Chapter 06: นว้องจิของปี้[1]
หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ค่อยได้เจอพี่อินทร์สักเท่าไร รวมถึงวิหยาสะกำด้วย คนแรกนี่ได้ยินพี่บุศย์บอกว่าติดซ้อมงานอะไรเกี่ยวกับดาวเดือนของมหาวิทยาลัยนี่แหละ ซึ่งก็ดี เพราะผมก็ไม่ได้อยากเจอเขาสักเท่าไรนัก เจอทีไรประสาทจะกินทุกที ส่วนคนหลัง เดาเอาว่าน่าจะเพราะเห็นพี่อินทร์จูบผมในวันนั้นก็เลยเลิกตอแย
นับว่าเป็นผลดีแหละนะ แต่พอคิดถึงเรื่องจูบนั่นทีไร ผมก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดใจทุกที
เป็นผู้ชายคนอื่นนอกจากพี่บุศย์ไม่ว่า แต่เป็นไอ้มารความรักอย่างอิเหนานี่ สะเทือนใจไม่หายเลยเนี่ย!
ทว่าพอไม่เจอหน้าพี่อินทร์หลายวันเข้า และผมได้ใช้เวลากับพี่บุศย์สองต่อสองบ่อยขึ้น ความสะเทือนใจก็ค่อยๆ มลายหายไปทีละนิดราวกับว่าความน่ารักของพี่บุศย์ค่อยๆ เยียวยาเรื่องร้ายๆ นั่น เหมือนกับวันนี้ที่พี่บุศย์เป็นฝ่ายโทรมาชวนผมไปกินข้าวกลางวันเองเนื่องจากมีธุระจะคุยด้วย เท่านั้นแหละ ผมดีใจเนื้อตัวเต้นจนเรียนไม่รู้เรื่องเลยล่ะ
ส่วนเรื่องที่พี่บุศย์อยากจะคุยด้วยก็ไม่มีอะไร เขาแค่ขอให้ผมเอาตารางเรียนมาให้เขาดู แล้วเขาจะได้เช็กว่าเมื่อตอนปีหนึ่งได้ลงเรียนวิชาอะไรไปบ้าง จะได้ยกพวกหนังสือกับชีทเรียนให้
“ถ้าจิไม่ถือสาอะไร พี่ก็อยากจะยกให้นั่นแหละ แต่อาจจะรำคาญตาหน่อยนะ พี่เป็นพวกชอบจดน่ะ บนหนังสือกับชีทเรียนจะมีรอยปากกาเยอะหน่อย”
เขาว่ามาอย่างนี้ ผมก็ยิ้มรับกว้างเลย
“จิยินดีมากเลยครับพี่บุศย์ ขอบคุณที่ใจดีกับจินะครับ”
ใครจะไปรังเกียจลงได้ล่ะแม่บุษบายาใจของพี่ ได้หนังสือกับชีทเรียนเป็นมรดกตกทอดแบบนี้สิดีจะตาย ยิ่งมีลายมือของพี่บุศย์อยู่ด้วยก็ยิ่งดี เพราะนอกจากจะมีพวกทิปหรือรายละเอียดยิบๆ ย่อยๆ ที่ผมอาจละเลยไปแล้ว ยังทำให้ผมรู้สึกว่าพี่บุศย์อยู่ข้างๆ ผมตลอดเวลาด้วย
ผมชอบอยู่ใกล้ๆ พี่บุศย์มากที่สุดเลย!
“งั้นเย็นนี้ถ้าจิไม่รีบกลับก็แวะไปที่หอพี่แล้วกันนะ ไปช่วยพี่ค้นหน่อย จะได้เอาไปไว้อ่านเลย”
เสนอมาอย่างนี้ มีเหรอที่ผมจะปฏิเสธ รีบพยักหน้ารับรัวๆ
“จิไม่รีบกลับ ไม่รีบเลย”
“ถ้าอย่างนั้นเลิกเรียนแล้วมารอพี่ที่หน้าคณะนะ ไว้ไปที่หอพร้อมกัน”
ผมพยักหน้ารับรัวๆ ไปอีกที ในใจดีใจเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ไปหอของพี่บุศย์เป็นครั้งแรก
หอ... หมายถึงเข้าไปในห้อง ไม่ได้อยู่แค่หน้าหอด้วย
ดีใจจนเก็บรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ ข้าวเขิ้วก็ลืมกิน เอาแต่ยิ้มให้พี่บุศย์จนเขาหัวเราะออกมา
“เอ้า มองหน้าพี่อยู่ได้ กินข้าวเร็ว มีเรียนบ่ายไม่ใช่เหรอเรา”
“ครับ”
เท่านั้นผมก็คว้าช้อนส้อมมาตักข้าวใส่ปาก มองหน้าพี่บุศย์ที่ยังคงหัวเราะกับท่าทางของผมไม่เลิก
“แค่ได้หนังสือกับชีทเรียนแค่นี้ ดีใจจนเก็บสีหน้าไว้ไม่มิดเลยนะ”
เขาแซว แต่...ไม่หรอก ไม่ใช่ ที่ผมดีใจมันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก แต่เป็นเรื่องที่จะได้ไปเห็นห้องของพี่บุศย์ต่างหาก
ได้แต่ภาวนาในใจว่าสักวันผมจะได้กลายเป็นอีกคนหนึ่งที่อยู่ห้องนั้น
อยู่ห้องเดียวกับพี่บุศย์ ได้ใช้ชีวิตด้วยกัน แค่คิดก็ฟินแล้ว...
