บท
ตั้งค่า

7.ขับน้ำมันผี

“นอนให้ตีนเลยออกไปสักหน่อย แล้วทำจิตใจให้สงบ”

น้ำเสียงของคนที่นั่งอยู่บนตั่งไม้สักทองนั้นทรงอำนาจ เช่นเดียวกับใบหน้านิ่งสนิท ทออรุญมองไปยังเสื่อกกสีน้ำตาลอ่อนที่ปูอยู่บนตั่งอีกหนึ่งตัวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอีกฝ่ายนัก มีหมอนสี่เหลี่ยมใบใหม่วางอยู่ฝั่งหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปหย่อนตัวนั่ง

เธอมองไปรอบกายเห็นพานกระทงขนมโคแบบไม่คลุกมะพร้าวและขนมอื่นๆที่ดูคล้ายกันอีกสองกระทง ถัดจากนั้นเป็นพานเทียนแพที่โดนแกะเทียนแยกออกจากกันแล้ว

มีก้านกล้วยที่เลาะใบออกทั้งหมดเสียบขวางด้วยไว้ด้วยไม้แท่งเจ็ดอันวางไว้บนโต๊ะตัวเล็ก ใกล้กันมีใบบอนขนาดใหญ่อีกหนึ่งใบและใบตองหนึ่งพับ ซึ่งเธอเดาไม่ออกว่าเขาจะเอามันมาทำอะไรกันแน่

ชุดที่หญิงสาวสวมใส่อยู่ในตอนนี้เป็นชุดสีขาวแขนยาวขายาวเหมือนชุดเวลาไปถือศีลที่วัด เพราะแบบนั้นการลุกนั่งจึงทำให้ไม่ต้องระวังมากนัก เธอเอนกายนอนลงหนุนหมอนสี่เหลี่ยมแล้วหลับตา

ตอนนี้ในห้องทำพิธี คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมีเพียงน้องโฉม บัว และพี่อนงค์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้นั่งอยู่ในห้องด้วยนอกเหนือจากนั้นฉัตรจักรหรือหมอฉัตรสั่งห้ามเข้าเด็ดขาด

ทุกคนต้องไปนั่งรวมกันที่ห้องพระอีกห้องเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนสิ่งชั่วร้ายลมเพลมพัดเข้าตัว โดยเฉพาะเด็กสองคนซึ่งเป็นลูกของพี่อนงค์และหลานของเธอนั้นได้รับสายสิณจน์ไปคนละเส้น และมีพี่กิจคอยดูแลอีกที

ด้านฉัตรจักรเมื่อเห็นว่าทออรุณทำตามที่ตนบอกแล้วก็พยักหน้าให้ลูกศิษย์หนึ่งในสองคนที่นั่งพับเพียบอยู่บนพื้นมาหยิบใบบอนมาวางที่ปลายเท้าของหญิงสาว

ส่วนอีกคนเอาเทียนไปจุดแล้วตั้งบนไม้ที่เสียบขวางก้านกล้วย ก่อนจะหยิบใบตองที่พับเอาไว้อย่างเรียบร้อยมาคลี่ออกแล้วเอาไปวางบนพื้นใกล้พานใบบอน จากนั้นจึงหยิบเอากระทงใบตองใส่ขนมมาวางทับ

ของพวกนี้ล้วนเป็นของเซ่นล่อสัมภเวสีที่อยู่ในร่างกายของทออรุณ

“ประนมมือ” เขากล่าวเพียงสั้นๆแค่นั้นเธอก็ยกมือขึ้นมาประนมอย่างเชื่อฟัง ขณะที่ลืมตาขึ้นหลังจากที่รู้สึกว่าจิตที่แตกซ่านเพราะเรื่องที่ผ่านมาเริ่มนิ่งดีแล้ว “ทำจิตให้นิ่ง แล้วสวดตาม”

“ค่ะ

“อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ…” เมื่อเสียงท่องบทสวดสำเนียงใต้แบบเดียวกับที่ได้ยินในฝันเริ่มขึ้น ทออรุณหลับตาลงตั้งใจสะดับฟังทุกคำที่ไหลผ่านหู และเริ่มสวดตาม

