11.พระอาจารย์
ข่าวร้ายในวันนี้คือการที่บัวต้องอยู่แก้งานที่บ้านของฉัตรจักรและไม่สามารถไปด้วยกันได้ เนื่องจากสายที่เพื่อนเธอลุกไปรับตอนกินข้าวคือสายของทางสำนักพิมพ์ที่จู่ๆก็อยากเลื่อนเดดไลน์เข้ามาเพื่อให้ขายทันวันงานหนังสือ
ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้บัวต้องเร่งแก้งานหัวฟู ถึงกับสาบานว่าจะไม่ร่วมงานกับสำนักพิมพ์บ้าๆแบบนี้อีก เพราะในตอนนี้อย่าว่าแต่จะไปด้วยกันได้เลย คืนนี้จะได้นอนหรือไม่ก็ยังไม่แน่ใจ
เพราะแบบนั้นหลังกินข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อยทออรุณจึงรู้สึกห่อเหี่ยวเป็นอย่างมาก เจ้าของบ้านก็ทำตัวน่าอึดอัดแต่จะไม่อยู่ก็ไม่ได้ นี่เพื่อนที่จะได้อยู่เป็นเพื่อนกันยังติดงานจนเธอต้องไปวัดกับอีกฝ่ายตามลำพังอีก
แม้จะอยากกัดลิ้นตายทออรุณก็รู้ว่าตนยังมีพี่สาวและคนอื่นๆที่คอยเป็นห่วงอีกมากมาย สุดท้ายจึงได้แต่เดินขึ้นบ้านไปอาบน้ำ ก่อนที่ช่วงสายจะขี่จักรยานไปที่สำนักไวศรวณตามลำพัง
พระอาจารย์ที่ฉัตรจักรตั้งใจพาเธอไปหานั้นคือพระมหาเจิม ซึ่งเคยเป็นพระอาจารย์ที่อีกฝ่ายเคารพนับถือตั้งแต่ตอนบวชเณรภาคฤดูร้อน และบวชพระช่วงอายุยี่สิบเอ็ดปีกระทั่งสึกออกมาสืบทอดวิชาต่อจากพ่อ
แม้สึกออกมาหลายปีแล้วแต่อีกฝ่ายก็ยังนับถือพระคุณเจ้าเป็นพระอาจารย์ของตนเสมอมา นี่คือสิ่งที่เธอได้รับรู้จากป้าทิพย์ซึ่งเป็นแม่ของฉัตรจักร เสริมด้วยลูกศิษย์คนโตอย่างปราบที่พอจะมีเวลามานั่งคุยด้วย
“นมัสการครับพระอาจารย์”
“นมัสการค่ะหลวงพ่อ”
“เจริญพร กลับมาเมื่อไหร่ล่ะโยมอรุณ ไม่ได้เจอเสียนานโตขึ้นมากจนหลวงพ่อจำเกือบไม่ได้แล้วนะ” พระมหาเจิมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม ดวงตามองใบหน้าของเด็กสาวรุ่นลูกที่เห็นมาตั้งแต่ยังตัวเท่าเมี่ยงพลางยิ้มใจดี
ในใจนึกเอ็นดูสงสารในโชคชะตา ทออรุณเป็นเด็กที่ดวงชะตาสูงไม่แพ้ชายหนุ่มตัวโตที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ ควรได้อยู่ดีมีสุขและประสบความสำเร็จมากกว่านี้ด้วยซ้ำ ทว่ากลับต้องมาแพ้ภัยเจ้ากรรมนายเวรที่ค่อยถ่วงเอาไว้
“เพิ่งกลับมาเมื่อวันก่อนค่ะหลวงพ่อ”
“หนักเลยนะช่วงนี้” ใบหน้าสวยถึงกับเปลี่ยนสีเมื่อถูกทักตั้งแต่เจอหน้า แต่เมื่อถามไปแล้วพระมหาเจิมเหลือบตาไปมองฉัตรจักรจึงได้คำตอบโดยทันที เขาเป็นคนบอกให้พี่อนงค์โทรตามเธอกลับมา อาจเอาเรื่องนี้มาปรึกษาหลวงพ่อก่อนแล้ว
แล้วหากจะบอกว่าท่านมีญาณหยั่งรู้มันก็ไม่ได้ดูเชื่อยากนัก เพราะพระมหาเจิมเป็นหนึ่งในพระภิกษุที่ชาวบ้านในตำบลนี้นับถือ อีกทั้งยังมีชื่อเสียงด้านคาถาอาคมเป็นที่เลื่องลือไปถึงอำเภอและจังหวัดอื่นๆ
“...ค่ะหลวงพ่อ แต่ก็ได้หลวงฉัตรมาช่วยขับออกให้แล้ว ตอนนี้ลูกรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยค่ะ”
“ดีแล้วล่ะโยม เขามากับตัวกลางคือน้ำมันพราย เมื่อสิ่งนั้นออกจากกายไปแล้วก็ย่อมหลุดพ้นกันได้ง่าย หลังจากนี้ก็หมั่นไหว้พระสวดมนตร์ทำจิตใจให้ผ่องใส อุทิศส่วนกุศลให้เขาและเจ้ากรรมนายเวรอย่างสม่ำเสมอนะ”
แต่พอกล่าวมาถึงตรงนี้หัวคิ้วของทออรุณก็พลันดึงดูดเข้าหากัน เมื่อกี้หลวงพ่อพูดว่าเขาและเจ้ากรรมนายเวร หมายความว่ายังไง ไม่ใช่ว่าทั้งสองตนที่ตามรังควานเธอต่างก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรเหรอ
“หลวงพ่อหมายถึง…ผีผู้ชายที่จะเอาลูกไปอยู่ด้วย เขาไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวรของลูกเหรอคะ”
“ไม่ใช่หรอก สัมภเวสีตนนั้นมาด้วยของอาถรรพ์ เพียงแต่มาต้องใจโยมอรุณเข้าเรื่องราวจึงไม่เป็นไปตามครรลอง คนที่ใช้ก็ด้อยประสบการณ์ หากเป็นเจ้าของมันใช้จริงๆและคุมผีบริวารของตัวเองได้ เรื่องอาจไม่จบเช่นนี้”
คำว่าเรื่องอาจไม่จบเช่นนี้นั้นทออรุณเข้าใจเป็นอย่างดีโดยที่ไม่ต้องถามเลยด้วยซ้ำ เพราะรู้ว่าของพวกนี้หมอผีเขาเอาไว้ใช้งาน หากคนที่เอามาสาดไม่ใช่เด็กมอหกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว เธออาจไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้แล้วก็ได้
ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นโชคดีได้หรือไม่ที่ไม่โดนอาถรรพ์ตายไปตั้งแต่วันนั้น แต่กลับต้องมาเจอเหตุการณ์แบบเมื่อสองวันก่อนแทน
“แสดงว่าอีกตนที่เป็นผู้หญิงใส่สไบ คือเจ้ากรรมนายเวรของลูกใช่ไหมคะ”
“เรื่องนั้นอาตมาว่าโยมอรุณน่าจะรู้อยู่แล้วนะ เมื่อรู้แล้วก็ขอให้โยมจงรู้เท่าทันสติของตัวเอง เรื่องเจ้ากรรมนายเวรนั้นไม่มีใครช่วยใครได้ ยกเว้นว่าจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับบ่วงกรรมนั้น”
“...”
“ทุกการอาฆาตแค้นย่อมมีต้นเหตุในตัวเองเสมอแหละโยม แต่ในเมื่อโยมไม่รู้ว่าเหตุคืออะไร วิธีการนี้ก็ยังถือว่าดีที่สุด”
“ค่ะหลวงพ่อ”
ทออรุณฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มอ่อน เธอพยักหน้ารับคำแนะนำนั้นเงียบๆ แม้ภายในรู้สึกว่าการสวดมนตร์นั่งสมาธิคงช่วยได้ไม่มากนัก หากอีกฝ่ายมีใจอาฆาตรุนแรงอย่างที่ว่า
เธอได้รู้ฤทธิ์ของสัมภเวสีนางนั้นมาตั้งแต่ยังเด็ก มันจ้องเอาชีวิตทุกโอกาสที่ทำได้เลยทีเดียว แม้ไม่ได้เจอนานหลังจากที่โดนสาดน้ำมันผีแล้ว แต่เมื่อได้มาเจออีกครั้งก็ได้สัมผัสถึงความเคียดแค้นชิงชังที่มีอยู่มากล้น
อีกฝ่ายสวมใส่หากใส่ชุดไทยโบราณ รอแก้แค้นมานานแค่ไหนแล้วก็ไม่อาจทราบได้ จะยอมรับบุญที่อุทิศไปให้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้
“ในเมื่อร่วมหัวจมท้ายกันแล้ว โยมฉัตรเองก็ช่วยชี้แนะโยมอรุณด้วยนะ” เมื่อเธอตอบรับไปแบบนั้นพระมหาเจิมจึงหันไปกล่าวกับอีกคนที่ยังนั่งเงียบอยู่ข้างเธอ
ด้านฉัตรจักรเมื่อได้ฟังก็นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะยกมือขึ้นประนมที่กลางอก ดวงตาคมกริบเหลือบมองหญิงสาวข้างกายที่ดูเหมือนจะยังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองและไม่ได้ฟังประโยคเมื่อครู่
ก่อนที่จะเคลื่อนสายตากลับมาสบกับพระอาจารย์ของตนที่ยังคงมองอยู่ ไม่ต้องมีคำพูดใดมาอธิบายเขาก็เข้าใจความหมายของคำว่า ’ชี้แนะ’ ได้เป็นอย่างดี
"ครับหลวงพ่อ"
“หลวงฉัตรแวะมินิมาร์ทหน่อยได้ไหมคะ น้องอยากซื้อพวกครีมทาผิว ตอนมาไม่ได้หยิบมาเลย” ระหว่างทางกลับ ทออรุณเอ่ยทำลายความเงียบภายในห้องโดยสารอันกว้างขวางของรถกระบะสี่ประตู
เนื่องจากแม้ว่าในห้องน้ำที่อยู่ฝั่งเดียวกับห้องนอนเธอจะมีอุปกรณ์อาบน้ำครบครัน แต่ผู้หญิงก็ยังต้องการครีมบำรุงผิวและครีมกันแดด ดวงตาเรียวของคนที่เพิ่งจะสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวเหลือบมองคนขับที่เงียบตั้งแต่ออกจากวัด
อันที่จริงจะบอกว่าเงียบตั้งแต่ออกจากวัดก็ไม่ถูก เพราะตั้งแต่กลับมาอรุณก็เห็นว่าเขาเงียบตลอดเวลา ไม่เพียงแค่ตอนที่อยู่กับเธอเท่านั้นแต่เงียบกับทุกคน จะพูดเยอะอยู่บ้างก็กับแม่และน้องสาวที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิด
ส่วนลูกศิษย์แม้จะดูสนิทสนม แต่ก็ยังชัดเจนว่าเป็นศิษย์กับอาจารย์ ไม่ได้มีคุยเล่นอะไรให้เห็น
“ใช้ยี่ห้ออะไร มินิมาร์ทแถวนี้จะมีที่ใช้เหรอ” เขากลายเป็นคนเงียบเสียจนเธอแทบไม่อยากเชื่อหูตอนที่ถามประโยคนี้ ผู้ชายอย่างฉัตรจักรมีแก่ใจมาสนด้วยเหรอว่าเธอใช้อะไรยี่ห้อไหน
“…ก็ยี่ห้อธรรมดาตามในร้านนั่นแหละ จริงๆน้องใช้ยี่ห้อไหนก็ได้” เพราะคิดแบบนั้นหญิงสาวจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา แม้จะด่าในใจอยู่บ่อยๆ แอบเรียกไอ้ฉัตรอยู่หลายครั้ง แต่พอเขาเงียบแถมถอนหายใจเก่งแบบนี้ก็พาลไม่ค่อยกล้าต่อปากต่อคำ
“งั้นไปรับน้องโฉมก่อนเห็นว่ารถสตาร์ทไม่ติด แล้วค่อยแวะตลาดก็แล้วกัน”
“ค่ะ” เพราะแบบนั้นเมื่อได้ในสิ่งที่ขอแล้วหญิงสาวจึงไม่ได้คิดจะพูดคุยต่อความยาวอะไรอีก เธอนั่งเบาะข้างคนขับเงียบๆไปจนกระทั่งรถกระบะสีดำคันใหญ่เคลื่อนเข้าจอดที่หน้าอนามัยประจำตำบล
โทรศัพท์เครื่องบางถูกหยิบขึ้นมากดโทรหาคุณหมออนามัยคนสวยผู้เป็นน้องสาวคนเดียวอย่างโฉมสะคราญ
“หลวงอยู่ข้างหน้าแล้ว งานเสร็จหรือยัง...โอเค" ทออรุณนั่งฟังเขาคุยกับน้องสาวเงียบๆพลางนึกถึงเรื่องที่คิดเมื่อครู่ แม้เขาไม่ใช่คนดีนักในสายตาของเธอ แต่เรื่องความเป็นพี่ชายที่อบอุ่นนั้นเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลย
ฉัตรจักรรักน้องสาวมาก รักและดูแลเหมือนเป็นพ่อคนที่สอง รักเสียจนเธอที่พอมองอาการของบัวออกรู้สึกเสียวหลังแทนเพื่อนไปด้วย เพราะถึงจะดวงแข็งและมีวิชาติดตัวแต่เพื่อนเธอจะสู้พ่อหมอเรืองอาคมอย่างเขาได้ยังไง
งานนี้มีหวังได้มีคนโดนควายธนูขวิดกันบ้าง
นั่งรออยู่อย่างนั้นไม่นานน้องโฉมก็เดินหอบกระเป๋าพะรุงพะรังเดินออกมาจากอนามัย เมื่อเห็นแบบนั้นอรุณจึงตั้งท่าเปิดประตูเพื่อย้ายที่ตัวเองไปนั่งด้านหลัง แต่ยังไม่ทันจะได้ง้างที่เปิดด้วยซ้ำ เพียงแค่จับก็ได้ยินเสียงเข้มดังลอยมา
“จะไปไหน”
“...ไปนั่งข้างหลังค่ะ” ทออรุณในตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่โดนจับได้ว่าทำความผิด ใบหน้าสวยค่อยๆหันไปหาเขาช้าๆ แค่เห็นว่าใบหน้าเขาตึงเปรี๊ยะมือก็ละออกจากที่เปิดทันที
“นั่งนี่แหละ น้องโฉมนั่งข้างหลังได้” ฉัตรจักรในตอนนี้เหมือนมีมวลบางอย่างล้อมรอบกาย ทำให้คนที่ปกติเคยปากแจ๋วอย่างเธอในตอนนี้กลับสงบปากสงบคำอย่างง่ายดาย
เขาพูดไม่ทันขาดคำน้องโฉมก็เปิดประตูด้านหลังแล้วขึ้นมานั่งโดยที่ไม่มีใครต้องบอก สุดท้ายเธอจึงได้แต่หันไปยิ้มกับเด็กสาวรุ่นน้องในชุดสีฟ้าของเจ้าหน้าที่สาธารณะสุข
“หลวงฉัตรพี่อรุณหวัดดีค่ะ ไปไหนกันมาเหรอ” ด้านน้องโฉมที่ไม่ได้รู้เรื่องเมื่อครู่นั้นยกมือไหว้พี่ชายตัวเอง ทว่าหันกลับมาถามเธอที่นั่งอยู่ข้างคนขับแทน
“หลวงเขาพาไปทำบุญ แล้วก็หาหลวงพ่อเจิมที่วัดน่ะ”
“อ๋อออ เข้าใจแล้ว” เสียงร้องอ่อนั้นลากยาวผิดปกติ ขณะที่ดวงตากลมโตของคุณหมออนามัยเหลือบไปมองคนหน้านิ่งอย่างล้อๆ ก่อนจะต้องหดคอหนีเมื่ออีกฝ่ายตวัดสายตามาเหมือนจะแจกมะเหงกให้
“แต่ก็ดีนะพี่อรุณ หลวงพ่อท่านว่ายังไงบ้าง”
“ก็พูดเรื่องเจ้ากรรมนายเวรแหละ แล้วก็บอกว่าผีที่อยู่ในน้ำมันที่พี่โดนไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร แต่มาอยู่ได้เพราะแหม่มเอามาสาด เจ้ากรรมนายเวรคืออีกตนหนึ่งที่คอยตาม” หญิงสาวมองคนขับที่เริ่มออกรถก่อนจะเริ่มเล่า
