4.ร่องรอยที่เหลืออยู่
หญิงสาวยิ่งขวัญเสียจนพูดอะไรไม่ออก ยามที่ก้มสำรวจตัวเองและเห็นรอยช้ำหลายรอยปรากฏอยู่หลายจุด มันคือรอยนิ้วมือมีทั้งบนแขน บนขา หน้าอก เอว ทุกพื้นที่ซึ่งมือของผู้ชายในฝันจับมีรอยช้ำเห็นชัดทั้งห้านิ้วทั้งสิ้น
“ฮึ่ก!”
มาถึงตอนนี้ทออรุณรู้แล้วว่ามันไม่ใช่แค่ฝันร้ายแต่เธอโดนผีนั่นข่มขืนจริงๆ เมื่อเย็นวานก็คงไม่ใช่แค่ฝันเช่นกันเพราะเสียงผีผู้หญิงตนนั้นเป็นเสียงเดียวกันกับผีที่มาเคาะประตูเมื่อตอนเย็น
ซ้ำร้ายจู่ๆ เธอยังเพิ่งจะนึกได้ขึ้นมา ว่าตอนตื่นรอบที่สามเธอถือโทรศัพท์เอาไว้เหมือนในฝันซ้อน ทั้งที่ก่อนจะเผลอหลับโทรศัพท์มันวางอยู่บนโต๊ะด้านหน้าโซฟา เป็นไปไม่ได้ที่จะมาอยู่ในมือตอนตื่น
ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะไม่ใช่แค่ฝัน แต่เป็นเรื่องจริงทั้งหมด
“บัว บัว!ช่วยด้วย!!”
ปึง!
“อะไรอรุณ แกเป็นอะไร!”
ประตูห้องนอนบานใหญ่โดนหญิงสาวตัวสูงเปิดออกอย่างรุนแรงจนไปกระแทกกับผนังด้านข้าง บัวบูชารีบวิ่งเข้ามาในห้องทว่ากลับต้องชะงักไปจังหวะหนึ่งเมื่อเห็นว่าทออรุญกำลังอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นติดกาย
นอกจากนั้นก็ยังมีรอยช้ำเต็มตัวไปหมด
“ใครทำ” น้ำเสียงของบัวบูชาเข้มและเย็นเยียบด้วยความเดือดดาลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ช่วงขายาวก้าวฉับๆไปที่หน้าต่างกระจก ทว่าเมื่อเช็คดูแล้วกลับพบว่าไม่มีร่องรอยงัดแงะ ในห้องไม่มีร่องรอยการต่อสู้ใดๆ เลย
“บัว…ฮึ่ก!”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเป็นอย่างนี้วะ” เมื่อไม่เห็นอะไรผิดปกติเธอจึงเดินมานั่งลงบนเตียง มือสองข้างจับแขนของเพื่อนขึ้นมาสำรวจ แต่เมื่อถามไปแล้วคำถามนั้นก็เหมือนมีคำตอบชัดๆ ให้เห็นอยู่ตรงหน้า แม้ว่าอีกฝ่ายจะยังไม่ได้ตอบก็ตาม
เพราะหากเป็นคนทำมันคงไม่ช้ำเป็นรอยนิ้วขนาดนี้
“อรุณ แกบอกฉันสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น” บัวถามซ้ำเสียงอ่อนโยนลง แต่แทนที่จะเค้นเอาคำตอบหรือเขย่าเรียกสติเธอกลับดึงร่างเล็กจ้อยของทออรุณมากอดเอาไว้
แม้อยู่ในสภาพที่ไม่เรียบร้อยเท่าไหร่แต่เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญเท่าสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ของเพื่อนเธอในตอนนี้ มือเรียวนิ้วขึ้นข้อลูบลงบนเส้นผมชื้นเหงื่อแผ่วเบา พลางโยกตัวปลอบเหมือนปลอบเด็ก
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่เลยทีเดียวกว่าที่ทออรุณจะหยุดร้องไห้ มือเล็กปาดน้ำตาของตัวเองป้อยๆขณะที่ผละออกจากกัน จังหวะที่ไม่ได้กอดกันแล้วนั้นบัวก็พลันเสตาไปทางอื่น
ใบหน้ามีแววกระอักกระอ่วน ขณะที่มือดึงผ้าห่มที่ม้วนอยู่อีกฝั่งมาปิดกายให้อีกคนอย่างทุลักทุเล
“ว่าไง”
“เมื่อคืนฉันฝันอีกแล้ว”
“ฝันอะไร”
“แกจำผู้ชายที่ฉันบอกว่ามาปลุกเมื่อเย็นวานได้ไหม”
“จำได้”
“มันคือเจ้าของรอยช้ำพวกนี้ ม…มันมาข่มขืนฉันในฝัน”
“อะไรนะ!” บัวบูชาเผลอตะเบ็งเสียงดังถามเมื่อได้ยินแบบนั้น ดวงตาคมกริบวาวโรจน์แข็งกร้าว ความเดือดดาลตอนเห็นสภาพย่ำแย่ของทออรุญกลับมาครอบงำอีกครั้งที่ได้ยินว่าเพื่อนเพิ่งโดนอะไรมา
ต่อให้บอกว่าเป็นในฝันแต่ตื่นมาแก้ผ้าแก้ผ่อนแบบนี้มันไม่ใช่แค่ฝันธรรมดาแน่ แบบนี้มันตั้งใจสมสู่แล้วทำให้ไหลตาย ชคดีที่ทออรุณยังรอดมาได้ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้มานั่งคุยกันแบบนี้
“แต่ก็ไม่ได้ทำสำเร็จนะบัว”
“สำเร็จหรือเปล่ามันไม่สำคัญนะ แกกลับสุรินทร์กับฉันเถอะอรุณ ฉันบังคับก็ได้แต่แกอย่าดื้ออยู่แบบนี้เลย เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้วนะ” หญิงสาวตัวสูงร้องขออย่างจริงจัง บนใบหน้ามีแต่ความกังวลว่าไอ้ตัวดื้อตรงหน้าจะเป็นอะไรไปจริงๆ
เธอเองแม้พอมีวิชาติดตัวอยู่บ้างแต่ก็ไม่วิชาอาคมแก่กล้าอะไรขนาดนั้น ไม่ได้มีเซ้นส์มองเห็นผีด้วยตาเนื้อ จะเห็นได้คือต้องเพ่งสมาธิอย่างหนัก
มีภาษีอยู่อย่างเดียวคือดวงแข็งพอคุ้มครองได้ ที่เหลือก็แค่พอช่วยได้เล็กๆน้อยๆเท่านั้น แต่อีกฝ่ายเข้าเบญจเพศและดวงตกขนาดนี้ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกเธอจะช่วยอะไรทออรุณไม่ได้เลย
“อืม ฉันจะไปกับแก ขอโทษนะที่เมื่อวานไม่ฟังแก” ด้านคนฟังได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเบาๆอย่างรู้สึกผิดที่ไปปฏิเสธความหวังดีของเพื่อนเมื่อวาน เธอก็ไม่รู้จริงๆว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้น ไม่งั้นก็คงตกปากรับคำกับบัวไปแล้ว
มือเล็กเอื้อมมาจับข้อมือของเพื่อนสนิทเอาไว้ขณะที่ก้มหน้าไม่กล้าสบตา เพราะเหตุการณ์เมื่อคืนมันก็ชัดอยู่แล้วว่าบัวบูชาพูดถูกทุกอย่าง เธอควรไปให้พ่อครูของบัวดูสักหน่อย เผื่อว่าจะแก้ไขอะไรได้บ้าง
