บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

เสียงชนประสานงาของรถทั้งสองคันดังสนั่นไปทั่วบริเวณ แรงชนทำให้รถของอันเดรสเสียหลัก เขาควบคุมพวงมาลัยไม่ได้ ซึ่งตอนนี้รถกำลังไถลไปยังเสาไฟฟ้าที่อยู่ริมถนน และเป็นฝั่งที่เมลดานั่งอยู่

อันเดรสพยายามหมุนพวงมาลัยรถด้วยแรงที่มี หวังให้เกิดปาฏิหาริย์ เพราะไม่อย่างนั้นแรงอัดกระแทกที่จะเกิดขึ้นอาจส่งผลต่อชีวิตของเมลดา เขาขอรับทุกอย่างเอง ถ้าร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ก็ขอให้เป็นเขาคนเดียวเท่านั้น แค่เขาเท่านั้น

และคำขอของอันเดรสก็สัมฤทธิ์ผล

โครมมมมมม

เสียงโครมใหญ่ดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากรถของอันเดรสชนเข้ากับเสาไฟฟ้า แม้ด้านข้างลำตัวจะถูกอัดกระแทก แต่เขาก็ยังพอมีสติอยู่บ้าง จึงพยายามเอื้อมมือไปกุมมือของเมลดาไว้ และหลังจากนั้นทุกอย่างรอบตัวเขาดับมืดลงไปทันที

เมลดายืนอยู่ท่ามกลางหมอกสีขาวจัด ที่มองไปมุมไหน หรือเดินไปทางไหนก็เห็นแต่หมอก เธอตะโกนหาใครก็ไม่มีใครตอบรับ

“ที่นี่มันที่ไหนกัน หรือเราตะ…ตายแล้วเหรอ” เธอเอ่ยถามตัวเองเสียงสั่น ชีวิตดูหมดหวัง เพราะเดินไปทางไหนก็พบเจอแต่ความว่างเปล่า นั่นทำให้เมลดาร้องไห้ออกมา

หากเธอหมดลมหายใจจริงๆ ก็ขอกลับไปเจอคนที่เธอรักเป็นครั้งสุดท้าย พ่อแม่ ชมพู่และอันเดรส ป่านนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง เพราะสติครั้งสุดท้ายที่จำได้คือเธอกับเขาประสบอุบัติเหตุ

“พ่อจ๋า แม่จ๋า เมกลัว” น้ำเสียงสั่นๆ พร่ำเอ่ยกับตัวเอง กระทั่งเสียงเสียงหนึ่งดังก้องขึ้น

“เจ้าจงกลับไป จงกลับไปยังกายเนื้อของเจ้า”

“เมอยากกลับ แต่จะให้กลับยังไง ทางไหน” เมลดาเอ่ยถามทั้งน้ำตา เธอยังไม่พร้อมที่จะจากทุกคนมาในตอนนี้จริงๆ

“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะมาหาข้า กลับไป!” อยู่ๆ ก็มีแสงสว่างพุ่งใส่ตาทั้งสองข้างของเมลดา เธอหลับตาไว้แน่นแต่ยังคงรู้สึกถึงแสงสะท้อนนั้นได้อยู่

วิญญาณที่ควรจะหมดอายุไขแค่นี้ แต่เพราะมีการแลกเปลี่ยน นั่นทำให้ลมหายใจของเมลดาถูกต่อออกไปอีก และผู้ที่ล่วงรู้ว่าเวลาของเธอจะหมดลงไปเมื่อไหร่ คงมีเพียงเจ้าแห่งนรกเท่านั้น

ร่างบอบบางของเมลดา ค่อยๆ ขยับ พร้อมกับลืมตาที่พร่ามัวขึ้นมองเพดานสีขาว เธอพยายามคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น จำได้เพียงแค่ว่ารถที่เธอนั่งมากับอันเดรสเกิดอุบัติเหตุ และหลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย แม้แต่เรื่องที่เธอได้พบกับใครท่ามกลางหมอกสีขาวนั่น รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา แต่ก็ปะติดปะต่ออะไรไม่ได้