ทว่า...พอเลิกเรียนก็เพิ่งตระหนักขึ้นได้ว่าจริงๆ พี่บุศย์ไม่ได้อยู่หอคนเดียว แต่มีรูมเมทที่ชื่ออินทรา แถมยังเป็นอิเหนากลับชาติมาเกิดอยู่ด้วยทั้งคน ตอนแรกผมก็ไม่ฉุกใจหรอก จนกระทั่งไปรอพี่บุศย์หน้าคณะจนผ่านไปเกือบยี่สิบนาที ผมก็เลยโทรหาเขา แล้วก็ได้คำตอบว่า
‘อาจารย์ยังไม่ปล่อยสักที สงสัยจะสอนเกินเวลา เดี๋ยวมีคุยงานกับเพื่อนต่ออีก จิเข้าไปที่หอพี่ก่อนได้เลยนะ พี่บอกไอ้อินทร์ไว้แล้ว ถ้าไม่รีบกลับก็รอก่อน พี่เลิกแล้วจะรีบไป’
ได้ยินแค่นี้ ความดีใจที่ระริกระรี้ก่อนหน้ามาตลอดทั้งวันก็อันตรธานหายวับ
อุตส่าห์คิดว่าจะได้อยู่กับพี่บุศย์ในห้องสองต่อสอง ดันกลายเป็นว่าต้องไปอยู่กับพี่อินทร์สองต่อสองเพื่อรอพี่บุศย์กลับหอเสียอย่างนั้นอะ บ้าชะมัด
แล้วถามว่าผมไปไหม... ไปสิ ไหนๆ ก็รับปากไปแล้ว ผมเองก็อยากจะเห็นห้องของเขาด้วยก็เลยไม่ได้ขัดอะไร เพราะไม่อย่างนั้น พี่บุศย์บอกว่าเขาจะขนหนังสือมาให้ผมที่มหาวิทยาลัยในวันพรุ่งนี้แทน ซึ่งมันจะหมายความว่าผมอดเห็นห้องเขาแน่ๆ
เรื่องอะไรจะยอมกันล่ะ!
ผมก็เลยเดินดุ่ยๆ ไปยังหอพักหน้ามหาวิทยาลัยที่พี่บุศย์บอก ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึง ผมมองอาคารด้านนอกก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นหอพักราคาแพงหูฉี่ที่สุดในย่านนี้ เพราะมีทั้งระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม บรรยากาศก็ดี มีลานจอดรถกว้างขวาง ไม่ต้องถามเลยว่าที่บ้านของพวกนักศึกษาที่เช่าหอนี้อยู่มีเงินขนาดไหน
มาถึงแล้ว ผมก็โทรเข้าหาพี่อินทร์ตามที่พี่บุศย์บอก อีกฝ่ายรับสาย ผมก็กรอกเสียงลงไป
“ผมมาถึงแล้วครับ”
บอกแค่นั้นก็วางสาย อีกอึดใจหนึ่งต่อมา พี่อินทร์ในชุดนักศึกษาก็เดินหน้าระรื่นมาเปิดประตูด้วยคีย์การ์ดให้ บอกตามตรงว่าผมไม่อยากจะเข้าไปกับเขานักหรอก แต่ก็ท่องไว้ว่าอดใจไว้รอเจอพี่บุศย์ เลยทำให้พอจะทำใจได้
ขึ้นลิฟต์มาเกือบชั้นสิบก็ถึงห้องของพวกเขา ผมเดินเข้ามาด้านในแล้วก็ประหม่าหน่อยๆ เมื่อเห็นว่าบรรยากาศภายในห้องดูแตกต่างจากที่ผมคาดการณ์ไว้พอสมควร ตอนแรกผมคิดว่าผู้ชายอยู่ด้วยกัน สภาพภายในห้องน่าจะรกรุงรัง แต่ผิดคาดมากๆ เมื่อเห็นว่าข้าวของทุกอย่างถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
โคตรผิดคาดเลย ดูท่าทางไม่น่าจะรักสะอาด โดยเฉพาะพี่อินทร์เนี่ย
แต่แล้วความคิดของผมก็ต้องยุติลงเมื่อพี่อินทร์โพล่งขึ้น
“หิวน้ำไหม”
ไม่พูดเปล่า เดินไปเปิดตู้เย็นด้วย ผมส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรครับ”
พี่อินทร์เหลียวมองผมเล็กน้อย “งั้นกินขนมไหม”