“แกช่วยเล่าตั้งแต่ต้นที เดี๋ยวฉันจะโทรไปเล่าให้พ่อครูฟังก่อน ไปถึงแล้วจะได้เริ่มพิธีเลย เพราะฟังๆ ดูแล้วไม่น่าใช่เจ้ากรรมนายเวรหรอก อยากสมสู่ด้วยแบบนี้ลักษณะเหมือนพวกสัมภเวสีจำพวกเดียวกับผีแม่ม่ายมากกว่า”
สิ้นคำพูดนั้นทออรุญก็เริ่มเล่าตั้งแต่ที่เธอตื่นมาที่บ้านริมทะเล กระทั่งมีคนมาช่วยทำให้รอดพ้นจากผีตัวนั้นมาได้ ตื่นมาอีกครั้งก็เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนสิบขวบที่เธอหลงเข้าไปในมิติป่าลึกลับจนเกือบตาย
เล่าถึงผีตัวเดียวกันกับเมื่อช่วงเย็นมาสวดมนตร์ตามก่อนที่ตัวเธอจะตื่นขึ้นมานอนแก้ผ้าแถมยังมีรอยช้ำเต็มตัว
“อีผีผู้หญิงมันต้องมีฤทธิ์มาก แรงอาฆาตขนาดนั้นฉันว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรของแกแน่” บัวพูดจากประสบการณ์ด้วยใบหน้าครุ่นคิด
“ส่วนคนที่ช่วยแกถ้าเขาสวดมนตร์ฉันว่าไม่น่าใช่ผีนะ แต่ถ้าเป็นคนก็ต้องมีวิชาอาคมแก่กล้ามากเลย ถึงถอดจิตมาช่วยในความฝันได้แบบนี้ อาจจะเก่งระดับเดียวกับพ่อครูใหญ่ที่บ้านฉันเลยด้วยซ้ำ”
“ฉันก็คิดแบบนั้น” เมื่อฟังเพื่อนพูดมาถึงตรงนี้ อันที่จริงทอรุณก็คิดชื่อออกอยู่คนหนึ่งเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่อยากปักใจเชื่อนักเพราะคิดว่าอยู่ไกลกันขนาดนี้จะมาช่วยเธอทำไม
เราก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกันเท่าไหร่ เรียกว่าเกลียดกันเป็นศัตรูเลยก็ยังได้ ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายรับครูหมอยันต์และสืบทอดตำแหน่งหมอไสยต่อจากผู้เป็นพ่อที่เพิ่งเสียไปแล้ว แต่คงไม่ดั้นด้นถอดจิตมาจากภาคใต้เพื่อช่วยเหลือกันหรอกมั้ง
“เรื่องคนช่วยอะไรนั่นเอาไว้ก่อนเถอะ สรุปว่าตอนนี้แกมีผีตามรังควานอยู่สองตัว เท่าที่ฟังแกเล่าดูเหมือนผีผู้หญิงจะตั้งใจเอาชีวิตเลย ส่วนผีผู้ชายเหมือนช่วยแกจากผีผู้หญิงเพื่อที่จะได้เอาแกไปทำเมียอีกที”
“อืม คงงั้น”
“ทำไมฉันรู้สึกว่าผีพ่อม่ายนั่นมันอยู่กับแกมานานแล้ววะ ยิ่งมันพูดว่าชอนไชหมดแล้ว นอกจากอยู่นานคือมันเหมือนอยู่ในตัวแกเลยอ่ะ จำเรื่องที่แกบอกคุ้นเสียงแต่นึกไม่ออกว่าเคยยินที่ไหนได้ไหม”
“นะ…ในตัวฉันเหรอ”
“ฉันก็แค่เดา แต่ถ้าใช่จริงดูจากรูปการณ์แล้วมันน่าจะรอแกเข้าเบญจเพศ ให้อยู่ในช่วงที่ดวงตกมากพอที่จะเอาวิญญาณไปได้ วันนี้วันเกิดแกไม่ใช่เหรอ อายุมันนับตั้งแต่เช้าวันใหม่ใช่ไหมล่ะ เที่ยงคืนหนึ่งวินาทีแกก็อายุยี่สิบห้าแล้ว มันถึงลงมือ”
เบญจเพศ?
จริงสิ ถ้านับกันตามจริงเธอก็อายุครบยี่สิบห้าตอนเที่ยงคืนเหมือนอย่างที่บัวพูด
มันอาจซุ่มมานานแล้วลงมือทันทีที่เธออายุครบจริงๆ เมื่อเย็นเธอก็สงสัยอยู่แล้วเชียว ว่าทำไมเสียงที่ปลุกให้ตื่นจากห้วงฝันของผีสไบคอหักนั่นถึงคุ้นมากเหมือนเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ
อาจเพราะมันอยู่ในตัวมานานเหมือนที่บัวว่า เธออาจได้ยินเสียงมันในฝันแบบไม่รู้ตัวบ่อยมากจนฝังเข้าไปในจิตสำนึก ที่มันบอกชอนไชมาหมดทุกส่วนแล้วก็อาจได้ทำอย่างนั้นจริงๆ เพราะมันอยู่ในร่างกายของเธอ
หรือว่า…
มันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น
จู่ๆ ทออรุณก็รู้สึกเหมือนดวงตาที่มืดมัวมาเนิ่นนานกลับสว่างขึ้นมา เหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นในวัยสิบแปดปีไหลย้อนเข้ามาในสมองของเธอ
มันคือเหตุการณ์ที่เธอโดนเพื่อนผู้หญิงรุ่นเดียวกันเอาน้ำมันผีมาสาดเพราะความเกลียดชัง หลังจากที่น้ำมันนั้นโดนตัววันต่อมาเธอที่มีเซ้นต์เห็นสิ่งลี้ลับอยู่ตลอด โดนผีลักซ่อนจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดก็ไม่เคยเห็นหรือสัมผัสอะไรได้อีกเลย
ก็คิดอยู่แล้วว่ามันแปลกๆ แต่เพราะหลังจากนั้นร่างกายของทออรุณไม่ได้มีอะไรผิดปกติ เธอไม่เห็นผีอีกเลยครอบครัวจึงไม่ได้เอาความกับเพื่อนคนนั้น
กับตัวเธอเองก็ไม่ได้พาไปทำพิธีกรรมอะไรเพราะมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น บวกกับตอนนั้นมีเรื่องให้เธอรีบขึ้นมาเรียนที่กรุงเทพเรื่องนี้จึงถูกลืมไปสนิท ไม่มีใครคิดว่ามันจะซุ่มรอมานานเพื่อมีจุดประสงค์แบบนี้
และแม้จะยังไม่ได้คำตอบทั้งหมด ทว่าทุกอย่างกลับเรียงร้อยและเป็นเหตุเป็นผลกันอย่างไม่น่าเชื่อ หรือเรื่องทั้งหมดที่เกิดจะมาจากเหตุการณ์นั้น เพราะมันก็ไม่มีเหตุการณ์อื่นที่จะเป็นปัจจัยได้อีกแล้ว
“บัว แกว่าการโดนน้ำมันผีสาดจะทำให้มันมาอยู่ในตัวฉันได้ไหม”
“น้ำมันผีอะไรวะ แกไม่เห็นเคยเล่า…”
ตื้ด ตื้ด ตื้ด
ทว่ายามที่บัวบูชากำลังขมวดคิ้วถามถึงเรื่องใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน จู่ๆ โทรศัพท์ของทออรุณที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงก็พลันสั่นครืด เมื่อชะโงกไปมองก็เห็นว่าปลายสายคือ ‘พี่อนงค์’ พี่สาวคนโตของทออรุณที่ไม่ได้คุยกันมาหลายวัน
คนหน้าหมวยมองหน้าเพื่อนสนิทที่ยังนั่งอยู่ตรงข้ามกันก่อนจะเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย ในใจสังหรณ์บางอย่างว่าพี่สาวจะต้องมีเรื่องสำคัญถึงได้โทรมาเช้าขนาดนี้
เพราะคิดแบบนั้นจึงเปิดลำโพงให้บัวได้ฟังด้วย เพราะบัวเองก็พอฟังภาษาใต้ออกอยู่บ้าง เธอเองในตอนนี้ยังสติไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ดี อีกฝ่ายช่วยฟังคงดีกว่าคุยทั้งที่ยังความคิดวุ่นวายแบบนี้
“ค่ะ พี่อนงค์”
‘อรุณ พี่อยากให้น้องกลับบ้าน’ ทว่าเพียงประโยคแรกที่มาพร้อมน้ำเสียงร้อนรนนั้นก็พาลให้สองเพื่อนรักพากันขมวดคิ้ว บัวและเธอเหลือบขึ้นมองหน้ากันก่อนที่อรุณจะเป็นฝ่ายถาม
“มีอะไรเหรอ”
‘เรื่องเมื่อคืนที่ผีอุบาทว์นั่นมันจะมาเอาชีวิตน้อง มันเป็นผีจากน้ำมันที่อีแหม่มมันเอามาสาดน้องก่อนขึ้นไปเรียนที่กรุงเทพใช่ไหม!’ และคำตอบที่ได้กลับมาก็ทำให้ทั้งสองคนหันขวับไปมองหน้ากัน และครั้งนี้แม้แต่บัวเองก็ยังลอบกลืนน้ำลาย
ขนลุกขนพองไปหมด ที่พี่สาวของอรุณที่อยู่ไกลถึงจังหวัดชุมพร รู้เรื่องนี้โดยที่ยังไม่มีใครเล่าให้ฟังเลยสักคำ
