3
“เมฆ!” คนที่รอจังหวะการกลับมาของแฟนหนุ่มอยู่หน้าคอนโดของเขา วิ่งปราดเข้าไปหาทันที ด้วยสภาพที่แทบจะดูไม่ได้
ประชาหันไปมองโดยรอบอย่างกลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า พร้อมลากเธอไปคุยไกลจากบริเวณหน้าคอนโด มองผมเผ้าอันยุ่งเหยิงและใบหน้าอันหมองคล้ำของอดีตแฟนสาวก็ยิ่งรู้สึกสมเพช
“มาที่นี่ทำไม พูดไม่รู้เรื่องเหรอ ว่าเราเลิกกันแล้ว จะมาเอาอะไรอีก” แววตาเชิงรำคาญของเขา ทำเอามือที่เกาะแขนอยู่ร่วงผล็อย
ผู้ชายตรงหน้า ไม่เหลือร่องรอยของคนที่เธอรักเลยแม้สักน้อย ราวกับว่า 9 ปีที่ผ่านมา เขาคนนั้นไม่ได้มีอยู่จริง
“จะเลิกหรือไม่เลิกก็ต้องคุยกันก่อนสิ เมฆไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อน เปลวไม่รู้ว่าเปลวผิดอะไร สามารถปรับปรุงอะไรได้บ้าง...เราต้องคุยกันก่อนสิเมฆ” เธอว่าเชิงร้องขอ น้ำตาไหลพรากไปทั่วสองแก้ม
“คุยเหรอ ไม่มีอะไรจะต้องคุยกันทั้งนั้น เมฆไม่ได้รู้สึกอะไรกับเปลวแล้ว แค่นี้ก็พอแล้ว เหมาะแล้วที่จะต้องเลิกกัน”
“เปลวผิดอะไรเหรอเมฆ ทำไมเมฆถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้” เธอมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกผิดหวัง สบกับสายตาที่มองมายังเธอด้วยความรังเกียจ
“ผิดอะไรงั้นเหรอ ดูสารรูปตัวเองก่อน...เปลวเปลี่ยนไปมาก ไม่เคยดูแลตัวเองเลย ส่องกระจกบ้างปะ เคยดูแลตัวเองให้มันน่ามองขึ้นบ้างปะถามจริง” และจากที่ตั้งใจว่าจะไม่พูดอะไรที่มันทำร้ายจิตใจคนรักเก่าจนเกินไป
แต่ก็อดไม่ได้...เพราะสภาพของเธอตอนนี้ มันทำให้เขารู้สึกสมเพชเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
เสื้อผ้าที่เธอสวมก็เป็นเสื้อยืดธรรมดากับกางเกงวอร์มตัวเก่า รองเท้าแตะก็สีหม่น ผมเผ้าก็เหมือนไม่ได้สระหรือหวีมาหลายวัน เธอเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก...ผิวพรรณก็ไม่เปล่งปลั่งเหมือนตอนสมัยเรียนอยู่
“ก็เปลวทำงานหนัก ไม่มีเวลาดูแลตัวเองไง ที่เปลวเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าเมฆไม่ยอมคืนเงินเปลวไง เปลวถึงได้ทำงานหาเงินหนักขึ้น”
“เฮ้ย นี่จะมาโทษกันเหรอ อย่ามาหาข้ออ้างดิวะ คนเรามันต้องดูแลตัวเองเป็นพื้นฐานไม่ว่างานจะหนักหรือไม่หนัก ไม่ใช่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวแบบนี้” ปิ่นมณีส่ายหน้า ไม่คิดว่าเขาจะพูดจาแรงๆ ใส่อย่างไร้ซึ่งความรับผิดชอบ
“แล้วที่ผ่านมาล่ะ ตอนที่เมฆไม่หล่อ ผิวโทรม เรียนหนัก เปลวเคยรังเกียจเมฆมั้ย?” น้ำตาของเธอไหลพรากหนักขึ้น จนเสียงเริ่มแหบโหย
“อย่ามาทวงบุญคุณได้ปะ อะไรที่มันผ่านมาแล้วก็ให้ผ่านไป ไม่ได้จำหรอกเว้ย อยู่กับปัจจุบันซะบ้าง”
“ทำไมเมฆพูดแบบนี้วะ ทำไมพูดเหมือนเราไม่เคยรักกันเลย เราคบกันมา 9 ปีเลยนะเว้ย” เธอคว้าแขนเขาเอาไว้ เมื่อชายหนุ่มกำลังจะถอยหลังเดินกลับไป
“อย่ามาจับ! ไหนๆ ก็ได้พูดแล้ว...ขอพูดหน่อยละกัน 9 ปีที่ผ่านมาเนี่ย...เมฆแม่งโคตรอดทนกับผู้หญิงอย่างเปลวเลยเว้ย ผู้หญิงบ้านนอกที่แบบไม่เคยจะขุดตัวเองขึ้นมาจากความยากลำบากอะ ผู้หญิงที่จมปลักกับกลิ่นโคลนสาปควาย กินแกงลูกอ๊อดเงี้ย...กินเข้าไปได้ไงวะ?”
ปิ่นมณีตัวชาวาบ เมื่ออาหารโปรดได้ถูกพูดถึง แล้วคนที่พูดถึง...ก็เคยตักมันใส่จานให้เธอด้วย
“นี่ที่ผ่านมา เมฆรังเกียจมาตลอดเลยเหรอ?” น้ำเสียงของเธอเครือสั่น แทบจะล้มทั้งยืนลงให้ได้
“เออดิ โคตรรังเกียจ อาหารที่เธอชอบแต่ละอย่างเราสะอิดสะเอียน เราไม่เคยชอบด้วยเลย”
“แล้วทำไมถึงเพิ่งมาบอกวะ!” เธอตะโกนลั่น อยากจะตบตีเขา เพราะที่ผ่านมา...เธอคิดว่าเขาคือคนที่เข้าใจและรักในสิ่งที่เธอเป็นทุกอย่าง และมันคือเหตุผลที่ทำให้เธอพยายามจะรักษาความสัมพันธ์อย่างสุดชีวิต
“ก็เพราะตอนนั้นเธอเรียนเก่งไง เอาไว้ลอกการบ้าน เอาไว้ช่วยงานต่างๆ แต่เรียนเก่งแค่ไหน...สุดท้ายก็ไปเลือกคณะที่หางานยาก แล้วก็ไม่ได้มีหน้าที่การงานที่มั่นคงทำได้เลยด้วย คิดผิดจริงๆ ว่ะ ที่ทนคบมาตั้ง 9 ปี!”
ประชาพูดพร้อมจะเดินจากไป
“เมฆ!” แต่เธอกลับรีบคว้าแขนเขาเอาไว้ จนล้มลงไปกับพื้น
“เมฆอย่าเพิ่งทิ้งเราไปเลยนะ เราขอร้อง...เราไม่เหลือใครแล้วจริงๆ นะเมฆนะ เรายังเป็นเพื่อนกันได้นะเมฆ!” เขาพยายามสะบัดแต่เธอก็คว้าขาเขาเอาไว้ ไม่สนว่าใครจะมองมาหรือไม่
เพราะตอนนี้เธอคิดอะไรไม่ออก รู้แต่ว่า...ยังไม่อยากจะเสียเขาไปในตอนนี้ แม้นี่มันจะเป็นวิธีที่โง่ที่สุดก็ตาม!
“ปล่อยโว้ย! อย่ามาเกาะ..อายคน!” ประชาว่าพร้อมมองไปโดยรอบ ที่มีผู้คนยืนมองและรถหลายคันที่จอดติดไฟแดงยาวเหยียด หันมามองเป็นตาเดียวกัน
“อย่านะเมฆ อย่าไปเลยนะเมฆนะ...” เธอกอดขาเขาร่ำไห้อยู่ครู่ใหญ่ จนฝ่ายนั้นหลุดพ้นไปได้ เธอถึงได้นั่งร้องไห้อยู่ลำพัง คนเดินผ่านไปมาไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ ได้แต่มองอยู่ห่างๆ
รถตู้คันใหญ่สีดำที่จอดนิ่งอยู่เพราะรถข้างหน้ายังไม่เคลื่อนไหว ลดกระจกลงเล็กน้อย หลังจากที่มองภาพคนยื้อยุดฉุดกันมาสักพักใหญ่
ได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งและวอนขอจากผู้หญิงเป็นระยะ โดยที่เห็นหน้าตาของหญิงชายคู่นี้อย่างชัดเจน
“ต้องโง่ได้ขนาดไหน ถึงได้คุกเข่าอ้อนวอนผู้ชายเนี่ย...” เจนนี่ผู้ได้นั่งร่วมรถมากับผู้เป็นใหญ่เพียงคนเดียว เพราะคนอื่นนั่งอีกคัน เอ่ยขึ้นจากเบาะหลังสุด มองไปยังผู้หญิงที่ทรุดนั่งร้องไห้ด้วยความรู้สึกสงสารระคนสมเพช
นั่นสิ
แล้วรถตู้คันใหญ่ก็ได้เคลื่อนจากไป แววตาเรียบเฉยที่อ่านความรู้สึกไม่ออก ใช้หางตามองร่างนั้น จนลับสายตา
“ฮือ...” ปิ่นมณีร้องไห้ไป เดินไป..ตามริมฟุตพาธ ปาดน้ำตาที่ไม่รู้ว่าจะแห้งลงเมื่อไหร่ พร้อมภาพเก่าๆ โหมกระหน่ำเข้าเล่นงานหนัก
เธอไม่กล้าแม้แต่จะโทรหามารดาหรือเพื่อนสนิท เธอยังยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้ ความจริงที่ว่า...แฟนหนุ่มผู้แสนดีของเธอไม่ได้มีอยู่จริง
เขาไม่ได้รักในความเป็นคนบ้านๆ ของเธอ เขาไม่ได้รักและภูมิใจในสิ่งที่เธอเป็น แถมยังรังเกียจอีกด้วย!
“ฮือ!! ฮือ...” เธอสะอื้นหนัก พร้อมทรุดนั่งลงกับถนนแบบหมดเรี่ยวแรง ไม่ได้มองไปรอบตัวว่าจะมีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นบ้างรึเปล่า
จนอยู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งแล่นมาจอดบริเวณที่เธอนั่งอยู่ เธอหันไปมองพร้อมเอามือบังแสงจ้าจากไฟหน้ารถ ด้วยความประหลาดใจ
ไม่นานนักก็มีชายชุดดำร่างใหญ่ สองถึงสามคนเดินลงมาจากรถมุ่งตรงมาที่เธอ
“จะทำอะไรน่ะ!” เธอพูดได้แค่นั้น ก่อนสติค่อยๆ เลือนหาย รับรู้ได้ในสติสุดท้าย ว่าตัวเองถูกพวกนั้นหิ้วขึ้นรถที่มาจอดนั่นแหละไป