“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ…”

“อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู…”

กระทั่งเขาเอ่ยปากบอกว่าบทต่อไปไม่ต้องสวดแล้ว เธอจึงวางมือที่ประนมอยู่ลงข้างๆตัว

“โอม นะโมพุทธายะ มะอะอุ เยยะๆ สิทธิ พระมหาเถรตำแย สิทธิแท้ เธอมาแก้คน สิทธิคน เธอมาแก้สิทธิผี สิทธิเทวดา อุอะมะ แก้ผ้ายันต์สิทธิ นานา จิเจรุนิ แก้โคณาจะมะหิงสา…”

ภายในห้องเงียบกริบไร้ซึ่งเสียงใด นอกจากเสียงของฉัตรจักรที่ดังกังวานพาให้ใจของทออรุณที่เริ่มสงบอยู่แล้วยิ่งเยือกเย็น หญิงสาวหลับตาวางมือเอาไว้ข้างตัว ฟังบทสวดนั้นด้วยหัวใจที่ค่อยเต้นช้าลง ทว่าบางในกายกลับเริ่มดิ้นเร่ารุนแรง

เธอรู้สึกได้ว่าเลือดในกายเริ่มเดือดปุดๆ เสียงลมพัดหวีดหวิวจากภายนอกเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆจนฟังดูคล้ายมีพายุฝน ตามมาด้วยเสียงกิ่งไม้หักดังระงมและเสียงประตูหน้าต่างปิดปึงปังพาให้ขวัญเสีย

แว่วเสียงหลานสองคนของเธอร้องไห้จ้าลอยมาจากห้องพระ กลิ่นสาปสางเหม็นเน่าบางอย่างลอยอบอวลไปทั้งห้องพาให้ผู้หญิงสามคนที่นั่งประนมมืออยู่บนพื้น ไม่เว้นแม้แต่บัวบูชายกมือขึ้นปิดจมูก

“พกะระ สะธาวิปิ ปะสะอุ แก้รูปวิชชาธรกินนรีแลปักษี นะมะพะทะ แก้รูปกินนรีแลนนทรีย์ อาวุทธา…” ทออรุณตัวกระตุกเป็นพักๆ เสียงตะโกนของผู้ชายที่เคยได้ยินดังขึ้นในหัวบอกให้เธอลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปจากห้องนี้ซ้ำๆ

แต่แม้จะอยากทำตามก็ไม่อาจทำได้ เพราะร่างกายโดนพุทธคุณยึดเอาไว้กับตั่งไม้อย่างแน่นหนา

“อึ่ก!” เธอในตอนนี้รู้สึกเหมือนโดนไฟลามเลียแผดเผาไปทั้งร่าง คล้ายโลหิตที่เคยหล่อเลี้ยงชีวิตบัดนี้กลับกลายเป็นน้ำกรดกัดกินผิวเนื้อและกระดูกให้เจ็บปวดทรมาน

เป็นเช่นนั้นอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงเมื่อโลหะเย็นๆจรดลงบนหน้าผาก ดวงตาสวยเบิกโพลงอย่างโกรธเกรี้ยวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คล้ายกับสูญเสียการควบคุมของร่างกายไปแล้ว

ปากซีดขาวราวศพนั้นอ้าออก แยกเขี้ยวคำรามเสียงแหบต่ำ ไร้ซึ่งเค้าเสียงหวานของทออรุณในยามปกติ ดวงตาที่กำลังมองใบหน้าเย็นชาของคนซึ่งกำลังใช้มีดหมอจรดหน้าผากนั้นเหลือกถลนแดงก่ำจนเกือบจะเป็นสีเลือด

ผิวกายขาวผ่องกลับกลายเป็นซีดคล้ำจากไอสีดำดิ้นเร่าอยู่ใต้ผิวเนื้อ รอยนิ้วมือนับสิบรอยที่ปรากฏอยู่บนตัวเคลื่อนไปมาราวกับมีชีวิต เกิดเป็นภาพน่าสยดสยองในสายตาคนมอง