เธอยังคงบอบช้ำเพราะแรงชนของรถ แถมยังรู้สึกหิวน้ำมาก แต่กลับไม่มีแรงที่จะเปล่งเสียงออกไปด้วยซ้ำ สายน้ำเกลือหรือสายอะไรก็ไม่รู้ระโยงระยางเต็มตัวเธอไปหมด กระทั่งสายตาหันไปเห็นชมพู่ที่นอนอยู่บนโซฟาตัวยาวข้างเตียง

“พู่ พู่” เมลดาพยายามเปล่งเสียงแหบๆ เอ่ยเรียกชมพู่

“อะไรแก” เจ้าของชื่อที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงขานรับ คล้ายๆ จะหูแว่วเสียด้วยซ้ำ กระทั่งตั้งสติแล้วหันมายังเตียงคนไข้ จึงเห็น เมลดาสบสายตาปิ๊งๆ ชมพู่ถึงกับดีดตัวเองจากโซฟาแล้วปรี่เข้าหามาเพื่อนทันที

“เม รู้สึกตัวแล้วเหรอแก”

“อื้อ…ขอน้ำกินหน่อยสิ ฉันคอแห้งมาก”

“ได้ๆ” ชมพู่รีบรินน้ำใส่แก้ว หยิบหลอดมาด้วย แล้วค่อยๆ พยุงเมลดาขึ้นมาดื่ม จังหวะนั้นก็หันไปมองนาฬิกาที่บอกเวลาว่าตอนนี้เลยเที่ยงคืนมาได้สิบนาทีแล้ว

“ค่อยๆ ดูดแก ค่อยๆ”

“ขอบใจแก” หลังจากดื่มน้ำหมดไปครึ่งแก้ว เมลดาก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

“เป็นไงบ้างแก เจ็บตรงไหนไหม” น้ำเสียงห่วงใยของชมพู่เอ่ยถาม เธออาสาขออยู่เฝ้าเพื่อนรักแทนพ่อและแม่ของเมลดา โดยให้ท่านทั้งสองไปพักที่บ้าน เช้าค่อยมาเยี่ยม

“ทั้งตัวเลย โดยเฉพาะหัว เจ็บเหมือนจะระเบิด” เมลดานิ่วหน้า นั่นเพราะตอนนี้ความเจ็บวิ่งชน จนเธอชาไปทั้งตัว โดยเฉพาะบริเวณหัว

“งั้นรอก่อน ฉันเรียกหมอมาตรวจแกแป๊บ”

“พู่…พี่สิงห์เป็นไงบ้าง” คำถามของเมลดา ทำให้ชมพู่ดูจะหยุดการเคลื่อนไหวไปเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้า ท่าทางให้เป็นปรกติ

“เออเดี๋ยวบอก ตอนนี้ขอฉันไปตามหมอมาดูอาการของแกก่อนนะ” เอ่ยจบก็รีบออกไปตามหมอ กระทั่งชมพู่กลับมาพร้อมหมอและพยาบาลอีกสามสี่คน

เมลดาถูกส่งตัวไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยเฉพาะบริเวณศีรษะเพราะเธอบอกตลอดว่าปวดมาก แต่กลับไม่พบสิ่งผิดปรกติที่จะส่งผลต่อชีวิตในตอนนี้ แม้ก่อนหน้านี้สิ่งที่หมอเจ้าของไข้ห่วงมากที่สุดคือเธอสลบไปนานกว่าที่คิด นั่นเพราะกลัวว่าเมลดาจะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา

ใครต่อใคร เมื่อได้เห็นสภาพรถของอันเดรส ต่างไม่เชื่อว่าเมลดานั้นจะยังมีชีวิตรอด เพราะรถพังยับเยินแทบทั้งคัน แต่หญิงสาวกลับบาดเจ็บไม่มาก

เมื่อไม่มีอะไรน่าห่วง ชมพู่จึงปลีกตัวไปโทรศัพท์หาแม่และพ่อของเมลดา เพื่อบอกข่าวดีว่าตอนนี้ลูกสาวของท่านทั้งสองคนนั้นรู้สึกตัวและปลอดภัยดีแล้วแล้ว หลังจากนั้นก็กลับมานั่งข้างเตียง กุมมือของเพื่อนไว้

“ยินดีต้อนรับกลับสู่โลกแก”

“แกนี่ก็พูดยังกับฉันไปท่องโลกอื่นมาอย่างนั้นแหละ” เมลดาเอ่ยขำๆ แต่เรื่องจริงเธอก็ไปท่องโลกอื่นมานั่นแหละ ทั้งสวรรค์และนรก แต่ถ้าพูดไปคนอื่นคงหาว่าเธอบ้าแน่ๆ

“หรือไม่จริง รู้ไหมแกสลบไปตั้งสองอาทิตย์แน่ะ”

“สองอาทิตย์เลยเหรอ!” คนฟังอุทานออกมาอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าเธอจะสลบไปนานขนาดนั้น

“เออน่ะสิ ฉันนี่มานอนเฝ้าแกทุกคืน จนจะได้หมอเป็นสามีอยู่แล้ว” ชมพู่พยายามพูดติดตลก นั่นเพราะรู้ว่าอีกไม่เกินหนึ่งนาที เธอต้องพูดความจริงบางอย่างออกไป ความจริงที่จะทำให้ทุกอย่างเหลือเพียงความเงียบได้ง่ายๆ

“แกยังไม่ตอบคำถามฉันเลย ว่าพี่สิงห์เป็นไงบ้าง”

“แกฟังฉัน” ก่อนจะพูดอะไรออกไป ชมพู่ก็ขอสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ สองสามครั้ง จากนั้นก็สบตาเมลดา แล้วตอบคำถามที่เธอได้ถามมาเมื่อครู่นี้ นั่นเพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปิดบัง จะช้าหรือเร็ว เมลดาก็ต้องรู้ความจริงนี้อยู่ดี

ความจริงที่ได้รู้ ทำให้น้ำตาอุ่นๆ รินไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง หัวใจของเมลดาแตกสลาย เมื่อรู้ข่าวร้ายว่าอันเดรสเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ

จากคำบอกเล่าของชมพู่ ภาพสุดท้ายของเขา ที่กุมมือเธอไว้ ยิ่งทำให้หัวใจของเมลดาเจ็บปวด นั่นแสดงให้เห็นว่าก่อนลมหายใจสุดท้ายของอันเดรส เขาก็ยังคงปกป้องเธอ

และที่เมลดาเสียใจอย่างที่สุด คือเธอไม่มีโอกาสแม้จะมาส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย ร่างบอบบางนอนร้องไห้บนเตียงคนไข้อย่างสะอึกสะอื้น ปานจะขาดใจ

“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยแก ทำไม”

“ร้องมาแก ร้องมาเลย” เพราะไม่รู้จะห้ามน้ำตาของเพื่อนยังไง ชมพู่จึงขอให้เมลดาร้องออกมาอย่างที่ใจต้องการ โดยหวังว่าความเจ็บปวดเสียใจที่เกิดขึ้นกับเพื่อนรักตอนนี้จะเหือดแห้งไปพร้อมกับน้ำตาบ้าง

“ใจฉันตอนนี้มันเจ็บไปหมดแล้ว เจ็บจนฉันหายใจแทบไม่ออก ฮือๆ” เมลดาร้องไห้อย่างน่าสงสาร ดวงตากลมโตตอนนี้แดงและบวมมาก ชมพู่นั้นได้แต่กอดและปลอบอยู่ข้างๆ

“แกต้องผ่านมันไปให้ได้เม” ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ มาจากเมลดา มีเพียงเสียงสะอื้นไห้เท่านั้น ชมพู่แอบปาดน้ำตา เพราะเธอเองก็ร้องไห้ตามไปอีกคน ก่อนจะสวมกอดเพื่อนไว้แล้วร้องไห้ไปพร้อมกัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel