวโต๊ะอาชญากรรมถือเป็นหนึ่งในความฝันของทออรุณ แรกเริ่มเธอมีแพชชั่นในการทำงานมาก ตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆมีไฟในการทำงานอยู่ตลอด สามารถนอนดึกตื่นเช้าหรือไปทำข่าวข้ามวันข้ามคืนได้
ไม่ว่าจะน่ากลัวแค่ไหน สภาพศพแย่เท่าไหร่ก็ไม่เคยหวั่น ลำลากลำบนแค่ไหนก็ไม่เคยบ่นสักคำจนได้ฉายาว่า ‘เต้าหู้ขาลุย’ ในตอนนั้นหลายคนเคยถามเธอว่าเพราะอะไรถึงได้ไม่กลัว หญิงสาวเองก็ตอบไม่ได้ บางทีตอบได้ก็กลัวจะไม่มีใครเชื่อ
ทว่าเมื่อเวลาผ่านมาเข้าปีที่สามพลังเหล่านั้นกลับหายไปโดยไม่รู้ตัว เธอรู้สึกได้ว่าร่างกายที่ใช้มาอย่างหนักอ่อนแรงลง เมื่อร่างกายเริ่มอ่อนแอจิตใจก็พาลห่อเหี่ยวไปด้วย
บวกกับช่วงหลังทออรุณกลับมาเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น ได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยินอย่างไม่รู้สาเหตุ ทั้งที่เซ้นส์การเห็นผีของเธอมันหายไปตั้งแต่ตอนอายุสิบแปดหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น เวลาผ่านมาหกปีกว่าก็ไม่เคยเห็นอะไรเลย
ทว่ามันกลับมาเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งเมื่อเธอไปทำข่าวฆ่าข่มขืนเด็กมัธยมปลายเมื่อราวสามเดือนก่อน ทออรุณที่คิดว่าตัวเองไม่เห็นสิ่งลี้ลับแล้ว ได้เห็นวัยรุ่นผู้หญิงสวมชุดนักเรียนมายืนอยู่หน้าที่เกิดเหตุ
ตอนแรกที่เห็นก็ไม่ได้สนใจอะไรคิดว่าคงเป็นลูกหลานชาวบ้านแถวนั้นมายืนดูตามประสาไทยมุง แต่พอเข้าไปเห็นศพก็ถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นไม่ใช่คน
หลังจากนั้นไปทำข่าวที่ไหนเธอก็มักจะเห็นวิญญาณอยู่บ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้การต้องไปทำงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนตายอยู่ทุกวันจึงทำให้ทออรุณทรมานมาก
ด้วยความที่อยากหลุดพ้นจากตรงนั้น เธอจึงปรึกษาเพื่อนสนิทอย่าง บัวบูชา และตัดสินใจเบนสายมาเป็นนักเขียนนิยายตามอีกฝ่าย แน่นอนว่าเพราะมีพื้นฐานด้านงานเขียนอยู่แล้วทุกอย่างมันจึงง่าย
วันพรุ่งนี้บทใหม่ของชีวิตเธอก็จะเริ่มขึ้นจริงๆแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“มาไวจัง” หญิงสาวหน้าหมวยละมือจากถุงแกงคั่วกระดูกหมูที่เพิ่งแกะยางออกเสร็จขระที่เอ่ยประโยคนั้น เธอปัดมือเล็กน้อยขณะที่เดินไปที่หน้าประตู
ทว่าแม้รู้ว่าต้องเป็นเพื่อนแน่ๆทออรุณก็ยังไม่ได้เปิดประตูในทันที เธอเลือกจะส่องตาแมวก่อนเพื่อความปลอดภัย แต่เมื่อไปแล้วหัวคิ้วสวยก็พลันต้องขมวดเข้าหากัน เพราะด้านหน้าห้องนั้นไม่มีใครยืนอยู่เลย
อะไรบางอย่างทำให้ขนบนตัวทุกเส้นลุกเกรียวอย่างไร้สาเหตุ
ทออรุญถอยใบหน้าออกจากประตูเล็กน้อยแต่ก็ยังอยู่ในระยะที่มองเห็น แม้จะรู้สึกกลัวขึ้นมาแต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไร เพราะในเหตุการณ์แปลกประหลาดแบบนี้ไม่ทักคงดีที่สุด

