บทที่ 5
“แม็ครักแม่นะฮะ” เมลดาได้แต่ยืนมองหนึ่งคนมีชีวิตกับอีกหนึ่งดวงจิตที่อาจเรียกว่าวิญญาณหรือผี ที่ยังคงยึดติดไม่ยอมไปไหน จนกว่าจะคลายบ่วงที่ผูกเอาไว้ได้ ชีวิตคนเราก็คงหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย
และการได้พบแม็ค นั่นทำให้เธอคิดถึงอันเดรส ถ้าเธอสามารถมองเห็นผีได้จริงๆ เธอก็อยากมองเห็นเขาบ้าง แต่ไม่ว่าจะมองไปมุมไหนก็ไม่เห็นเลย ไม่แน่ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งอาจนำดวงวิญญาณของเขาไปสู่ภพภูมิที่ควรจะเป็นแล้วก็ได้
“พี่ฮะ เวลาแม็คหมดแล้ว แม็คต้องไปแล้ว”
“อ้อจ้ะ” เมลดาเอ่ยรับ รู้สึกใจหายบอกไม่ถูก ยิ่งได้เห็นภาพของเด็กชายที่พยายามกอดมารดาก็พลอยทำเอาน้ำตาเอ่อขึ้นมาอีก ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ แล้วเอ่ยกับมารดาของเด็กชายไป
“แม็คต้องไปแล้วค่ะ แกฝากบอก ว่าขอให้คุณดูแลตัวเอง”
“แม่รักแม็คนะลูก” คำบอกรักจากมารดาที่ได้ยิน ทำให้เด็กชายยิ้มออกมา ก่อนที่จะรีบวิ่งออกไปจากจุดที่ยืนอยู่อย่างเร็ว
เมลดาเห็นว่าเด็กชายแม็คยืนคุยกับใครอยู่อีกมุม แม้ภาพจะรางๆ แต่เธอก็มองออกว่าเขาคนนั้นใส่ชุดดำทั้งชุด ตัวสูงมากและยืนหันข้างให้เธออยู่ มีออร่าบางอย่างแผ่ออกมาจากตัว แต่กลับไม่ได้ดูน่ากลัว เป็นความรู้สึกที่เธอก็อธิบายไม่ถูก แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก แค่เธอกะพริบตาครั้งเดียว ภาพที่เห็นก็พลันหายไป
“ถ้าตอนนี้พี่สิงห์ยังไม่ได้ไปไหน มาหาเมได้ไหมคะ” เมลดาเอ่ยบอกกับอีกคนที่เธออยากพบเขามาก หวังลึกๆ ว่าเขาจะมาปรากฏตัวให้เธอได้เห็นบ้าง
เธอบอกลามารดาของเด็กชายแม็ค แล้วกลับไปหามารดาของเธอที่รถ ระหว่างทางที่นั่งรถกลับบ้านนั้น เมลดาก็อดคิดเรื่องที่เธอมองเห็นวิญญาณไม่ได้จริงๆ เธอสับสนว่านี่มันคือเรื่องจริงหรือแค่ความบังเอิญเท่านั้น
กระทั่งรถที่กำลังนั่งอยู่ ค่อยๆ แล่นผ่านจุดที่เธอประสบอุบัติเหตุ จังหวะนั้นหัวใจของเมลดาบีบอัดจนรู้สึกหายใจไม่ออก แม้จะไม่อยากมองแต่สายตากลับไม่อาจละไปจากภาพของสถานที่เกิดเหตุ ที่ยังทิ้งร่องรอยของความเสียหายจนทำให้น้ำตาเธอเอ่อ
“เม”
“เมไหวค่ะแม่” เมลดาหันไปตอบมารดา ที่ตอนนี้เอื้อมมือมากุมมือของเธอแล้วบีบเบาๆ ก่อนจะหันไปขับรถต่อ ส่วนเธอก็หันไปมองยังต้นไม้ที่หักครึ่งไปเพราะแรงชนของรถตอนเกิดเหตุ จังหวะที่รถกำลังจะผ่าน สายตาเธอก็มองเห็นผู้ชาย ใส่สูทสีดำคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
“พี่สิงห์” เธอเอ่ยชื่ออันเดรสออกมา แม้จะมองไม่เห็นหน้า แต่รูปร่างและความรู้สึกของเธอบอกว่านั่นคืออันเดรสแน่นอน
“แม่คะ จอดรถก่อน” เมลดารีบบอกมารดา ช่อทิพย์จึงต้องหาที่จอดรถ เมื่อรถจอดสนิท เมลดาก็รีบเปิดประตูแล้วก้าวลงไปทันที แต่ทว่ากลับพบแค่ความว่างเปล่า
“พี่สิงห์ ใช่พี่สิงห์จริงๆ ใช่ไหม อย่าหายไปแบบนี้ ได้โปรด” ประโยคที่ดังมาให้ได้ยิน ทำให้ช่อทิพย์ที่ตามหลังมาเดินไปรั้งแขนบุตรสาวไว้ แววตาเธอเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“สิงห์เขาไปสบายแล้วลูก”
“ตะ…แต่เมื่อกี้นี้เมเห็นพี่เขาจริงๆ นะคะแม่”
“ลูกแค่ตาฝาดไปเท่านั้น กลับบ้านเรากันเถอะ” ช่อทิพย์เน้นคำว่าเราให้ชัดๆ และนั่นก็ช่วยดึงสติของเมลดาได้มาก
“ค่ะ” เธอเอ่ยรับ แล้วกลับไปขึ้นรถ ก่อนที่มารดาจะขับพากลับบ้าน
การมองเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นของเมลดา ทำให้วิญญาณบางดวงที่ยังคงติดอยู่กับบ่วงทั้งดีและไม่ดี ต่างเฝ้ามองพร้อมกับพยายามเข้าหาเธอ เพื่อให้ผู้ที่สามารถมองเห็นพวกเขาช่วยปลดบ่วงเหล่านั้นให้ ดวงวิญญาณจะได้เป็นอิสระ ไม่ต้องอยู่กับสภาวะเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วยยย”
เสียงหวีดร้องขอความช่วยเหลือ ดังแว่วมาให้เมลดาได้ยินเป็นระยะๆ เธอหันซ้าย หันขวามองหาที่มาของเสียง แต่กลับไม่พบ
“เป็นอะไรเม นั่งกระสับกระส่ายเชียวลูก”
“เอ่อ…มดกัดน่ะค่ะแม่ มันเลยคันๆ” เมลดาพูดปด นั่นเพราะไม่อยากให้มารดาต้องมากังวลกับการเห็นวิญญาณหรือผีของเธออีก และตัดสินใจที่จะไม่เล่าเรื่องนี้ให้มารดารู้เด็ดขาด
เมลดานั่งหลับตา พร้อมกับสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามไม่คิดเรื่องวิญญาณ เรื่องผีอะไรทั้งนั้น ส่วนผู้ชายใส่สูทสีดำคนเมื่อครู่ เธอก็แค่ตาฝาดอย่างที่มารดาบอกจริงๆ ก็เป็นได้ เพราะมันเป็นภาพรางๆ ไม่ได้ชัดเจนเหมือนกับวิญญาณของแม็ค
แต่พอเธอลืมตาขึ้นมอง กลับต้องสะดุ้งโหยงแล้วส่งเสียงร้องกรี๊ดออกมาอย่างตกใจ
“เม เมเป็นอะไรไปลูก” ช่อทิพย์รีบจอดรถเข้าข้างทางซึ่งเป็นถนนทางเข้าหมู่บ้านแล้ว จากนั้นก็รีบเอ่ยถามขึ้น
“ตะ…ตะกี้เมเห็นคนวิ่งตัดหน้ารถน่ะค่ะแม่” เมลดาหลับหูหลับตาบอก ไม่กล้าแม้จะเงยหน้าขึ้นมอง เพราะภาพที่เห็นเมื่อครู่ มันน่ากลัวมาก
“ไม่มีนะเม”
“มะ…ไม่มีเหรอคะ”
“จ้ะ…ไม่มี” คำตอบของมารดา ทำให้เมลดาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง และสิ่งที่เธอเห็นตอนนี้คือภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้ารถ เธอจะเฉยๆ มากหากผู้หญิงคนนั้นมาอย่างคนปรกติ แต่นี่…เธอมาพร้อมกับเลือดท่วมตัว หน้าตาเละๆ อีกต่างหาก
“ถ้าจะให้ช่วย อย่ามาทำให้กลัว ไม่งั้นจะไม่ช่วยเด็ดขาด จะแช่งให้ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดด้วย” สายโหดเริ่มทำงาน เมลดาเอ่ยเสียงเขียวปัด ปรกติเวลาเธอจะขอความช่วยเหลือใคร เธอจะขอดีๆ และยามที่ใครจะมาขอความช่วยเหลือ เธอก็หวังให้เขามาดีๆ เช่นกัน
“เม ลูกคุยกับใครน่ะ”
“ไม่มีค่ะ ไม่มี” เมลดาหันมาตอบมารดา ที่ตอนนี้สีหน้าสับสนเล็กน้อย และพอหันกลับไปยังหน้ารถ สิ่งที่อธิบายไม่ได้นั้นก็หายไปแล้ว
“เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ เมรู้สึกหิวแล้ว อยากกินข้าวฝีมือแม่”
“ได้จ้ะ” ช่อทิพย์พยักหน้าให้ แล้วขับรถตรงกลับบ้านทันที เมื่อมาถึงเธอก็ตรงเข้าครัว แต่ใจนั้นก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงอาการแปลกๆ ของเมลดาที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน
ส่วนคนถูกสั่งให้นั่งพักก็นั่งคิดอะไรไปเรื่อย กระทั่งรู้สึกว่ากระแสจิตจากใครหรืออะไรบางอย่างส่งมาจากนอกรั้วบ้าน นั่นทำให้เมลดาต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวที่นั่งอยู่แล้วเดินตรงไปยังหน้าบ้าน และนั่นทำให้เธอได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง
“ฉันขอโทษที่ทำให้เธอกลัว แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“อ้อ…เธอนั่นเอง” ประโยคที่เธอคนนั้นเอ่ย ทำให้เมลดาถึงบางอ้อ มาให้เห็นแบบปรกติแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย นี่โผล่มาแบบเลือดท่วม หน้าเละๆ แบบนั้น ใครมันจะไม่กลัว
“ฉันอยากมาให้เธอช่วย”
“ช่วย”
“ใช่…ฉันถูกรถชนแต่ฉันยังไปไหนไม่ได้ จนกว่าจะมีใครพบศพ เอ่อ…ร่างของฉัน”
“แล้วร่างเธออยู่ที่ไหน”
“อยู่ในคลองหน้าหมู่บ้าน เธอช่วยฉันด้วยนะ ช่วยพาฉันกลับบ้านที” สายตาวิงวอนของผู้หญิงตรงหน้า ทำให้เมลดาไม่อาจปฏิเสธได้
“ได้สิ”
“ขอบคุณมาก” เธอส่งยิ้มให้ แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เมลดารู้สึกเย็นๆ สันหลังอยู่บ้างก็ตามที
เมลดากลับเข้ามาในบ้าน หยิบกุญแจรถติดมือมา จากนั้นก็ตรงไปยังรถที่จอดอยู่ ทันทีที่เธอสตาร์ทรถ เสียงมารดาก็ดังขึ้น
“เม…นั่นจะไปไหนลูก”
“ไปเซเว่นค่ะแม่ พอดีเมรู้สึกว่าประจำเดือนจะมา แต่เดี๋ยวเมกลับมากินข้าวด้วย” เมลดารีบบอก แล้วขับรถออกไปทันที เธอรีบจัดการติดต่อกับมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งและตำรวจเพื่อให้ไปตรวจสอบจุดที่ผู้หญิงคนนั้นบอกไว้
