6.พิธีขับน้ำมันผี
หลังจากที่คุยกับพี่อนงค์และคุยกันจนเข้าใจแล้ว ทั้งสองคนพากันเก็บของและเดินทางไปสนามบินกันตั้งแต่เช้า ใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่า ช่วงประมาณบ่ายสามทั้งคู่ก็เดินทางมาถึงท่าอากาศยานจังหวัดชุมพรพอดี
แต่กว่าจะมาถึงนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย…
พี่เขยของทออรุณเป็นคนขับรถโฟร์วีลสี่ประตูมารับทั้งสองคนที่สนามบิน เนื่องจากพี่สาวของเธอพาหลานสองคนไปรออยู่ที่สำนักไวศรวณซึ่งเป็นสถานที่ทำพิธีแล้ว
ขับจากสนามบินมาราวยี่สิบกิโลเมตรทออรุณก็เหยียบย่างเข้าสู่หมู่บ้านที่ไม่ได้กลับมาเกือบสองปี พี่อนงค์โทรบอกเธอตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าให้มุ่งหน้ามาที่บ้านของตระกูลไวศรวณเลย เพราะอยากให้ทำพิธีโดยเร็วที่สุด
ด้วยเหตุนั้นแทนที่จะได้เอาของไปเก็บที่บ้านของพี่สาวก่อน ทั้งเธอและบัวบูชาจึงได้มายืนเก้ๆกังๆอยู่ที่หน้าบ้านไม้เก่าแก่ที่ใหญ่โตโอ่อ่าและมีกลิ่นอายของศิลปะทางใต้ชัดเจน ด้านหน้ามีป้ายเขียนว่า ‘ตำหนักไวศรวณ’ เอาไว้
“แขบเข้าไปแลน้อง เขาคอยกันอยู่ข้างในเดี๋ยวจะมืดเสียก่อน” (รีบเข้าไปสิน้อง เขารอกันอยู่ข้างในเดี๋ยวจะมืดเสียก่อน) พี่กิจ ผู้เป็นสามีของพี่อนงค์เดินเข้ามาหาหลังจากที่ล็อกรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“แหะ ค่ะพี่” ด้านทออรุณเมื่อได้ยินแบบนั้นก็หันไปยิ้มแหยให้คนอายุมากกว่า ก่อนจะหันไปหาบัวที่ยืนอยู่ข้างๆเพื่อชวนให้เดินไปด้วยกัน ทว่าเมื่อหันมาแล้วกลับต้องชะงักเพราะฝ่ายนั้นกำลังหรี่ตามองเธอเหมือนจับผิด
“ไปบั…อะไร ทำไมแกมองหน้าฉันอย่างนั้น”
ด้านคนใส่เสื้อแจ็คเก็ตผ้าร่มเข้าชุดกับกางเกงขายาวแบบเดียวกันยกแขนขึ้นกอดอก บัวรอให้พี่เขยของทออรุณเดินเข้าไปก่อน มือเรียวยกขึ้นเกาจมูกเล็กน้อยขณะที่เหลือบมองเข้าไปในบ้านแล้วมองหน้าเพื่อนสนิทที่ยังยืนเลิกคิ้วมองหน้าตนอยู่
“แกกับพ่อหมอฉัตรนี่ยังไง ทำไมถึงดูไม่อยากเจอเขาขนาดนั้น” ทว่าเพียงแค่ประโยคแรกที่ถาม คนโดนถามก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีแถมยังคอแข็งขึ้นมา
“ไม่มีอะไรสักหน่อย ฉันก็ไม่ได้ไม่อยากเจอ”
“เหรอ แต่แกเริ่มหน้าบูดตั้งแต่พี่กิจบอกว่าต้องมาทำพิธีกับหมอฉัตรก่อนเลยนะ แล้วเนี่ย ทั้งที่รู้ว่าเขาช่วยได้แต่มาถึงหน้าบ้านแล้วก็ยังละล้าละลังไม่ยอมเข้าไปสักที”
“...”
“สรุปมันยังไง ฉันสงสัยตั้งแต่แกหลุดเรียกไอ้ทั้งที่เขาแก่กว่าสองปีแล้วนะ” บัวยังคงไม่ลดละ แถมยังยิงคำถามที่ทออรุณตอบไม่ได้และไม่อยากตอบด้วย
“ฉันก็แค่เครียดๆ แกก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ฉันเจออะไรมาบ้าง” คำตอบนั้นยิ่งทำให้คนฟังยิ่งหรี่ตามองมากกว่าเดิม เห็นแบบนั้นคนโดนจับผิดจึงเร่งสาวเท้าเดินเข้าไปด้านใน ทิ้งให้คนขี้สงสัยยังยืนอยู่หน้าบ้านโดยไม่รอ
“...ยังโกหกไม่เนียนเหมือนเดิมเลย” ด้านบัวบูชาเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินหนีก็พาลทอดถอนหายใจพลางส่ายหน้าก่อนจะเดินตาม ไปคาดคั้นตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์ รอให้หลุดเองจะได้รู้อะไรดีๆมากกว่า
เธอมั่นใจว่าเพื่อนกับพ่อหมอฉัตรจะต้องมีความหลังบางอย่างต่อกันแน่
ฝั่งทออรุณที่เดินนำเข้ามาก่อน เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านในห้องรับแขกที่อยู่ชั้นล่างของตัวบ้านแล้ว ก็พบว่ามีหลายคนนั่งอยู่ที่ชุดรับแขกไม้สักทองซึ่งวางอยู่กลางห้อง
มีทั้งครอบครัวของพี่อนงค์ และครอบครัวไวศรวณซึ่งตอนนี้เหลือเพียงป้าทิพย์ผู้เป็นแม่ ลูกชายคนโตและลูกสาวคนเล็กอย่างฉัตรจักรและโฉมสะคราญ เพราะหัวหน้าครอบครัวอย่างลุงเฉิดนั้นเสียไปเมื่อหลายปีก่อน
“อ้าว ลูกอรุณ มาๆๆมานั่งก่อน”
ป้าทิพย์หันมาเห็นเธอเป็นคนแรกก็กวักมือเรียกไหวๆ ทำให้ทุกคนที่กำลังนั่งคุยกันอย่างเคร่งเครียดก่อนหน้านี้หันมามองเป็นตาเดียว
“อรุณ!” ด้านพี่อนงค์พี่สาวคนโตเมื่อรู้ว่าน้องสาวมายืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วจึงรีบลุกจากเก้าอี้ตัวเล็ก ส่งลูกน้อยให้สามีอุ้มก่อนจะเร่งเดินเข้ามาหา
สองพี่น้องกอดกันอย่างแสนคิดถึง มือที่เคยโอบอุ้มมาตั้งแต่น้องสาวคนเล็กเกิดลูบลงบนเรือนผมสีบลอนด์ ไม่นานก็ผละออกเพื่อสำรวจร่างกายของเธอ ทว่าทออรุณนั้นสวมเสื้อวอร์มแขนยาวปิดถึงคอเหมือนบัวจึงไม่อาจเห็นอะไรได้
“เป็นไงบ้าง”
“ก็…ไม่ดีเท่าไหร่ค่ะ” คนหน้าหมวยยิ้มแห้งมองพี่สาวที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกันกับตน เพราะอันที่จริงกว่าจะมาถึงที่นี่ก็ลากเลือด เธอเห็นผีตลอดมาทาง
เพื่อนสนิทต้องทั้งเป่ากระหม่อมทั้งคอยชวนคุยมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในสนามบินต้นทาง ยิ่งลงเครื่องมาแล้วก็ยิ่งต้องเดินก้มหน้าเพราะสัมภเวสีเดินยั้วเยี้ยเต็มสนามบินไปหมดจนแยกไม่ออกว่าไหนคนไหนผี
ขนาดระหว่างที่มาตำหนักไวศรวณยังเจอเดินอยู่ข้างทางบ้าง นั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งไม้บ้าง เห็นเปรตมายืนบ้าง
และทุกอย่างเกิดขึ้นกลางวันแสกๆ
เรื่องเมื่อคืนเหมือนเป็นการเปิดประตูนรกเลยทีเดียว ทออรุณนึกไม่ออกเลยว่าหากไม่ได้บัวเดินทางมาด้วยตอนนี้ตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง บางทีเธออาจจะมาไม่ถึงชุมพรก็ได้
“ไปเถอะ ไปสวัสดีป้าทิพย์กับหลวงฉัตรเขาก่อน” เมื่อได้ยินแบบนั้นพี่อนงค์ก็ตบหลังเธอเบาๆให้เดินเข้าไปด้านใน ส่วนตัวเองก็เดินไปรับบัวที่เพิ่งจะเดินมาถึง
ร่างบอบบางเดินค้อมตัวเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างๆกันกับคนที่อาวุโสที่สุดในห้อง มือขาวยกขึ้นไหว้อย่างนอบน้อมโดยมีมือของหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดียื่นมารับไหว้
“ไหว้พระเถอะลูก ขวัญเอ่ยขวัญมานะ” ดูเหมือนทุกคนจะรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้วเธอจึงไม่ต้องเล่าอะไรอีก ได้แต่ยิ้มรับแกนๆก่อนจะหันไปยิ้มและยื่นมือไปจับกับโฉมสะคราญที่ยื่นมือมาหาอย่างเห็นใจ
“มาถึงนี่แล้วไม่ต้องกลัวนะพี่อรุณ”
“ขอบคุณนะคะป้าทิพย์ ขอบคุณนะโฉม”
แต่เมื่อขอบคุณทั้งสองคนที่ช่วยปลอบโยนแล้ว ทออรุณก็รู้ว่าถึงเวลาที่จะขอบคุณคนที่ช่วยให้รอดพ้นความตายมาหมาดๆ แม้ไม่ได้พูดแต่ทุกอย่างมันก็ชัดว่าคนที่ช่วยจะต้องเป็นเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่นั่งหน้านิ่งอยู่ตรงหน้าเธอแน่
เพราะไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะรู้เรื่องเมื่อคืน และไปบอกให้พี่อนงค์ตามเธอกลับบ้านได้
“ขอบคุณนะคะ หลวงฉัตร” มือสวยยกขึ้นประนม ศีรษะทุยที่ถักเปียเดี่ยวเอาไว้อย่างเรียบร้อยค้อมลง ยามที่ไหว้อีกฝ่ายซึ่งอายุมากกว่าสองปี ก่อนที่ไม่นานจะเงยขึ้นสบตากับชายหนุ่มที่ยกมือขึ้นมารับไหว้
ใบหน้าคมคายตามประสาหนุ่มใต้นั้นยังเย็นชา ทว่าเสี้ยววินาทีหนึ่งเธอเห็นบางอย่างภายใต้ดวงตาดุ บางอย่างที่เธอเห็นเมื่อหลายปีที่แล้วก่อนที่เรื่องบาดหมางระหว่างเราจะเกิดขึ้น
แต่ไม่นานมันก็จางหายไปอย่างแนบเนียนโดยที่ไม่มีใครในห้องนี้สังเกตเห็น
“ครับ” ฝ่ายนั้นตอบสั้นๆ ก่อนจะหันไปหาน้องสาวที่นั่งอยู่ข้างกัน “น้องโฉมพาพี่เขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพาไปที่ห้องทำพิธีนะ” พูดจบอีกฝ่ายก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ยลาครอบครัวพี่อนงค์ ก่อนจะเรียกลูกศิษย์ที่นั่งกันอยู่ด้านหลังให้เดินตามไป
“อ้าว แล้วหลวงจะแขบไปไหนล่ะนั่น” (อ้าวแล้วพี่จะรีบไปไหนล่ะนั่น)
“ลูกคนนี้นี่ อย่าไปถือมันเลยนะลูกอรุณ เดี๋ยวให้น้องโฉมพาไปเปลี่ยนผ้านะ”
“ค่ะป้าทิพย์”
ท่ามกลางสายตาของแม่และน้องที่หันมาสบตากัน ก่อนจะมองมาที่ทออรุณคล้ายรู้อะไรบางอย่าง ป้าทิพย์ยื่นมือมาลูบหลังเธออย่างปลอบประโลม
ด้านโฉมสะคราญผู้เป็นน้องสาวก็ถอนหายใจใส่หลังพี่ชายก่อนลุกขึ้นเดินมาหาเธอ
“ไปกันเถอะพี่อรุณ”
“จ้ะ”
บนใบหน้าสวยยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนให้หญิงเด็กสาวผู้ซึ่งเป็นน้องที่เธอเอ็นดูเสมอ แม้ว่าในใจจะรู้สึกเหมือนโดนมีดกรีดจนแผลเก่ามันเหวอะหวะ หลังจากเห็นท่าทีเย็นชาของผู้ชายคนนั้น
ฉัตรจักรคงยังโกรธเธอมากงั้นสิ แต่คนโกรธมันควรเป็นเธอไม่ใช่เหรอ แล้วถ้ายังโกรธขนาดนั้นจะมาช่วยเหลืออีกทำไมกันไม่เข้าใจเลยจริงๆ