ผมส่ายหน้าอีก พี่อินทร์ก็เลยยักไหล่
“ถ้างั้นไปนั่งรอตรงนั้นก่อนแล้วกัน เดี๋ยวไอ้บุศย์ก็กลับมา”
พยักพเยิดไปยังโซฟาที่อยู่ไม่ไกล ผมก็ไม่ได้พูดอะไร ยอมเดินไปนั่งแต่โดยดี ในใจอยากให้พี่บุศย์กลับมาเร็วๆ เพราะจู่ๆ ผมก็รู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่กับพี่อินทร์แบบสองต่อสองขึ้นมาแปลกๆ
โอเค บอกตามตรงว่ามันมีลางสังหรณ์แปลกๆ น่ะ กลัวว่าเดี๋ยวเขาจะแกล้งผมอย่างที่เคยทำอีก ยิ่งไม่เจอหน้ากันมาหลายวันอย่างนี้ รับรองเลยว่าต้องมีเรื่องแกล้งเยอะแยะแน่ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะดูปกติก็เถอะ
แต่ทว่า...นั่งตัวเกร็งอยู่ประมาณสิบนาทีก็ยังไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนไป พี่อินทร์คว้าไม้กวาดกับที่โกยผงมากวาดพื้นทั้งที่แทบไม่มีเศษฝุ่นเลยอยู่พักหนึ่งแล้ว ผมก็ได้แต่มองเขาเงียบๆ อยู่พักหนึ่งเช่นกัน ทุกอย่างดูปกติมาก จนกระทั่ง...
“ร้อนจังเลย”
จู่ๆ พี่อินทร์ก็โพล่งขึ้นมา มือที่ถืออุปกรณ์ทำความสะอาดอยู่วางของพวกนั้นลง แล้วเปลี่ยนมาเขย่าคอเสื้อตัวเองประหนึ่งว่าในห้องนี้มันร้อนเสียเต็มประดา ผมเหลือบไปมองเครื่องปรับอากาศที่ตั้งไว้ที่อุณหภูมิยี่สิบห้าองศาเซลเซียส
ร้อนตรงไหนวะ เย็นกว่านี้อีกนิดก็ขั้วโลกเหนือแล้วนะ
คิดไม่ออกเลยว่าเขาคิดจะทำอะไร รู้แต่ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน เพราะพอพูดจบ พี่อินทร์ก็หันมาหาผม
“ร้อนอย่างนี้ สงสัยคงต้องอาบน้ำคลายร้อน”
ไม่ได้บอกกับผมหรอก พูดกับตัวเองนั่นแหละ แต่ชม้อยชม้ายชายตามากมาย เท่านั้นผมก็รู้เลยว่า...
...ไอ้เวรนี่มันคิดจะทำอะไรแผลงๆ อีกแล้ว!
จะห้ามก็ไม่ทัน พูดจบปุ๊บ พี่อินทร์ก็ค่อยๆ แกะกระดุมเสื้อตัวเองทีละเม็ด จงใจหันหน้ามาให้ผมเห็น พลันก็มีเสียงเพลงประหลาดๆ ดังออกจากปากเขา
“แต่แดแดแด๊~ แด๊แดแด๊แดแด่แด้~”
เป็นเพลงจังหวะ Cherry pink อะ ผมถึงกับเบ้หน้าเลยเมื่อเห็นว่าเขาแกะกระดุมเสื้อไม่พอ ยังยักย้ายส่ายสะโพกประหนึ่งว่าตัวเองเซ็กซี่เสียเต็มประดา
เออ! หุ่นแม่งก็ดีอยู่หรอก กล้ามเป็นมัดๆ แบบคนออกกำลังกาย ผิวก็เนียนผุดผ่องเป็นยองใย คนอื่นเห็นรับรองได้เลยว่ามีน้ำลายไหลอะ แต่ไอ้ที่มองผมตาเยิ้มแล้วกัดปากยั่วไปยั่วมาเนี่ย มันทำให้ผมมีอารมณ์เลยนะ
อารมณ์โมโห!
ผมสูดหายใจเข้าปอด พยายามจะสงบสติอารมณ์ ไม่อยากจะโวยวายใส่เขาที่เขาหาเรื่องแกล้งผม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งออกไปเมื่อเห็นว่าพี่อินทร์โยนเสื้อที่ถอดออกจากตัวแล้วเรียบร้อยทิ้ง เอื้อมมือลงมาดึงเข็มขัดออก ก่อนที่จะทำท่าเหมือนปลดตะขอกางเกง
มึงหยุดเดี๋ยวนี้เลย!
