10.มึนตึง
“ใช่ค่ะ เดี๋ยวน้องก็จะไปแล้ว แต่ว่าแม่บอกให้เอากับข้าวมาให้หลวงฉัตรกับพี่ๆก่อน มีแกงส้มปลาเรียวเซียวกับหลนไตปลาด้วยนะพี่อรุณ พี่บัวลองกินดูนะคะอร่อยมาก”
ด้านน้องโฉมแม้จะหน้าแดงนิดหน่อยแต่ก็ยังพูดเจื้อยแจ้วอย่างอัธยาศัยดี รอยยิ้มสว่างจ้าสมกับเป็นหมออนามัยที่เด็กยอมให้ฉีดวัคซีน เล่นเอาบัวที่หูตั้งหางกระดิกตั้งแต่แรกถึงกับชะงักและเสียอาการจนต้องหันมามองหน้าเธอประมาณว่าห้ามล้อเด็ดขาด
“ได้จ้ะ”
“ขอบคุณนะน้องโฉม มาถึงก็มีแต่ของอร่อยเลย เดี๋ยวไว้พี่ไปช่วยเข้าครัวมั่งนะ” ฝั่งทออรุณที่ไม่ได้คิดจะล้ออยู่แล้วก็หันไปขอบคุณเด็กสาวรุ่นน้องที่น่ารักกับเธอเสมอมา
“ได้เลยค่ะ อ้าวหลวงฉัตรน้องนึกว่ายังไม่ตื่น” ทว่าในตอนที่กำลังยืนคุยกันอยู่นั้น ร่างสูงในชุดเสื้อผ้าฝ้ายคอจีนสีขาวและกางเกงผ้าขายาวสีน้ำตาลอ่อนก็เดินออกมาจากด้านในตัวบ้าน
สายตาทุกคู่มองไปที่เขาเป็นตาเดียว ทว่าฉัตรจักรก็ยังมีสีหน้าเรียบเฉยมั่นคงขณะที่พยักหน้าตอบน้องสาว มีเพียงตวัดสายตามามองปิ่นโตในมือของบัวเล็กน้อยเท่านั้น
“ไปทำงานแล้วเหรอน้องโฉม”
“ค่ะ แต่แม่แกให้น้องเอาแกงมาให้หลวงก่อน งั้นน้องไปแล้วนะหลวงก็พาพี่ๆเขาไปกินข้าวด้วยล่ะ” พอคุยกับพี่ชายโหมดสดใสก็เหมือนโดนปิดสวิตต์ แม้จะไม่ได้คุยเสียงกระโชกโฮกฮากแต่ก็คุยกันเสียงแข็งๆตามประสาคนใต้
“อืม ขับรถดีๆ”
ทออรุณที่เป็นคนใต้เหมือนกันนั้นไม่ได้แปลกใจ ทว่าบัวที่เพิ่งโดนดาเมจความน่ารักของน้องโฉมกระแทกตาไปนั้นถึงกับอึ้ง ทว่าไม่นานก็หายอึ้งเพราะน้องโฉมหันมาส่งยิ้มหวานให้
“น้องไปแล้วนะคะพี่ๆ”
“จ้ะ”
“ขับรถดีๆนะจ้ะน้องโฉม” นอกจากไม่อึ้งแล้วพอเห็นว่าน้องโฉมแก้มแดงเมื่อครู่ก็ยิ่งส่งสายตาหวานมองตามหลังไปจนสุดสายตา เรียกได้ว่าไม่เกรงใจพี่ชายเขาที่ยืนหัวโด่และกำลังปรายตามาเลยแม้แต่น้อย
ถ้าหลังจากนี้บัวจะโดนฉัตรจักรเกลียดขี้หน้าเธอก็จะไม่แปลกใจเลยสักนิด คิดเอาไว้แล้วว่าต้องมีคนโดนดีแน่ๆ
“เอ่อ หลวงฉัตรไปรอที่โต๊ะได้เลยค่ะ เดี๋ยวน้องกับเพื่อนไปเอากับข้าวใส่จานเอง ไปบัว” เมื่อเหลือกันอยู่แค่สามคนแล้ว ทออรุณที่อึดอัดที่สุดก็หันบอกเขาเร็วๆ ก่อนจะคว้าแขนบัวเดินลงบันไดมาที่ห้องครัวชั้นล่างซึ่งน้องโฉมพาไปดูมาเมื่อคืนแล้วเช่นกัน
ใช้เวลาไม่นานกับข้าวอาหารใต้หลายอย่างก็มาวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะไม้ตัวใหญ่ แรกเริ่มเธอจะจัดสำรับแยกเพราะไม่รู้ว่าคนแบบเขากินข้าวรวมกับพวกเธอได้ไหม