สำหรับโฉมสะคราญกับบัวบูชานั้นไม่เท่าไหร่ เพราะทั้งสองคนเติบโตมาในตระกูลที่ประกอบอาชีพอยู่ในวงการไสยศาสตร์ จึงรู้สึกเคยชินและครองสติได้ไม่ยาก ทว่าอนงค์ที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดานั้นขนลุกเกรียวตั้งแต่หัวจรดเท้า

มือที่ยกขึ้นไหว้นั้นสั่นระริก ถึงกับต้องขยับไปนั่งเบียดกับบัวและก้มหน้าหลุบตามองพื้นไม่ให้ตัวเองสติแตก

“อ้ากกก!!! ปล่…อ…ย กู”

“นะโมพุทธายะ มะพะ ทะนะ ภะ กะ สะ จะ สัพเพทวาปีสาเจวะ อาฬะวะกาทะโยปิยะ ขัคคัง ตาละปัตตัง ทิสวา…”

เมื่อฉัตรจักรเริ่มลากปลายมีดหมอลงมาจากหน้าผาก ไอสีดำนั้นก็พลันรื้นตามลงไป ผิวพรรณที่อยู่ด้านบนพลันเปล่งปลั่งสดใสทว่าร่างกายเบื้องล่างนั้นคล้ายชักเกร็ง เสียงร้องโหยหวนทรมานคล้ายดังมาจากที่ไกลๆ

ยามที่ปลายมีดลากมาจนถึงคางเขาก็ยกมีดขึ้น แล้วสับคมมีดลงบนร่างของหญิงสาวไล่จากลำคอไล่ลงไปตามลำตัว และทันทีที่คมมีนั้นสับลงไปถึงปลายเท้า

ลมพายุที่กำลังพัดกรรโชกจนได้ยินเสียงกิ่งไม้หักอยู่ด้านนอก ก็พลันเงียบลงจนได้ยินเสียงหายใจ

ทออรุณไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง เธอรู้แค่เพียงตอนนี้ร่างกายที่เคยหนักอึ้งกลับเบาสบายที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่หญิงสาวไม่เห็นแต่ทุกคนในห้องเห็นนั่นคือของเหลวบางอย่างผุดขึ้นจากกลางใบบอนคล้ายน้ำเดือด

มันมีสีดำสนิทคล้ายน้ำมันดิน ส่งกลิ่นคาวเหม็นเน่าคละคลุ้งไปทั้งห้องจนแม้กระทั่งลูกศิษย์สองคนที่ช่วยงานอยู่ ยังต้องยกมือขึ้นมาปิดจมูก

เป็นเช่นนั้นอยู่นานกระทั่งบทสวดครบเก้าจบ ฉัตรจักรลงจากตั่งไม้มาพร้อมสายสิญจน์ ปากหยักยังคงขยับสวดขมุบขมิบไร้เสียงสะกดเวิญญาณที่ออกมาด้วยไม่ให้มันไปทำร้ายใครได้อีก

เขาจับมุมใบบอนนั้นก่อนรวบมันแล้วผูกด้วยสายสิญจน์อย่างระมัดระวัง มือใหญ่รับหม้อดินเผาขนาดกลางมาพร้อมผ้ายันต์ที่ลงอักขระเอาไว้

จัดการใส่ใบบอนที่มีน้ำมันผีตายโหงลงไปด้านในแล้วปิดทับด้วยผ้ายันต์ รัดด้วยสายสายสิญจน์อย่างแน่นหนาปากยังบริกรรมคาถาต่อจนจบบทแล้วเป่าพรวดลงบนผ้ายันต์ทับอีกชั้น

มันยังออกมาไม่หมดหรอก แต่วิญญาณส่วนใหญ่ก็อยู่ในนี้ ที่เหลือต่อให้ยังหลบซ่อนอยู่ในร่างกายของเธอได้ แต่ก็จะอ่อนแรงเกินกว่าจะสามารถทำร้าย ต้องใช้เวลาอีกนานทีเดียวกว่าที่มันจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

“ไอ้ปราบมึงเอาหม้อนี้ไปไว้ในห้อง ไอ้ป้องเอาขันน้ำมนตร์มา” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น มือหนายื่นหม้อนั้นให้ลูกศิษย์ตัวสูงชื่อปราบเพื่อให้มันเอาไปเก็บในห้องเก็บของซึ่งลงอาคมเอาไว้

ที่เขาเก็บเอาไว้แทนที่จะเอาไปทิ้งให้มันกลับไปหาเจ้าของก็เพราะรู้ว่าเจ้าของตัวจริงอย่างปู่เข้มนั้นเสียชีวิตไปแล้ว เหลือก็แค่คนที่ใช้มันสาดทออรุณซึ่งตอนนี้ไร้คนคุ้มกะลาหัว เพราะคนที่สืบทอดวิชาจากปู่เข้มนั้นย้ายไปอยู่จังหวัดอื่นเรียบร้อยแล้ว

ปล่อยไปก็ตายเปล่าแถมจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ให้ต้องมาตามช่วยแก้เสียอีกด้วย หากมันกลายเป็นผีร้ายเที่ยวอาละวาดสร้างความวุ่นวาย

สู้เขาจัดการเองเสียดีกว่า หากยอมรามือง่ายๆเสร็จสิ้นเรื่องทุกอย่างจะได้เอาไปฝากพระอาจารย์ช่วยสวดส่งวิญญาณ ส่งไปอยู่ในภพภูมิที่ถูกที่ควร แต่หากพูดกันไม่รู้เรื่องมันก็จะได้รู้ว่านรกเป็นยังไง

“ครับพี่หลวง”

สิ้นคำตอบรับนั้นลูกศิษย์ที่ชื่อปราบก็เดินถือหม้อดินลงอาคมออกไปจากห้อง ส่วนอีกคนที่ชื่อป้องก็ยกขันน้ำมนตร์ที่มีเศษเทียนและดอกไม้ลอยอยู่มาวางบนตั่งที่หญิงสาวนอนอยู่

ทออรุณมองเหตุการณ์รอบตัวอย่างใคร่รู้ เมื่อเห็นเขาเตรียมจะพรมน้ำมนตร์ให้ก็ยกมือขึ้นพนมแล้วหลับตา

“ลุกขึ้นมานั่ง นอนอย่างนั้นจะพรมน้ำมนตร์ยังไง” ทว่าเมื่อหลับตาไปแล้วอีกฝ่ายกลับพูดออกมาเสียงเรียบติดเข้ม เล่นเอาหญิงสาวถึงกับหน้าแดงก่ำลืมตาโพลงด้วยความอับอาย

“ค…ค่ะ” จำต้องลุกขึ้นมานั่งแล้วประนมมือโดนไม่กล้าสบตากับเขาเลยสักนิด

“ของต่ำพวกนี้โดนตัวแล้วไม่สามารถขับให้หมดได้ง่ายๆ หากมีอาการผิดปกติควรมาขับออกอีก ระหว่างนี้หมั่นสวดมนตร์และตั้งมั่นในความดี อานิสงค์จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา”

น้ำเสียงทุ้มเข้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับกิ่งและใบทับทิมที่ตีลงมาบนศีรษะแผ่วเบา หยาดน้ำมนตร์ประพรมลงบนศีรษะของหญิงสาว อาบล้างสิ่งอัปมงคลที่เคยครอบงำให้หายไปเป็นอันเสร็จพิธี

“ขอบคุณค่ะ” มือสวยยกขึ้นไหว้เมื่อเขาวางที่กำลังพรมน้ำมนตร์ลงในขัน แม้จะเพิ่งทำเรื่องน่าอายไปเมื่อครู่ทว่ายามที่ขอบคุณทออรุณก็เลยขึ้นมาสบตากับเขาอย่างจริงใจ

เพราะแบบนั้นจึงได้เห็นว่าฉัตรจักรพยักหน้าให้เธอเพียงหนึ่งครั้งแล้วเสตาหันไปทางอื่นไม่มองหน้ากันอีก เย็นชาเสมอต้นเสมอปลายจนหญิงสาวพาลสงสัยว่าอะไรทำให้เขาช่วยเธอกันแน่

ทั้งที่ช่วยในฝัน ทั้งที่เรียกให้กลับใต้มาขับของออกแบบนี้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel