บทที่ 6
โดยขอให้พวกเขาตรวจสอบคลองเป็นพิเศษ ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้และหญ้าสูงท่วมหัว กระทั่งมีการรายงานว่าได้พบศพของผู้หญิงคนหนึ่งเข้าจริงๆ จากสภาพศพเธอเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามวัน สาเหตุเพราะถูกรถชน
ทางตำรวจรีบแจ้งญาติให้ทราบทันที เพราะก่อนหน้านี้ญาติได้เข้าแจ้งความเรื่องคนหายไว้แล้ว
“ขอบใจเธอมากนะ ที่ช่วยปลดปล่อยเรา”
“ไม่เป็นไร” เมลดายิ้มให้ ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะค่อยๆ จางหายไป การได้ช่วยแม้จะไม่ใช่กายที่มีเลือดเนื้อ แต่เมลดากลับมีความสุข อิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อเสร็จธุระ เธอก็ขับรถตรงกลับบ้าน แต่คราวนี้กลับยิ่งถูกสิ่งที่อธิบายไม่ได้มากมาย มาปรากฏตัวให้เห็น ทั้งที่ตั้งใจมาหลอกหลอน ทั้งที่ตั้งใจมาขอความช่วยเหลือจากเธอ
วัตถุประสงค์หลังนี่มาโผล่แบบไม่น่ากลัวสักเท่าไหร่ แต่ก็ตกใจกับการที่อยู่ๆ ก็โผล่พรวดเข้ามาอยู่ไม่น้อย ส่วนวัตถุประสงค์แรก คล้ายผีโรคจิตที่มาเพื่อหลอกให้เธอกลัวโดยเฉพาะ คิดแล้วมันน่าจับใส่หม้อถ่วงน้ำนัก ฮึ๋ย!
“พอแล้ว ไม่อยากเจอแล้ว พอ” เมลดาตะโกนดังลั่นรถ ความกลัวแล่นมาเกาะกุมหัวใจ เธอไม่อยากเห็นอะไรพวกนี้อีกแล้ว
และทันทีที่ขับรถมาถึงบ้าน เธอกลับไม่เห็นผีเหล่านั้นสักตนเดียว เมลดายืนงงๆ ชักจะสับสนว่าตอนไหนของจริง ตอนไหนเธอถูกผีหลอกกันแน่
ก่อนจะสะดุ้งเมื่อมารดาเอ่ยเรียก เธอหยุดคิดทุกอย่างไว้แค่นี้แล้วเดินเข้าไปทานข้าวที่ช่อทิพย์เตรียมไว้ให้ โดยเลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องที่เธอเห็นอะไรมา นั่นเพราะไม่อยากให้มารดาต้องกังวล
“ความรู้สึกแบบนี้มาอีกแล้ว” เมลดาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะมองไปนอกกำแพงบ้าน นั่นเพราะเธอสัมผัสได้ว่ามีใครหรืออะไรยืนอยู่ ความรู้สึกเหมือนตอนอยู่ที่วัดไม่มีผิด มันไม่ได้น่ากลัวเหมือนตอนเธอเจอผี แต่ก็อธิบายไม่ได้ว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน
เมื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คนสนิทเบอร์หนึ่งอย่างมารดาฟังไม่ได้ คนสนิทเบอร์สองอย่างชมพู่จึงต้องมานั่งรับฟังแทน นั่นเพราะขืนเธอไม่พูดกับใคร มีหวังได้เป็นบ้าแน่ๆ
“แกว่าไงนะ แกมองเห็นผะ…ผีเหรอ” ชมพู่อุทานออกมา สีหน้าของเธอตอนนี้ซีดมากถึงมากที่สุด นั่นเพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับคนใกล้ตัว และดูท่าจะเป็นเรื่องจริงเข้าให้
“อื้อ”
“ละ…แล้วตอนนี้ ในบ้านแกมีผีป่าวอ่ะ”
“ในบ้านน่ะไม่มี แต่นอกบ้านน่ะก็ไม่แน่”
“เฮ้ย!แก อย่าพูดงี้ดิ ฉันกลัว” ชมพู่ลุกพรวดไปนั่งเก้าอี้ตัวเดียวกับเมลดาพร้อมกับเกาะแขนเพื่อนไว้แน่น สายตาก็มองไปมารอบๆ อย่างระแวง
“ก็จริง ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามนู่นแน่ะตนนึง”
“อ๊ากกก แกอย่าพูด”
“แต่ตอนนี้หายไปแล้ว” ถึงไม่หาย แต่เมลดาก็ต้องบอกว่าหาย รู้แบบนี้ ไม่น่าเล่าให้ชมพู่ฟังเลย เมลดาเอี้ยวตัวไปมองยังพิกัดที่เห็นผียืนอยู่ แม้จะไกลแต่เธอกลับสบตาสีแดงฉานนั้นได้ แววตาบ่งบอกความไม่เป็นมิตร จนทำให้เธอสงสัย ว่าเธอไปทำอะไรจนต้องโกรธกันหรือเปล่า
แต่เพราะตอนนี้อยู่ในบ้าน รู้สึกถึงความปลอดภัย เหมือนมีคนคอยปกป้องอยู่ นั่นทำให้เมลดาไม่รู้สึกกลัวจนขนหัวลุกเหมือนกับอยู่นอกบ้าน แต่ว่าอีกสามวันเธอต้องกลับไปทำงานแล้วนี่สิ คือปัญหา ว่าเธอจะรอดได้ยังไง คิดแล้วก็หลอน
“แล้วแกทำไงอ่ะ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ผีๆ เต็มไปหมดแบบนี้”
“ยังคิดไม่ออกเลย”
“แต่ฉันคิดออก” ชมพู่เอ่ยจริงจัง ทั้งๆ ที่ตอนนี้ยังนั่งติดกับเมลดา พลอยทำให้เจ้าของบ้านมองอย่างอยากรู้ ว่าเพื่อนคิดอะไรออก
“แกคิดออก คิดอะไรพู่”
“คิดว่าต่อจากนี้ไปชีวิตแกจะมีแต่ความหลอนน่ะสิ มองเห็นอะไรไม่เห็น ดั๊นมองเห็นผี โอ๊ย! กลัวแทน”
“แกก็อย่าตอกย้ำสิ ฉันยิ่งกลัวๆ อยู่” เมลดามองเพื่อนค้อนๆ นั่นเพราะเธออยากมองเห็นผีเสียเมื่อไหร่ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“แต่จะว่าไป ช่วงนี้ผีพวกนั้นได้แต่ยืนมองฉันอยู่ห่างๆ ไม่ได้โผล่หน้ามาใกล้ๆ เหมือนช่วงแรกๆ แกว่ามันแปลกไหม” พูดไปแล้วก็ชวนให้สงสัย เพราะครั้งแรกที่รู้ว่าตนมองเห็นผีได้ บรรดาผีๆ ก็ขยันโผล่หน้ามาให้เห็นระยะประชิดเสียเหลือเกิน เธอไม่จับไข้หัวโกร๋นก็ดีเท่าไหร่แล้ว
“ไม่แปลก เพราะถึงจะมาให้เห็นแบบห่างๆ แต่นั่นก็ผีนะคะคุณแก ไม่ใช่หนุ่มหล่อไอดอลเกาหลี จะได้ปลื้มปริ่ม ดีใจประหนึ่งมีหนุ่มหล่อพระเอกซีรีส์มาชวนออกเดต” คำเรียกเธอว่าคุณแกของชมพู่ ทำให้คนฟังยิ้มขำ ออกแนวสับสนว่าเพื่อนจะสุภาพหรือยังไงเหมือนกัน
“เอาน่ะ ทุกอย่างมันต้องมีทางออก ว่าแต่แก ตอนฉันนอนไม่ได้สติอยู่โรงพยาบาล มีผ่าตัดแล้วเอาอวัยวะของใครมาใส่ในตัวฉันใช่ไหมอะ” นั่นเพราะเมลดานึกถึงละครเรื่องหนึ่งเข้า ที่นางเอกมองเห็นผีได้หลังรับการผ่าตัดเปลี่ยนตา
“มีที่ไหนกันเล่า ถ้ามีแล้วรอยผ่าตัดบนตัวแกมีสักทีปะล่ะ”
“ก็ไม่มี”
“แล้วนี่แกมองเห็นพี่สิงห์ไหม” คำถามนี้ของชมพู่ ทำให้เมลดานิ่งไปชั่วขณะ เธออยากเห็นอันเดรสมากกว่าใคร แต่กลับไม่เห็น
“ไม่เห็นเลย แต่ก็ดีกว่ายังเห็น เพราะการไม่เห็นนั่นอาจหมายถึงพี่เขาหมดทุกข์และคงไปสู่ภพภูมิที่ดีแล้ว”
“จริง แล้วนี่ป้าทิพย์รู้ไหมว่าแกเห็นผีได้”
“ไม่รู้ ไม่อยากบอกด้วย” พูดถึงมารดาแล้วเมลดาก็คิดถึง เพราะตอนนี้ช่อทิพย์กลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดแล้ว อันที่จริงมารดาอยากอยู่ดูแลเธอต่อ แต่เมลดาห่วงบิดาและตอนนี้เธอก็แข็งแรงดี จึงขอให้มารดากลับ รวมทั้งยังไม่อยากให้มารดาจับพิรุธอะไรได้
“ก็ดี เออนี่…ฉันคิดไอเดียดีๆ ออกแล้ว” ชมพู่ยักคิ้วให้เพื่อนสนิท
“ไอเดียอะไร ดีจริงนะ”
“จริง…ฉันว่าแกต้องหาพระดีๆ มาบูชาบ้างแล้วแหละ”
“หืม…เล่นพระเล่นเจ้าเลยเหรอแก” เมลดาไม่ใช่ไม่ศรัทธา แต่ลุคของเธอมันไม่ค่อยเหมาะกับพระเครื่องสักเท่าไหร่
“เออ…พึ่งทางนี้แหละ ผีกลัวพระ รับรองว่ามีกระเจิงแน่ๆ ฉันยังมีติดตัวเลย นี่ไง” ชมพู่ดึงสร้อยคอซึ่งมีพระคล้องอยู่เป็นจี้ออกมาให้เมลดาได้เห็น
“แล้วแกได้องค์นี้มายังไง”
“พ่อฉันให้มา นี่พอได้ฟังเรื่องชวนขนหัวลุกของแกแล้ว ฉันละอยากได้พระดังๆ มาบูชาเพิ่มสักองค์สององค์”
“นี่จะเปลี่ยนแนวจากส่องซิกแพคโอปป้าเกาหลี มาเป็นส่องพระแล้วเหรอแก”
“เปล่า…แต่มีพระดีๆ ติดตัวมันก็มีชัยไปกว่าครึ่งนะ คุ้มครอง เป็นที่พึ่งทางใจให้เราได้ เดี๋ยวคงขอให้พ่อส่งพระดีๆ มาให้แกคล้องติดตัวบ้าง” คนพูดยิ้มกริ่ม นั่นเพราะรู้ว่าพ่อเธอมีพระดีๆ อยู่หลายองค์
“ขอบใจแก”
