ตอนที่ 4
ตอนที่ 4
กินผมจนหมดตัว!
นี่มันเรื่องห่าเหวอะไรกันโว้ย! โอ๊ย! ทำไมผมถึงคิดไม่ออกวะ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ผมเอาหัวโขกกับผนังห้องน้ำ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรผ่านเข้ามาในสมองเลย แล้วยังจะเจ็บตัวซะอีก เลยเลือกที่จะปล่อยให้น้ำเย็นๆ ราดศีรษะ ที่ทำให้พอนึกอะไรออกได้รางๆ
“เฮ้ย! พวกมึง กลับกันได้แล้ว พรุ่งนี้กูต้องทำงาน”
“เดี๋ยวซิวะไอ้ยอด จะรีบไปไหน และพรุ่งนี้...มึงก็บอกกูแล้วไม่ใช่หรือไง จะไม่ไปทำงานที่นั่นแล้ว จะไปหางานใหม่ เพราะต้องเรียนด้วย มึงเลยอยากหางานที่อยู่ใกล้กับมหาลัย ที่น่าจะได้เงินเยอะกว่าด้วย อยู่ใกล้ชิดคนหล่อมากจนความจำปลาทองไปเลยหรือไง”
โว้ย! ไอ้กันต์ ไอ้เพื่อนเฮงซวย ไม่ยอมรับมุกเลย มึงจะให้กูนั่งให้พี่คายเดี๋ยวก็กอด เดี๋ยวก็หอมแก้มอยู่อย่างนี้ใช่ไหมไอ้เพื่อนเลว หอมจนแก้มผมช้ำไปหมดแล้ว
“น้องสอบได้ที่ไหนกันเหรอ”
“เราเด็กวิดวะมหาลัย xxx ครับพี่” อัครพิชญ์พูดถึงมหาลัยรัฐกึ่งเอกชนที่อยู่แถบชานเมือง
“ที่เดียวกันเลยนี่...ใช่ไหมคาย พวกน้องเพิ่งเข้า คายปีสาม ส่วนพี่อยู่ปีสอง”
ฉิบหายแล้ว! ผมคิดว่าผ่านคืนนี้ไปทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าเรียนที่เดียวกัน ถึงมหาลัยจะกว้าง แต่ทฤษฎีโลกกลมใช้ได้เสมอ ยังไงผมกับพี่คายก็ยังมีโอกาสได้เจอกันอีกนะซิ
“มึงจะทำหน้าอย่างกับคนแบกโลกไปทำไมวะไอ้ยอด กูว่าเป็นเรื่องดีเสียมากกว่าที่ได้เป็นรุ่นน้องของพี่คายกับพี่เหม แบบ...เวลามีอะไรเกิดขึ้น เราจะได้มีคนคุ้มครอง...มีคนคอยแนะนำไง ยิ่งโง่ๆ อย่างมึง...ไปอยู่กับพี่คายนั่นแหละดีแล้ว จะได้ฉลาดขึ้น”
“พี่ถามอะไรหน่อยซิ น้องทั้งสองคนไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไงที่โยนเพื่อนมาให้พี่ดูแล...ทั้งที่พี่ก็เป็นผู้ชายและเพื่อนน้องก็ผู้ชาย” คายถาม เพราะเขาลองเอียงใบหน้าไปแนบซบกับไหล่ศรวัณ บางทีก็หอมแก้มชายหนุ่มหน้าใสเพื่อดูปฏิกิริยา เห็นจะมีเพียงแค่คนที่ถูกกระทำเท่านั้นที่จะแสดงออกว่าไม่ชอบใจ ส่วนเพื่อนสองคนนั่งดูกันอย่างเฉยเมย
“แปลกอะไรละพี่...เดี๋ยวนี้มันยุคไหน พ.ศ.ไหนเข้าไปแล้ว คิดมากไปไม่ได้ทำให้อิ่มท้องและนอนหลับเลย อีกอย่าง…จะหญิงหรือชายค่าความเป็นคนก็มีเท่ากัน ใครจะรัก จะชอบ จะเลือกอยู่กับใคร จะสนใจไปทำไม ผมว่านะ...คนเราควรจะมองกันที่การกระทำมากกว่า ถ้าเพื่อนได้เจอกับคนดี ผมก็ควรจะดีใจไม่ใช่หรือไง ใช่ไหมไอ้พิชญ์”
“ยอดรักล่ะ คิดยังไง” คายหันไปถามศรวัณ
“โอ๊ยพี่! อย่าไปถามมันเลย ไอ้ยอดมันซื่อบื้อสุดๆ ชอบผู้หญิง ไปจีบเขา กลับเอาหน้าไปให้เขาตบซะได้”
ไอ้เชี่ยกันต์! มึงจะเผาไม่ให้กูได้ผุดได้เกิดเลยใช่ไหม
“ไม่โดนตบซิวะแปลก ก็เล่นไปบอกเขาต่อหน้าผู้ชายเป็นฝูง ‘น้องครับ น้องไม่ได้รูดซิปกระโปรง กางเกงในลายหมีสีชมพูด้วย’ ผมสองคนนะ ได้ยินเสียงดังเปรี๊ยะ เจ็บแทบมันเลยพี่”
“แก้มไอ้ยอดแดงเป็นรอยนิ้วครบทั้งห้านิ้วเลยพี่” อัครพิชญ์พูดพลางหัวเราะไปพลาง
“มึง...หยุดเลยนะไอ้กันต์ ไอ้พิชญ์”
“ยังมีอีกนะพี่คาย ตอนมอสี่ ไอ้ยอดไปสะดุดรักลูกสาวแม่ค้าขายน้ำปั่น มันเอาขนมไปให้”
เรื่องนี้มึงยังเสือกจำได้อีกนะไอ้กันต์ เผากูเละจนไม่เหลือชิ้นดีเลย ผมอยากจะตบกะโหลกไอ้สองเพื่อนตัวดีจริงๆ
“เออ...กูจำได้นะเรื่องนั้นไอ้กันต์ ไอ้ยอดเอาขนมสารพัดเค้กหน้าครีมกับ...”
“กาแฟสูตรลดความอ้วนไปให้...เลยถูกยายสาวนั่นด่าเสียงดังลั่น ได้ยินไปสามบ้านแปดบ้านเลยพี่”
เออ...เผากันเข้าไปไอ้กันต์ ไอ้พิชญ์ ยิ่งมึงนะตัวดีเลยไอ้กันต์...เรื่องน่าอายของของผมละจำได้จำดีเหลือเกิน อย่าให้ถึงทีผมบ้างละกัน จะเอาให้หน้าม้านหนีเข้าห้องน้ำไม่ทันเชียว
ผมได้แต่นั่งทำหน้าเซ็ง...เลยเผลอดื่มเหล้าที่คายยื่นมาให้เรื่อยๆ ขณะที่ไอ้เพื่อนตัวดีกันต์ธรและอัครพิชญ์ขุดเอาเรื่องซุ่มซ่ามน่าอายของผมตั้งแต่ปีมะโว้มาเล่าให้พี่คายฟังอีกชุดใหญ่...
“เรื่องซุ่มซ่ามเปิ่นๆ ของไอ้ยอดยังมีอีกเพียบเลยพี่ ตอนเรียนมอต้นนะ มันใส่รองเท้าแล้วไม่ยอมผูกเชือก พอเดินๆ ไปก็สะดุดขาตัวเองล้มตุงไปข้างหน้า ตัวไปกระแทกเข้ากับขอบโต๊ะ มันจุกจนหน้าแดงหน้าเขียวเลย”
“เป็นเพราะมึงนั่นแหละไอ้กันต์ที่แกล้งกู ถ้ามึงไม่ดึงสายที่กูผูกออก...แล้วเร่งให้เดินตามไปเร็วๆ กูก็ไม่ล้มให้อายคนอื่นหรอก พี่คายรู้ไหม ไอ้สองตัวนี้หาเรื่องแกล้งให้ผมอายตลอดเลย” ผมฟ้องกลับบ้าน เผื่อว่าพี่คายจะช่วยจัดการไอ้เพื่อนเฮงซวยสักป้าบสองป้าบ
“ถ้าแกเห็นเวลาตัวเองอายตลกขนาดไหน มึงจะเข้าใจเลย ทำไมพวกกูถึงชอบแกล้งมึง ใช่ไหมไอ้พิชญ์…เรื่องน่าอายของไอ้ยอดรักมีอีกเพียบเลยนะพี่คาย อย่างตอนที่ครูพาพวกเราไปเข้าค่ายลูกเสือ พอถึงเวลาอาบน้ำ ไอ้ยอดเอาแชมพูมาถูตัวแล้วเอาครีมอาบน้ำมาสระผม”
“ไม่ใช่แต่กู มึงก็เหมือนกันแหละไอ้กันต์” ผมรีบสวนกลับไป
“น้องสามคน สนิทสนมกันดีจัง...เป็นเพื่อนกันมานานหรือยัง”
“ผมกับไอ้ยอดเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อนุบาล ครอบครัวเราอยู่ใกล้กัน จนพ่อแม่มันแยกทางกัน เหลือมันที่เลือกจะอยู่เลี้ยงตัวเอง ส่วนผม...ตอนนี้มีครอบครัวก็เหมือนไม่มี ตัวคนเดียวมันสบายดี”
ผมอดสงสารไอ้กันต์ไม่ได้ ปากมันบอกสบาย แต่ใจมันกลับโหยหาความรัก แต่เพราะมีเพื่อนดีอย่างผมกับไอ้พิชญ์ มันเลยไม่ออกนอกลู่นอกทางไปทำสิ่งไม่ดี
“แล้วน้องพิชญ์ล่ะ”
“โอ๊ย! อย่าให้พูดถึงเลยครับไอ้คนนี้ แม่ง...เจอหน้าผมสองคนตอนแรก ชวนทะเลาะต่อยตีไม่เว้นวัน ตีกันจนพักหลังๆ เริ่มขี้เกียจ กลายมาเป็นเพื่อนกันรักแล้วหันไปหาเรื่องคนอื่นแทน”
“จะไปไหนเหรอยอดรัก”
ผมถอนหายใจ ชักสีหน้ารำคาญใส่ไอ้พี่คาย “ขี้เกียจฟังไอ้กันต์มันพูดพล่าม เลยจะไปห้องน้ำ...จะไปด้วยไหม” ผมตีรวนใส่คายที่เอาแต่นั่งยิ้มกับหอมแก้มผมไม่หยุด เป็นบ้าอะไร...หอมอย่างกับคนเป็นแฟนกัน
“อือ”
ผมได้แต่อ้าปากค้างมองคนที่ลุกขึ้นมาใกล้ อะไรวะ ไม่คิดจะให้ผมมีเวลาส่วนตัวกันบ้างหรือไงวะนี่ แต่...ก็ดีเหมือนกันที่คายไปเป็นเพื่อน เพราะตอนนี้ผมมึนจนเดินไม่ตรงทางแล้ว แต่ในหูก็ยังได้ยินเสียงโห่แซ็วและหัวเราะดังมาตลอดเส้นทาง
ผมยังคิดได้แค่นี้เอง...ที่เหลือ สงสัยคงจะต้องตามไอ้พี่คาย แต่มันจะได้เรื่องไหมวะนี่ กวนประสาทขนาดนั้น
เฮ้อ!