แต่เมื่อฉัตรจักรบอกว่าได้ไม่ต้องจัดแยกให้วุ่นวาย สุดท้ายทั้งสามคนจึงได้มานั่งรวมอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน
“กินเลย พี่ไม่ถือ” ชายหนุ่มคนเดียวในโต๊ะเอ่ยขึ้นเป็นภาษากลาง อาจเป็นเพราะมีบัวที่ไม่ใช่คนใต้นั่งอยู่ด้วย และแม้ว่าบัวเองจะฟังภาษาใต้ออกเกือบทุกคำแต่ทั้งคู่ก็ไม่มีใครคิดปริปากพูดออกมา
พากันรับคำชายหนุ่มอายุมากกว่าก่อนจะเริ่มรับประทานอาหารกันอย่างหิวโหย เพราะเมื่อวานช่วงเย็นพวกเธอยังไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องเลย บัวที่นอนตีสองนั้นไม่รู้ว่าจะหิวแค่ไหนแต่เธอที่หลับตั้งแต่หัวถึงหมอนนั้นหิวมาก
นั่งรับประทานกันอยู่อย่างนั้นราวห้านาทีสองเพื่อนรักก็สวาปามข้าวเกือบหมดจาน ทว่าจู่ๆโทรศัพท์ของบัวที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นครืดขึ้นมา ดูท่าจะเป็นสายสำคัญเสียด้วยเพราะเจ้าตัวรีบลุกออกไปรับสายเลยในทันที
ทิ้งให้ทออรุณที่ใช้เพื่อนเป็นกันชนมาตั้งแต่แรกถึงกับทำหน้าไม่ถูก เมื่อต้องนั่งอยู่ที่โต๊ะกับฉัตรจักรซึ่งมีอดีตไม่ค่อยดีต่อกันตามลำพัง ข้าวที่เคี้ยวอยู่ในปากคล้ายกับจะจืดจนแทบไม่รู้รส จากที่กินอย่างเอร็ดอร่อยตอนนี้กลับกลายเป็นกลืนไม่ค่อยจะลงเท่าไหร่
ต่างกับกับฉัตรจักรที่ยังตักข้าวใส่ปากในจังหวะเดิม
“เอ่อ…” ไม่นานมันก็เป็นเธอเองที่ทนความอึดอัดไม่ไหวจึงต้องเอ่ยขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ “ขอบคุณนะคะที่ช่วยน้อง แล้วก็ยังให้พักที่บ้านอีก”
อันที่จริงจะเรียกว่าเป็นการชวนคุยทำลายความเงียบอย่างเดียวก็ไม่ได้เพราะทออรุณก็กำลังคิดหาโอกาสกล่าวขอบคุณเขาอย่างจริงใจสักที แม้ระหว่างเราจะมีอดีตที่ไม่ดีแต่บุญคุณที่เขาช่วยไว้มันก็ยังอยู่
“ไม่เป็นไร” ด้านฉัตรจักรที่ได้ยินแบบนั้นก็ชะงักมือที่กำลังจะตักอาหารเข้าปาก เขาเหลือบสบตาเธอเพียงชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าเบาๆแล้วลงมือกินต่อ ไม่ได้สานต่อบทสนทนาอะไรพาให้ทออรุณเงียบไปอีกพักหนึ่ง
รู้สึกอึดอัดพอควรที่เขาเงียบใส่แบบนี้ ทว่าไม่นานความสงสัยก็ชนะ เธอเหลือบมองเขาที่ยังนิ่งสนิทจนดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร ก่อนกลั้นใจเอ่ยถามสิ่งที่ทั้งตัวเธอและบัวต่างก็ใคร่รู้
“คนที่ไปช่วยน้องในฝันเมื่อคืนก่อน ใช่หลวงไหมคะ”
คำถามของหญิงสาวทำเอาเจ้าของบ้านชะงักไปอีกครั้ง คราวนี้เขาถือช้อนค้างเอาไว้ชั่วครู่ก่อนจะวางมันลงในจาน ดวงตาคมดุเหลือบมองหญิงสาวเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเธอกำลังมองอย่างหาคำตอบก็พลันเสตาไปทางอื่น
“…ทำไมถึงคิดแบบนั้น” มือใหญ่ประดับไปด้วยแหวนรูปท้าวเวสสุวัณวงใหญ่ที่นิ้วกลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่มขณะที่ถาม แต่ก็ยังนิ่งเป็นปกติ
“น้องจำเสียงได้จำแหวนได้ด้วย เป็นแหวนท้าวเวสสุวัณที่ลุงเฉิดใส่ก่อนตาย” และเพราะเห็นอาการนั้นหญิงสาวจึงได้หรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างจับผิด แน่นอนว่าฉัตรจักรเห็นสายตานั้นเพราะเรานั่งไม่ได้ห่างกันนัก
ชายหนุ่มวางแก้วน้ำลงก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มือเก็บจานที่ยังกินข้าวไม่หมดเดินเอาไปล้างที่ซิงค์ ไม่ได้ออกปากยอมรับหรือปฏิเสธ
ใบหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดแต่ทออรุณกลับรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติของอีกฝ่าย เธอยังนั่งมองอยู่อย่างนั้นกระทั่งเขาเดินกลับมาที่โต๊ะ แต่ก็ยังไม่ยอมสบตากันแต่อย่างใด
ฉัตรจักรหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะมาเช็ดมือพลางเอ่ยขึ้นเสียงเรียบคล้ายไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ทออรุณรู้ว่ามันไม่ปกติแน่ๆ
“กินกันเสร็จแล้วขึ้นไปอาบน้ำอาบท่ากันนะ แล้วช่วงสายตามหลวงไปที่สำนักด้วย ถ้าไม่อยากเดินก็มีจักรยานจอดอยู่ตรงนู้น ไปเอามาใช้ได้”
“ต้องทำพิธีอีกเหรอคะ”
“ไม่ใช่ จะพาไปหาพระอาจารย์”
“พระอาจารย์? ทำไมต้องไปหาพระอาจารย์เหรอคะ” พอคำถามเริ่มเยอะเขาก็ทอดถอนลมหายใจคล้ายรำคาญ ทว่าเมื่อหันมาเห็นว่าหญิงสาวหน้าเสียจึงเริ่มอธิบายเพิ่ม แต่ก็ยังใช้น้ำเสียงเย็นชาไม่เปลี่ยน
“เอาน้ำมันออกแล้วแต่ดวงชะตายังไม่ดีขึ้นเลยอยากพาไปปรึกษาพระอาจารย์หน่อย แต่งตัวให้เรียบร้อยนะ” ว่าจบก็สะบัดผ้าขาวม้าแดงพับครึ่งพาดบ่าแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ด้านทออรุณได้แต่มองแผ่นหลังกว้างเคลื่อนห่างออกไปเรื่อยๆ ในใจได้แต่คิดว่าเวลามันก็ผ่านมาเกือบเจ็ดปีแล้ว เธอเองที่เป็นฝ่ายโดนกระทำแม้จะยังไม่ลืมว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็รู้สึกว่าแผลสดหายกลายเป็นแผลเป็นไปแล้วด้วยซ้ำ
แต่เขา…
เขาที่เป็นผู้กระทำ บวชเรียนก็ตั้งหลายพรรษาทั้งเป็นเณรเป็นพระ ตอนนี้ก็เป็นหมอไสยขาวต้องถือศีลพฤติตัวอยู่ในศีลในธรรมอยู่แล้ว เหตุใดถึงยังผูกใจเจ็บโกรธเธออยู่ ยังปล่อยวางไม่ได้หรือไง
