Chapter 1 : ตามติด (2)
คำพูดของเธอเปรียบเสมือนแสงสว่างดวงน้อย ที่ผุดขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด และความสิ้นหวังที่เขาเผชิญมานานเกือบหนึ่งเดือน แต่เมื่อเห็นร่างโปร่งแสงนับสิบที่รายล้อมอยู่รอบๆ ตัวบ้านก็ทำให้เขาหน้าเจื่อน และเผลอยกมือขึ้นกุมรอยแผลลึกที่แขนเอาไว้แน่น
"ไม่ต้องห่วง ถ้าคุณผ่านนั่นเข้ามาได้..."
สายตาของเขาหันมองตามปลายนิ้วเรียว ซึ่งชี้ไปยังแผ่นยันต์ที่แปะบนขอบประตู
"เครื่องรางของฉัน ก็คงทำอะไรคุณไม่ได้เหมือนกัน"
'...?'
ไม่พูดเปล่าเจียงซินถอดเครื่องรางที่สวมคอ ยื่นไปตรงหน้าเขาแม้ไม่เจ็บปวด แต่ก็ร้อนจนต้องถอยหลังออกห่างจากเธอไปหลายก้าว
"ทนไหวไหมคุณผี?"
เขาไม่รู้จะตอบหรือควรสงสัยอะไรก่อนดี ระหว่างทนไหวหรือควรให้เธอเรียกว่าคุณผีต่อไปดี
'เรียกว่าคุณพี่น่าจะดีกว่า...'
"ว่าไงนะ?"
เขาทำเพียงแค่ส่ายหน้าและลองขยับกายเข้ามาใกล้เธอ จู่ๆ ความอุ่นก็แผ่ซ่านเข้ามาในกายที่เย็นชืดเมื่ออยู่ในระยะที่เหมาะสม
'ถ้าแค่นี้... ผมพอไหว'
"แต่ฉันไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า"
'ต้องลองดู'
ไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้วสำหรับเขา...
เจียงซินมองดูอีกฝ่ายด้วยแววตาเป็นกังวล ก่อนตัดสินใจเปิดประตูออกไป
'กรรร!!'
'มันเป็นของฉัน!!!'
วิญญาณเหล่านั้นพุ่งทะยานเข้ามาหาทั้งสอง ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระหาย ไม่ใช่เพียงแค่เจียงซินแต่ชายข้างกาย ก็เผลอยกแขนขึ้นตั้งการ์ดด้วยความตื่นตระหนก
'กรี๊ดดดดดดดด!!!'
'อ๊ากกก!!'
ฝุ่บ!!!
ร่างโปร่งแสงนับสิบที่พุ่งเข้ามากรีดเสียงร้องทรมาน และค่อยๆ เลือนหายไปก่อนจะเข้าถึงตัวพวกเขาทั้งสอง
เหลือไว้เพียงแค่เขาและเธอ ท่ามกลางความว่างเปล่าเท่านั้น...
'หะ... หายไปแล้ว!?'
"รีบไปกันเถอะ!!!"
เจียงซินรีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินนำเขาไปยังหน้าปากซอย เพื่อเรียกรถแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังถนนนอกตัวเมือง และคือที่แรกที่เธอนึกถึงในเวลาแบบนี้
15 นาทีต่อมา
ฝีเท้าเล็กๆ ย่ำขึ้นไปบนบันไดหินที่ทอดยาวเกือบร้อยเมตร โดยมีอีกร่างลอยละล่องตามบ้างนำบ้างไปตลอดทาง
'พ่อผมคือหลวงพ่อวัดนี้เหรอ?'
"คุณกำลังกวนประสาทฉันงั้นเหรอ?"
'โทษที... ผมไม่รู้นี่นา ก็เห็นบอกว่าจะพากลับบ้าน'
เธอเหลือบตามองบนด้วยความอ่อนใจและพยายามหอบสังขารของตน ก้าวขึ้นมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย
"ถึงซะที... ว่าแต่คุณผี ทำไมไม่ร้อนหรือทรมานอะไรเลยล่ะ!?"
'ก็ อุ่นๆ นี่ขอร้องล่ะ..เลิกเรียกผมว่าคุณผีซะทีได้ไหม?'
"งั้นให้เรียกว่าอะไรล่ะ?"
'ตั้งให้ผมสิ'
เจียงซินละสายตาจากเขา และเหลือบมองไปรอบตัวตั้งแต่เสาหิน บ่อน้ำพุ เสาไฟ จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่...
"มูมู่"
'อะไรนะ!?'
เขาย่นคิ้วกับชื่อใหม่ของตนแต่ก่อนจะเอ่ยแย้งอะไรขึ้นมา ร่างบอบบางของเจียงซินก็วิ่งไปหาลูกสุนัขขนสีเทาขะมุกขะมอม กำลังนอนกลิ้งเกลือกอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ออกดอกจนเต็ม และอุ้มร่างเล็กๆ ของมันขึ้นมากอดอย่างคุ้นเคย
'ให้ตายเถอะ...'
.
.
'ชื่อเจ้านั่นเองหรอกเหรอ'
เขาบ่นพึมพำและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และมองเธอเดินอุ้มเจ้าตัวเล็กกลับมา และดูเหมือนว่าสายตาของสุนัขเด็ก จะสามารถมองเห็นสิ่งผิดปกติตรงหน้ามันได้ และมองตามตาไม่กะพริบ
เมื่อเขาเอื้อมมือไปหมายจะหยิบดอกไม้ ที่ติดอยู่บนเส้นผมของเจียงซินออก
...แต่มือเขาก็ทะลุผ่านดอกไม้ และร่างกายของเธอไป ไม่สามารถจับต้องสิ่งใดได้
เจียงซินที่รู้สึกขนลุกและหนาวเย็นกับสัมผัสของเขา ก็รีบยกมือขึ้นลูบผมของตนและหยิบดอกไม้นั่นมาดูใกล้ๆ
"ดอกไห่ถัง..."
ไห่ถัง* ดอกไม้ของพืชตระกูลแอปเปิลสีชมพูอ่อน
"ฉันจะเรียกคุณว่า ไห่ถัง แล้วกันนะ"
แม้จะไม่ใช่ชื่อที่เท่อะไรสักนิดสำหรับเขา แต่ก็ยอมพยักหน้ารับแต่โดยดีและคิดว่า..
'ชื่อนี้ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ เมื่อเทียบกับชื่อของเจ้ามู่มู่'
ไห่ถังเผลอมองดูใบหน้าของเธอใกล้ๆ ท่ามกลางแสงแดดอ่อนยามเช้าเป็นครั้งแรก และนั่นก็ทำให้เขาได้รู้ว่า...
"มาถึงเร็วดีนะ"
เสียงทุ้มเข้มที่สั่นเครือตามวัยเอ่ยขึ้นเรียกความสนใจของทั้งสอง
"นมัสการไต้ซือค่ะ"
"ไม่ต้องมากพิธีหรอกหนา วันนี้รถไม่ติดสินะ"
หลวงจีนเอ่ยขณะที่สายตาที่ฝ้าฟางตามกาลเวลา มองเลยผ่านเจียงซินไปยังด้านหลังที่ว่างเปล่าของเธอ
"เราไปคุยกันที่สวนด้านโน้นเถิดนะ"
ท่านหลีกเลี่ยงที่จะพาเจียงซินเข้าไปภายในวัด เพื่อหลีกเลี่ยงจากผู้คนที่มาสักการะในวัดแห่งนี้
"เจ้ามาพบแม่หนูเจียงซิน ได้นานหรือยังล่ะพ่อหนุ่ม"
คำถามนั้นทำให้ทั้งเด็กสาวและไห่ถังวิญญาณหนุ่มหยุดชะงัก ก่อนที่เธอจะพยักหน้าให้เขา
'เมื่อ... เมื่อวานครับ'
"รีบกลับบ้านซะ มีคนเขาเป็นห่วงกันใหญ่เลยนะ"
คำพูดของหลวงจีนทำให้ทั้งสองหันมาสบตากันอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามท่านก็ย่อตัวลงข้างๆ บ่อปลา และหยิบใบไม้แห้งกรอบที่ร่วงหล่นมาถือไว้ในมือที่เหี่ยวย่น
"ชายผู้นี้ยังไม่ถึงฆาตนะเจียงซิน"
"เขา...ยังไม่ตายเหรอคะ!?"
เธอเบิกตามองดูไห่ถังด้วยความตื่นตระหนก ไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต ขณะที่หลวงจีนลุกขึ้น และวาดมือข้างที่ถือใบไม้ไปตรงหน้าของวิญญาณหนุ่ม
"ไม่มีปฏิกิริยาต่อใบไม้มงคลที่ปลูกขึ้นในเขตวัดใช่ไหม"
ไห่ถังพยักหน้าช้าๆ ด้วยความงุนงง นั่นทำให้เจียงซินนึกอะไรขึ้นมาได้
"แล้วเขาก็ผ่านเขตอาคมของยันต์เข้ามาได้ด้วยค่ะ"
หลวงจีนพยักหน้าและปล่อยใบไม้ให้ร่วงหล่นลงบนพื้น ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของไห่ถัง
"ความรู้สึกของการเป็นวิญญาณมันน่าตื่นเต้นดีหรือเปล่า"
'ไม่ครับ ไม่เลยสักนิด'
เขายังคงหวาดกลัวกับการถูกทำร้ายอย่างเมื่อคืน และกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นซ้ำรอยอีก
"ทำไมเขาถึงถูกทำร้ายคะ ปกติแล้ววิญญาณจะไม่ทำร้ายพวกเดียวกันไม่ใช่เหรอคะ?"
"เพราะเขาไม่ใช่พวกนั้นน่ะสิ"
"หมาย...ความว่ายังไงคะ?"
"วิญญาณที่ออกจากร่าง เปรียบเสมือนเจ้าของบ้านที่หลงทาง และวิญญาณตนอื่นๆ ก็ต้องการยึดบ้านของเขา.."
"ท่านหมายถึง..."
"ร่างกายเนื้อที่ยังคงอุ่นและหลับใหลอยู่ที่ไหนสักแห่งนั่นแหละที่พวกเขาต้องการ"
คำพูดของหลวงจีนทำให้เจียงซินถึงกับหน้าซีดเผือด ก็เธอเคยมีประสบการณ์เกือบถูกยึดร่างมาแล้ว
"รายการที่จะยึดร่างได้นั้นต้องทำให้วิญญาณอ่อนแรง หรือแตกสลายไปจนสายใยแห่งชีวิตถูกทำลาย จนขาดจากวิญญาณไม่สามารถกลับมาเชื่อมต่อกับกายเนื้อได้อีก..."
'ผะ...ผมจะกลับบ้านได้ยังไง ท่านพาผมกลับไปได้ใช่ไหมครับ!!?'
ใบหน้าของไห่ถังเต็มไปด้วยความวิตกกังวล หลวงจีนจึงหลับตาลงพยายามเพ่งจิต ขณะที่มือก็กำลูกประคำเอาไว้แน่นอยู่ครู่ใหญ่
"ไกลเหลือเกิน..."
"....?"
'....'
"อาตมาไม่ได้มีญาณหยั่งรู้ถึงเพียงนั้น...รู้เพียงแต่ตอนนี้ร่างของเจ้าอยู่ในที่ที่ปลอดภัย และมีเทพเจ้าปกปักไว้จึงไม่น่าเป็นห่วงนัก"
คำพูดของเจ้าอาวาสทำให้ทั้งสองรู้สึกเบาใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง ก่อนที่ท่านจะเอยประโยคต่อมา
"แต่ถ้ามีการเคลื่อนย้ายร่างก็ไม่แน่"
ยังมีกรณีเหล่านั้นอยู่ ทำให้ความตึงเครียดเหมือนกลับเข้ามาภายในจิตใจของทั้งสองอีกครั้ง
"จิตจะสื่อถึงกายเนื้อได้ หากเจ้าตั้งมั่นและมีสมาธิมากพอ และระหว่างนี้ต้องอยู่ในที่ปลอดภัย อย่าให้วิญญาณนี้เป็นอะไรไปเด็ดขาด อย่างที่อาตมาได้พูดไปแล้วเพราะหากพลังลดลงก็อาจจะแตกดับไป เจ้าก็จะไม่สามารถกลับร่างได้"
"กลับไม่ได้... อีกตลอดไปเหรอคะ?"
เจียงซินทวนประโยคนั้นแทนใจของไห่ถัง ที่เอาแต่ก้มหน้าด้วยแววตาที่เธอไม่สามารถอธิบายได้
"แล้ว... แล้วหลังจากนั้นเขาจะเป็นยังไงต่อไปคะ?"
"เขาจะต้องเร่ร่อน... อยู่ระหว่างภพภูมิ"
.
.
"เพื่อรอวันพิพากษาจากปรโลก"
