จุมพิตยมทูต

101.0K · จบแล้ว
วรนิษฐา
62
บท
1.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ทุกอย่างกำลังสวยงาม แต่ทว่ากลับต้องมาจบลงและไร้ซึ่งการบอกลา หากคุณรู้สึกตัวจากอุบัติเหตุแล้วคุณสามารถมองเห็นวิญญาณได้ คุณจะรู้สึกอย่างไร และหากวิญญาณดวงนั้นคือวิญญาณของคนที่คุณรัก…คุณจะทำยังไง ซ้ำร้ายเขายังจำคุณไม่ได้ และเขาเป็นถึง ‘ยมทูต’

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักประธานผู้ชายอบอุ่นพระเอกเก่งดราม่า

บทที่ 1

วันศุกร์แห่งชาติ คือการเรียกวันศุกร์สิ้นเดือน ที่วันนี้เบี้ยยังชีพของเหล่าพนักงานออฟฟิศจะถูกโอนเข้าบัญชี และบวกกับเป็นวันสุดท้ายของการทำงาน ส่งผลให้การจราจรนั้นยิ่งติดขัดยกกำลังสอง

แม้ตอนนี้จะสองทุ่มแล้วแต่ ‘เมลดา’ หนึ่งในพนักงานผู้รับเบี้ยยังชีพก็ยังไม่กลับบ้าน หลังเลิกงานจึงตรงดิ่งมาร้านกาแฟของเพื่อนสนิท ซึ่งอยู่ใกล้กับออฟฟิศของเธอ ช่วยทำนั่นทำนี่ฆ่าเวลา เพราะยังไม่อยากฝ่าการจราจรกลับบ้านเอาเวลานี้สักเท่าไหร่

เธอเป็นพนักงานออฟฟิศธรรมดาๆ งานว่าธรรมดาแล้ว รูปร่างหน้าตาก็ยังธรรมดาอีกต่างหาก ผิวสีแทนตามแบบฉบับสาวใต้ จมูกก็โด่งมากกว่าคนอื่นเขาหน่อย ตาคมๆ ที่หลายคนชอบบอกว่าเธอตาดุ และเธอก็ดื่มนมมาตั้งแต่เด็กๆ จนจะฉี่ออกมาเป็นกลิ่นนม แต่ส่วนสูงกลับหยุดอยู่แค่ร้อยหกสิบ ผิดกับน้ำหนักที่เพิ่มเอ้าเพิ่มเอาจนเธอกลุ้ม

เมื่อน้ำหนักมันไม่สัมพันธ์กับส่วนสูง เธอจึงต้องหาวิธีรีดไขมัน ทั้งเข้าฟิตเนส อดอาหาร แต่สุดท้ายกลับไปไม่รอดสักอย่าง ตบะแตกจนกินบุฟเฟ่ต์ชดเชย จนกระทั่งมีเหตุให้ต้องไปวิ่งมินิมาราธอน เพราะบริษัทที่เธอทำงานอยู่เป็นเจ้าของโปรเจกต์ระดับชาตินี้ และการวิ่งก็ทำให้เธอได้พบกับใครคนหนึ่งเข้า เธอรู้แค่ว่าเขาหล่อและดูดีมาก แถมชื่อเล่นก็ออกจะแมน

‘พี่สิงห์’ คือชื่อเล่นของเขา คิดเรื่องนี้แล้วเมลดาก็นั่งคิดถึงความหลังเสียหน่อย จำได้ว่าเธอลงทุนสืบประวัติของ ‘พี่สิงห์’ อย่างจริงๆ จังๆ สืบไปสืบมาถึงรู้ว่าเขาทำงานตึกเดียวกับเธอ แต่คนละบริษัทเท่านั้นเอง และยิ่งสืบก็ยิ่งรู้ว่า ‘พี่สิงห์ หรืออันเดรส สิงห์ ปัณฑวิรุจ’ ของเธอนั้นฮอตมากถึงมากที่สุด จากที่คิดว่าเขาเป็นพนักงานบริษัทกลับกลายมาเป็นว่าเขาคือเจ้าของบริษัทส่งออก

ความโสดของเขาเหมือนแม่เหล็ก ที่ดูดสาวๆ เข้าหาไม่ได้ขาด สาวน้อยสาวเหลือน้อยแอบปลื้มไปทั้งตึกก็ว่าได้ และเธอก็คือหนึ่งในนั้น เมื่อชอบทางเดียวที่ทำได้คือการหมั่นออกไปวิ่งเพื่อจะได้เจอเขาและจะได้ผอมไปในตัว นั่นเพราะรู้ว่าอันเดรสชอบวิ่ง และการวิ่งก็ทำให้เธอได้เจอกับเขาบ่อยๆ อย่างที่คิดไว้จริงๆ

และวันหนึ่งก็มีเหตุให้ได้คุยกับเขาอย่างเป็นทางการ เพราะขณะที่กำลังขับรถกลับบ้าน เธอก็เห็นอันเดรสยืนเท้าสะเอวมองรถที่ตอนนี้เปิดฝากระโปรงไว้ เธอรีบจอดรถ จากนั้นก็รีบก้าวเข้าไปหาเขา พร้อมกับเอ่ยขึ้น

“มีอะไรให้เมช่วยไหมคะ”

“รถผมน่าจะมีปัญหานิดหน่อยน่ะครับ มันสตาร์ทไม่ติด”

“น้ำมันหมดหรือเปล่าคะ”

“เปล่าครับ เพราะผมเพิ่งเติมเต็มถังไปเมื่อเช้า” เสียงทุ้มเอ่ยตอบ ขณะนั้นก็หันมามองผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ตอนนี้ยืนทำหน้าครุ่นคิดอยู่ข้างๆ

“หรือไม่ก็แบตเตอรี่รถยนต์น่าจะหมด”

“อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ” อันเดรสยิ้มออกมา

“งั้นคุณลองสตาร์ทรถให้ฉันฟังหน่อยสิ”

“ได้ครับ” รับปากเสร็จเขาก็กลับเข้าไปนั่งในรถ จากนั้นอันเดรสก็ทำตามที่เมลดาบอก แค่ฟังเสียงเครื่องยนต์ คนตัวเล็กก็รู้ถึงสาเหตุ

“เสียงแบบนี้ แบตเตอรี่น่าจะหมด งั้นรอตรงนี้ก่อนนะคะ” เธอยิ้มให้แล้วเดินกลับไปขับรถของตัวเองมาจอดข้างๆ รถของอันเดรส เปิดฝากระโปรงรถขึ้น เดินไปหยิบสายพ่วงแบตเตอรี่จากท้ายรถออกมา จากนั้นก็ทำการพ่วงแบตเตอรี่จากรถของเธอไปยังรถของ อันเดรสด้วยท่าทางคล่องแคล่ว คล่องเสียจนผู้ชายอกสามศอกยืนอึ้ง

“คราวนี้ลองเข้าไปสตาร์ทรถดูอีกทีนะคะ ว่าติดไหม”

“อ้อครับ” อันเดรสเอ่ยรับ เพราะกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น ไม่คิดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะสามารถทำอะไรพวกนี้ได้จริงๆ พอย้อนคิดถึงตัวเองก็อายอยู่เหมือนกัน

เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น บ่งบอกว่ารถของอันเดรสนั้นสตาร์ทติดแล้ว ชายหนุ่มส่ายหน้าให้ตัวเอง เพราะเขาแทบไม่มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์อะไรพวกนี้เลย ก่อนจะก้าวออกจากรถแล้วเดินตรงไปหาผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อาสาเข้ามาพ่วงแบตเตอรี่ให้

“ขอบคุณมากครับคุณเมที่เข้ามาช่วยผมไว้” อันเดรสจำชื่อเธอได้ เพราะเธอเอ่ยตอนถามเขาว่ามีอะไรให้ช่วยไหม

แต่แค่อันเดรสเรียกชื่อ กลับทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์ ทำไมเสียงห้าวทุ้มของเขาถึงได้ฟังดูเพราะขนาดนี้ก็ไม่รู้ ยิ่งอยู่ใกล้รัศมีความหล่อก็ยิ่งมีมากจนทำให้เธอเพ้อ นั่นทำเอาเธอต้องรีบยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตา ก่อนจะตั้งสติแล้วเอามือลง

“ไม่เป็นไรค่ะ” น้ำเสียงสดใสของเมลดาเอ่ยตอบ แต่ท่าทางของเธอกลับทำให้อันเดรสยิ้มกว้างออกมา เพราะตอนนี้หน้าเธอเลอะเทอะด้วยคราบดำๆ เต็มไปหมด

“ยืนนิ่งๆ ก่อนนะครับ” เอ่ยจบ อันเดรสก็ขยับเข้ามาใกล้ จากนั้นเขาก็ใช้ผ้าสะอาดเช็ดคราบบนหน้าออกให้เธออย่างอ่อนโยน หน้ามอมแมมอย่างกับลูกแมวจึงค่อยๆ สะอาดขึ้น

ตอนนี้คนตัวเล็กยืนแข็งทื่อ เงยหน้ามองเขาจนคอแทบจะเคล็ด ดวงตากลมโตกะพริบเข้าหากันหลายต่อหลายครั้ง ใจดวงน้อยบนอกซ้ายนั้นเต้นโครมครามจนกลัวอันเดรสจะได้ยิน

กลิ่นเหงื่อผสมกับกลิ่นโคโลญจน์ที่ลอยออกมาจากตัวเขา ทำไมถึงได้หอมอย่างนี้ก็ไม่รู้ หอมจนเธออยากซุกหน้าไปเข้าดมให้เต็มปอด กล้ามแขนที่โผล่พ้นขอบเสื้อกล้ามก็เป็นมัดๆ ดูไกลๆ ว่าหล่อแล้ว แต่ตอนนี้ใกล้จนเห็นไรหนวดเขียวๆ อันเดรสก็ยิ่งหล่อ คิ้วหนา จมูกโด่ง ปากหยักสีแดง ถ้าได้จูบจะรู้สึกฟินแค่ไหนน้อ

“เสร็จแล้วครับ หน้าคุณสะอาดแล้ว”

“อ้อค่ะ ขอบคุณมาก” เสียงของอันเดรสทำให้เธอหลุดออกจากภวังค์ ที่กำลังมโนเป็นตุเป็นตะไปไกลแสนไกลอยู่คนเดียว

“ผมสิงห์ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งครับคุณเม”

“ค่ะ”

“คุณเก่ง รู้เรื่องเครื่องยนต์ด้วย ผิดกับผมที่ทำอะไรไม่เป็นเลย นี่ถ้าไม่ได้คุณ ป่านนี้ก็คงยังงงอยู่แน่ๆ ว่าทำไมรถถึงสตาร์ทไม่ติดเสียที”

“พอดีว่าพ่อเมสอนไว้น่ะค่ะ เวลาขับรถไปไหนมาไหน เกิดฉุกเฉินจะได้ดูเครื่องยนต์เป็น”

“ดีจังครับ แบบนี้ผมคงต้องหาเวลาว่าง ให้คุณเมช่วยสอนหน่อยแล้ว” คำพูดของเขา ทำให้เธอยิ้มเขิน แต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้ ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวเขาจะหาว่าเธออ่อยเหมือนคนอื่นๆ ซึ่งเธอไม่อยากเป็นแบบนั้น

“เมรู้แค่เรื่องพื้นฐานเท่านั้นเองนะคะ ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรเป็นพิเศษ”

“แต่สิ่งที่คุณเมรู้มันก็มากกว่าที่ผมรู้ตั้งเยอะ” มีอะไรบางอย่างในตัวของเมลดา ที่ทำให้อันเดรสสนใจ และบางอย่างที่ว่า อีกไม่นานเขาจะได้คำตอบ

“นั่งคิดอะไรอยู่แก เหม่อเชียว” เสียงทักของชมพู่ ทำให้เมลดาหลุดออกจากอาการมโน

“คิดถึงหนุ่ม”

“อ้อ พี่สิงห์อะไรของแกนั่นน่ะเหรอ”

“อื้อ เขาหล่อ ดูดี แกคิดว่าเขาจะชอบฉันไหม” เมลดาหันมาถามคนข้างๆ ที่ตอนนี้กำลังครุ่นคิดจนคิ้วชักจะเริ่มขมวด

“ไม่รู้สิ แต่ผู้ชายหล่อมักจะคู่กับผู้หญิงขี้เหร่ แกก็ขี้เหร่ออก เขาต้องชอบแน่นอน” คำพูดของชมพู่ ทำเอาคนฟังกลอกตามองบน

“ปากหรือยะนั่นนะ”

“เอ้านี่เค้าพูดจริงๆ นะ บางทีพี่สิงห์ของแกอาจเป็นคนชอบของแปลก”

“บ้า” เมลดามองชมพู่ๆ ค้อนๆ ก่อนที่บทสนทนาของทั้งคู่จะจบลง เมื่อมีแขกเข้ามาในร้าน ชมพู่กลับไปรับออเดอร์ ส่วนเมลดาก็นั่งคิดนู่นนี่นั่นของเธอไปเรื่อยเปื่อย กระทั่งชมพู่ปิดร้านทั้งคู่จึงแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน