บท
ตั้งค่า

2

“จุ๊ๆ...จุ๊วววว!”

“จุ๊ๆๆๆ...” เสียงทักที่ดังขึ้นมาจากผนังสีทองของคฤหาสน์หลังใหญ่ ที่มีพื้นฝ้าสูง ทำเอาขบวนที่มีคนราวๆ สิบกว่าคน ต้องชะงักฝีเท้าอย่างพร้อมเพียงกัน พร้อมหันไปยังที่มาของเสียงแบบทันที

“สีทองร้องทักขนาดนี้...ต้องฟังแล้วนะคะ” สาวประเภทสองร่างใหญ่ ผู้เดินนวยนาดอยู่เคียงข้างผู้ที่สูงเด่นแต่ยืนอยู่สงบนิ่งอยู่ตรงกลางขบวน ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่ได้เดือดร้อนเหมือนคนอื่นๆ

“ใช่ครับนาย...” หนึ่งในมือขวา ที่อายุอานามรุ่นราวคราวเดียวกันว่าขึ้นอย่างนึกขยาด ไม่กล้ามองไปยังจิ้งจกสีทองตัวใหญ่ ที่ค่อยๆ โงศีรษะขึ้นมามองกลุ่มคนอย่างแสนรู้

“จุ๊ๆ จุ๊ๆ จุ๊...” พร้อมร้องอีกครั้งทั้งๆ ที่ยังโก่งคออยู่อย่างนั้น จนผู้เป็นใหญ่ต้องปรายสายตาไปมองอย่างใจเย็น

“ยังไงซินแส” เกริกหล้า พร้อมสรรพหรือเกริก เจ้าพ่อผู้ทรงอิทธิพลที่เป็นเจ้าของธุรกิจหมื่นล้าน ที่มีทั้งถูกและผิดกฎหมายปะปนกันไปหมด แต่ไม่มีใครกล้ายุ่งเกี่ยว

เอ่ยถามที่ปรึกษาที่พกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา ด้วยทีท่าที่ยังคงสงบอยู่

ซึ่งซินแสฮ้อคง สุทธิวารัตน์ ผู้สงบกว่า กำลังลูบเครายาวเฟื้อยสีเทาเข้มของตัวเองไปมา อย่างใช้ความคิด

“ฤกษ์วันนี้ไม่ค่อยดีนัก ไม่เหมาะกับการเจรจาอยู่เดิม...”

“แต่ซินแสบอกว่า แก้ไขได้แล้วนี่คะ?” เจนนี่ ฤทธิ์อวบหรือเจนคง สาวประเภทสองหนึ่งเดียว รีบว่าอย่างร้อนใจ

“ใช่ แต่น่าจะช่วยไม่ได้เยอะ...ท่านสีทองถึงได้ร้องทักแบบนี้” ทุกสายตาหันไปมองยังจิ้งจกตัวใหญ่ยาว ที่กำลังม้วนหางโชว์ไปมา เพื่อสื่อสารทุกอย่างมาเสมอ ด้วยแววตาเปล่งประกาย

“แล้วจะทำยังไงกันดีล่ะ ควรจะออกไปเจรจาอยู่มั้ย?” เจนนี่ดูเดือดร้อนใจกว่าใคร เพราะตั้งอยู่ที่นี่มา...หากจิ้งจกสีทองที่อยู่ที่นี่มาร่วม 5 ปี ได้ร้องทักอะไร จำต้องเกิดเรื่องไม่คาดฝันเสมอ

“ตรวจดูทีท่าของพวกนั้นอีกรอบซิโอม” เกริกหล้าว่าพร้อมเดินกลับไปนั่งยังโซฟาตัวใหญ่กลางห้องโถง ตามด้วยขบวนที่ยกโขยงตามกันไปยืนเรียงอย่างสงบแบบรู้หน้าที่

องอาจ ครองภพหรือโอม มือขวาหนุ่มผู้อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นผู้ดูแลหลักเกี่ยวกับธุรกิจของเขาโดยตรง รีบพิมพ์ตรวจสอบข้อมูลการเจรจาที่ล้มเหลวมาสองรอบ และครั้งนี้คือรอบที่สาม

“ข้อมูลไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงครับ”

“พวกมันมีการเคลื่อนไหวอะไรด้านอื่น เพิ่มเติมหรือเปล่า”

“ไม่นะครับท่าน” ว่าแล้วก็ยื่นข้อมูลบางส่วนให้เจ้านายได้ตรวจสอบด้วยตัวเองอีกครั้ง

“นี่แหละที่แปลก...” เขาว่าพลางขบคิด การขึ้นมาเป็นใหญ่อย่างทุกวันนี้ เขาไม่ได้ใช้ความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่อาศัยการตรวจดวงมาสม่ำเสมอ ตามที่บรรพบุรุษได้สั่งเสียเอาไว้ ก่อนลาจากโลกนี้ไปเมื่อสามปีก่อน

เขาขึ้นมาบริหารทุกอย่างเพียงลำพังอย่างเต็มตัว หลังจากที่ปู่และบิดาได้เสียชีวิตจากการลอบทำร้าย

ส่วนมารดาของเขาก็เสียไปตั้งแต่เขายังเล็ก

‘การเดินบนเส้นทางนี้ ซินแสช่วยได้มาก...เครื่องราง ความเชื่อ ล้วนส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจใต้ดิน’ คำสั่งเสียที่ได้รับการปลูกฝังมาตลอดและเห็นเป็นที่ประจักษ์ตามาตลอด มันทำให้เขาไม่เคยมองว่าเรื่องพวกนี้ไร้สาระ

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็จำจะต้องเดินทางไปเจรจากับผู้ร่วมผลประโยชน์ที่กำลังตีใจออกห่าง การแก้ปัญหาแบบปะทะนั้นสามารถทำได้แต่มันช่างไม่คุ้มเสีย

คนฉลาดอย่างเกริกหล้า จึงเลือกที่จะใช้การเจรจาอย่างสันติเป็นอันดับแรก

“นี่มันอะไรกันอะเมฆ? ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?” เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากไหว้พระแม่ลักษมีเสร็จแล้ว กลับบ้านไปเธอก็ฝันถึงท่าน...ฝันว่าตัวเองมากราบท่านอีกครั้งในชุดสีชมพู และมีขนมหวานน่ารับประทานมากมาย

ปิ่นมณีจึงเดินทางมากราบท่านอีกครั้งด้วยชุดสีชมพูและแวะซื้อขนมไหว้ท่าน ซึ่งแถวนี้ก็มีขนมที่ใช้ได้หลายอย่าง และเมื่อเสร็จเรียบร้อย ก็เดินแวะมาหาแฟนหนุ่มแบบไม่ได้บอกล่วงหน้า

ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ที่พบว่าเขากำลังยืนจับมือถือแขนกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ เหมือนคู่รักมากกว่าเพื่อนร่วมงานทั่วไป

“เปลว! มาได้ยังไงเนี่ย” เขาผละออกห่างจากผู้หญิงคนนั้นทันที แต่พอเห็นผู้หญิงคนนั้นหน้าเสียและงวยงง ก็รีบดึงมือเธอมาจับไว้อีกครั้งอย่างปกป้อง

“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? แล้วทำไมจะต้องจับมือถือแขนกันด้วย?” หญิงสาวร่างเล็กที่อยู่ในชุดพนักงานบริษัทเรียบหรู กลอกแววตากลมโตไปมา มองหน้าชายหนุ่มและหญิงสาวแปลกหน้า ที่ดูจากสภาพแล้ว ไม่น่าจะมารู้จักคนดูดีอย่างประชาได้

“ใครเหรอคะเมฆ แม่บ้านที่บ้านเหรอคะ?” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นเชิงไร้เดียงสา จนคนได้ยินถึงกับเลือดขึ้นหน้า

“ฉันเป็นแฟนเมฆ เธอนั่นแหละเป็นใคร!” ปิ่นมณีว่าเสียงสั่น หยาดน้ำใสเริ่มพากันมาออที่เบ้าตา มองหน้าชายหนุ่มอีกครั้งเชิงขอคำตอบ

“เราเลิกกันเถอะเปลว” เขาตัดสินใจพูดพร้อมบีบมือผู้หญิงคนนั้นแน่น

“อ๋อ...ผู้หญิงที่เมฆเล่าให้ฟังว่า ไปกันไม่ได้นานแล้ว แต่ก็พยายามยื้อนะเหรอคะ?” สายตาเชิงเหยียดของผู้หญิงคนนั้น บีบเข้าที่หัวใจของปิ่นมณีอย่างแรง

“นี่มันอะไรกันน่ะเมฆ หมายความว่ายังไง?” คนที่ชาและสั่นไปพร้อมๆ กัน รู้สึกโหวงไปหมด บอกไม่ถูกว่าจะต้องรู้สึกอะไรก่อนดี

“หมายความว่าเราเลิกกันไง กลับไปได้แล้ว”

“เลิกอะไร อยู่ๆ ทำไมมาบอกเลิกแบบนี้ล่ะ” เธอพยายามจะคว้าแขนเขาเอาไว้ ความผิดหวังจากเรื่องงานที่รอจะเล่าให้เขาฟัง เธอยังไม่ได้เล่าเลย

แล้วนี่อะไร เขากำลังจะหลุดมือไปแบบที่เธอทำอะไรไม่ได้เลยงั้นหรือ?

“ผู้ชายเขาไม่เอาแล้ว เธอก็ควรจะเข้าใจนะ...ไปกันเถอะค่ะเมฆ” ผู้หญิงคนนั้นปัดมือเธอออกจากเขา พร้อมรีบพากันเดินจูงเข้าไป

“เมฆ! เมฆอย่าไปนะเมฆ!” เธอพยายามจะวิ่งตามเขา แต่พอเห็นสายตาของผู้คนที่มองมา ทำให้เธอได้แค่มองตามและร้องเรียกเขาเท่านั้น

ความว่างโหวง เจ็บปวดและทำอะไรไม่ถูกที่ปนเปกัน ทำเอาเธอยืนเคว้งอยู่ตรงนั้นต่ออีกสักพักใหญ่ ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเดินไปไหน นอกจากหาที่นั่งทรุดลงลำพัง ทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น

อย่าบอกนะว่าที่เขาเปลี่ยนไป...เพราะเขามีคนอื่นมาสักพักแล้ว

“จบ...” การเจรจาที่ไม่ราบรื่นกินเวลาไปร่วมๆ 5 ชั่วโมง และผลสรุปของมันคือความเสียหาย จนเจนนี่ต้องแอบเปรยออกมาเบาๆ ไม่กล้าแม้แต่เงยหน้ามองคู่เจรจา

“ทางเราไม่สามารถที่จะให้สินค้าของคุณผ่านท่าเรือได้เหมือนเดิม เพราะทางเราก็โดนตรวจสอบหนักขึ้นจนเสียเวลาและได้ไม่คุ้มเสียมาตลอด”

“ก็จะจ่ายให้เพิ่มให้ ทำไมถึงเลือกที่จะไม่รับ” เกริกหล้าสวนขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ การเจรจาด้วยคำพูดดีดีแบบคนอื่น เขาไม่ใคร่จะถนัดเท่าไหร่ แม้จะเลือกเจรจาเป็นอันดับแรกมาตลอดก็ตาม

“เพราะความเสียหายมันไม่ใช่เงินทองไงครับ”

“แล้วมันคืออะไร” ทนายความประจำบริษัท เอื้อมมือมาแตะลำแขนผู้เป็นใหญ่เอาไว้เชิงปราม ก่อนเสนอตัวเจรจาต่ออย่างพินอบพิเทา และยอมรับเงื่อนไขนั้นแต่โดยดี

ส่วนค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปก่อนหน้า ดูว่าจะไม่สามารถเรียกคืนได้เสียด้วย เพราะตามสัญญาแล้ว จะไม่มีการทวงคืนแต่อย่างใดแม้งานจะไม่สำเร็จ

นี่คือข้อเสียหนึ่ง...ของระบบที่ไม่มีกฎหมาย และกฎหมู่ที่ฝ่ายนั้นก็มีพอๆ กันเสียด้วย

“สรุปเราต้องเสียเงินสิบล้านให้พวกมันฟรีๆ...สินะ!” เจนนี่ว่าอย่างหงุดหงิด ก่อนลดระดับใบหน้าลงเมื่อผู้เป็นใหญ่ได้ปรายสายตามา

“ฉันจะเอาคืนพวกมันอย่างสาสม”

“ใจเย็นก่อนเถอะครับท่าน ถ้าทำแบบนั้น...ความเสียหายอาจจะมากกว่าสิบล้าน”

“ยังไง” เกริกหล้าหันไปมองหน้า วรินทร เอนกยศทนายความผู้รู้ทั้งกฎหมายและกฎหมู่เป็นอย่างดี

“ผมคิดว่าทางนั้นกำลังเคลียร์ทางให้กับผู้ที่มีอำนาจเงินและอำนาจทางการมากกว่าทางเรา เท่านั้นเองครับ”

“ฉันไม่เคยกลัวใคร”

“แต่ช่วงนี้...เจ้าสีทองทักบ่อย อาจจะยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก” ซินแสผู้นั่งฟังเงียบๆ มาสักระยะเอ่ยขึ้นเชิงเรียบ หากแต่ทำให้คนใจร้อนได้หยุดคิด

“แล้วจะแก้ไขยังไงได้บ้างล่ะซินแส” เจนนี่รีบเอ่ยขึ้นเชิงร้อนใจ เธอเป็นหนึ่งในขบวนการติดตามเจ้านาย เพราะสามารถพูดได้หลายภาษา จึงเหมือนเป็นล่ามประจำตัวของเกริกหล้า

“ตรวจจากดวงชะตาและจังหวะการเคลื่อนย้ายของดวงดาวแล้ว คิดว่าน่าจะต้องทำการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตากันซะหน่อย อาจจะดีขึ้น”

“อาจจะ? แสดงว่าจะดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นก็ได้อย่างนั้นใช่มั้ย?” คนที่โวยวายเก่งกว่าใครว่าอย่างเดือดร้อน เพราะความเสียหายครั้งนี้มันไม่ใช่น้อยๆ เลย

“แล้วต้องสะเดาะเคราะห์ยังไงบ้าง” ใบหน้าเคร่งขรึมถามขึ้นเชิงหงุดหงิด อันที่จริงเขาไม่ชอบที่จะมาเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ก็จำต้องฟังเอาไว้

ไม่ใช่แค่เพราะว่าเป็นคำสั่งของบรรพบุรุษ แต่เป็นเพราะเคยเจอกับตัวมาแล้ว ถ้าจิ้งจกสีทองของตระกูลทักแล้วไม่เชื่อฟัง เขาโดนดีทุกครั้ง...แบบเลี่ยงไม่ได้

แบบต่อให้เก่งแค่ไหนก็พลาดและพ่ายแพ้เสียทุกครา!

“เห็นว่าครั้งนี้ต้องใช้วิธีการไถ่ชีวิตโคกระบือซะหน่อย เพราะไม่ได้ทำมาหลายปีแล้ว...ส่วนอื่นๆ ก็น่าจะให้ไปบริจาคทาน เลี้ยงอาหารคนยากจนตามปกติที่เคยทำครับ”

“ไถ่ชีวิตโคกระบือเหรอ” เขาไม่เคยทำมานานมากแล้ว และเป็นวิธีที่ไม่ค่อยจะสะดวกเท่าไหร่

“ต้องไปไถ่ด้วยตัวเองด้วยนะครับ ให้เลือกโคที่รู้สึกว่าอยากจะไถ่ออกมา...เอาออกมาแล้ว ก็ต้องเอาไว้ในคฤหาสน์แห่งนี้ แถมต้องเลี้ยงดูให้ดี จนอ้วนท้วนสมบูรณ์และห้ามฆ่าแกงเด็ดขาด จนกว่าจะสิ้นอายุขัยไปเอง” คำอธิบายที่ให้รายละเอียดตามมานั้น ทำเอาหลายคนตกใจไปตามๆ กัน

“มันต้องขนาดนั้นเลยเหรอซินแส ตายละ...แล้วใครจะเลี้ยงให้ละเนี่ย แถมกว่าจะตายอีก” เจนนี่โวยวายหนักกว่าใคร มองหน้ากับองอาจที่ดูกังวลไม่แพ้กัน

“แล้วต้องไปไถ่ที่ไหน” แต่ผู้เป็นเจ้านายกลับไม่ได้รู้สึกว่าจะเดือดร้อนเท่าไหร่ อยากจะทำให้เร็วที่สุดด้วย

“ตอนนี้ผมเช็กให้แล้ว โคกระบือขาดตลาด ต้องรอขนส่งมาจากต่างจังหวัด เห็นว่ามีคนไปปล่อยกันเยอะ”

“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะค่ะ ว่าซวยจริงจังมาก ขนาดจะสะเดาะเคราะห์ยังยากเลย...” คนปากมากจำต้องสงบปาก เพราะถูกทนายความประจำตระกูลมองเชิงปรามเข้าให้ เพราะว่าเป็นญาติๆ กัน ที่แนะนำให้มาทำงานที่นี่ตั้งแต่รุ่นไหน

“ก็มันจริงนี่นา” ยอมสงบปากก็จริง แต่ก็ยังแอบบ่นอุบอิบตามหลัง ซึ่งไม่มีใครได้ถือสากับความปากสว่างของล่ามร่างใหญ่ผู้นี้

“ตามนั้น” ว่าพร้อมลุกขึ้นยืน เตรียมพร้อมที่จะกลับคฤหาสน์ด้วยทีท่าสงบ ทั้งที่ร้อนใจ

คนที่ไม่เคยกลัวใครอย่างเขา อยากจะเข้าไปถล่มพวกมันให้สิ้นซาก เขาทำได้แน่...เขาเชื่อแบบนั้น หากไม่ติดที่ว่าดวงเขากำลังตก เขาคงจัดการพวกมันไปแล้ว

มันอาจจะเป็นเรื่องตลกสำหรับคนอื่น ที่ตระกูลเจ้าพ่อที่ใหญ่คับแผ่นดินจะเชื่ออะไรพวกนี้ แต่ก็อย่างว่า...ถ้าเขาไม่เจอกับตัวมาบ่อยครั้ง ก็คงไม่เชื่อหรอก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel