Chapter 06: นว้องจิของปี้[2]
“พี่อินทร์!”
ผมเรียกเขาเสียงดัง พี่อินทร์ก็ชะงักมือ มองหน้าผมด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน
“มีอะไรเหรอ”
ยังจะมีหน้ามาถามอีกว่ามีอะไร มึงจะมาเต้นจ้ำบ๊ะโชว์กระโป๊วให้กูดูอย่างนี้ไม่ได้!
แต่จะบอกตามตรงอย่างนั้นก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ผมเลยพูดประโยคอื่นแทน
“ทำไมต้องแกล้งผมด้วย”
“หืม? แกล้งอะไร”
“ไม่ต้องมาทำเป็นไม่รู้เรื่องเลย ก็เนี่ย ไอ้ที่เต้นเปลื้องผ้าเนี่ย แกล้งผมอยู่ชัดๆ”
“พี่ไม่ได้แกล้ง พี่จะอาบน้ำ”
พี่อินทร์แก้ตัว แต่ดันหัวเราะร่วนออกมา เด็กอนุบาลดูยังรู้เลยว่าแม่งแกล้งอะ
ผมหงุดหงิดขึ้นมาน้อยๆ ไม่เข้าใจเขาเลยว่าทำไมเวลาเจอผม ต้องแกล้งผมทุกที ถ้าเป็นเมื่อชาติก่อนตอนที่ยังเป็นจรกาอยู่ก็พอจะเข้าใจว่าเขาอยากกลั่นแกล้งเพราะเห็นผมขี้เหร่อัปลักษณ์ แต่ในชาตินี้ผมน่ารักแล้วนี่ ทำไมยังแกล้งกันอยู่อีกล่ะ!
“แน่ะ พูดแล้วทำหน้าไม่เชื่ออีก พี่จะอาบน้ำจริงๆ ทำไมเหรอ หรือเห็นพี่แก้ผ้าแล้วจะมี...” พี่อินทร์แสร้งมองผมด้วยสายตาหยอกเย้า จากนั้นก็ว่าต่อ “...มีอารมณ์”
บอกแล้วไงว่าอารมณ์โมโห มึงนี่มันหลงตัวเองเหลือเกินนะ!
อะไรไม่ว่า พูดเองเออเองแล้วก็ยกแขนทั้งสองข้างปิดหน้าอกเป็นการใหญ่
“ต๊าย บัดสีบัดเถลิง เห็นหน้าใสซื่ออย่างนี้ พี่ไม่คิดเลยว่าน้องจิจะเป็นคนลามกแบบนี้นะฮ้า”
สะดีดสะดิ้งเหลือเกินอิแรด! เห็นแล้วอยากทุบ!
ถึงกับต้องสูดหายใจเพื่อสงบสติอารมณ์อีกระลอกใหญ่ พอตั้งสติได้ ผมก็ว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ตลกนะครับพี่อินทร์ ผมถามตรงๆ เลย ทำไมถึงชอบแกล้งผมนัก”
พอเห็นผมจริงจัง พี่อินทร์ก็เลิกทำท่าแรด เปลี่ยนมาเป็นกอดอกแล้วครุ่นคิดแทน
“อืม... นั่นสิ ทำไมน้า” เสร็จแล้วก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรออก “อ้อ ใช่แล้วๆ”
ผมก็รอฟังเต็มที่เลย แต่ทว่า...
“เพราะจิไม่เรียกแทนตัวเองว่าจิกับพี่ไง พี่เลยชอบแกล้ง”
มันใช่เหตุผลหรือไงวะนั่น!
แน่นอนว่าไม่ใช่เหตุผลหรอก พี่อินทร์ก็แถแท่ดๆ ไปเรื่อยแหละ ซึ่งมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อเขาว่ามาอีก
“ถ้าไม่อยากให้พี่แกล้ง จิก็เรียนแทนตัวเองว่าจิเหมือนกับที่พูดกับไอ้บุศย์บ้างสิ”
ยักคิ้วหลิ่วตามาให้ด้วย นี่ไง ผมถึงได้บอกว่ามันไม่ใช่เหตุผลที่เขาชอบแกล้งผมน่ะ
“เอาดีๆ พี่อินทร์ ทำไมถึงต้องชอบแกล้งผมทุกครั้งที่เจอหน้าด้วย”
“แน่ะ ไม่เรียกแทนตัวเองว่าจิอีกละ”
แทนที่จะตอบคำถาม พี่อินทร์ดันพูดไปเรื่องอื่น ทำปากยื่นๆ เหมือนน้อยใจมาอีก ผมก็ไม่ยอมหรอก ดึงดันจะให้เขาตอบให้ได้
“ก็บอกผมมาก่อนว่าทำไมถึงชอบแกล้งผม ไม่งั้นไม่เรียกแทนตัวเองว่าจิกับพี่อินทร์หรอก”
เหมือนครั้งนี้ผมจะชนะ พี่อินทร์เงียบไป หน้าตาดูฮึดฮัดก่อนจะตอบออกมา
“ก็แกล้งเรามันสนุกนี่”
ได้ยิน ผมก็ไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรง
“พี่อินทร์สนุกอยู่คนเดียวเถอะ ผมไม่สนุกด้วย”
โดยเฉพาะที่จู่ๆ ก็มาถอดเสื้อผ้าที่ละชิ้นในห้องหับรโหฐานเนี่ย พอนึกได้ว่าเขาคืออิเหนากลับชาติมาเกิด ผมก็ขนลุกขนพองเลยนะ
คลำเจอหัว ไม่มีหาง อันนี้นิสัยอิเหนา ถ้าผมเผลอเมื่อไรแล้วเขาคิดอะไรไม่ดีขึ้นมา เดี๋ยวก็ได้เป็นเมียอิเหนาจริงๆ เลยคราวนี้
พอผมกระฟัดกระเฟียดใส่ พี่อินทร์ก็ให้เหตุผลเพิ่ม
“จริงๆ ก็เพราะว่ามันเขี้ยวด้วย”
“แล้วมันใช่เรื่องที่จะต้องมาแกล้งผมไหมล่ะ”
“ก็เรามันน่าเอ็นดูนี่นา จิไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองน่าฟัดขนาดไหน”
พูดมาถึงตรงนี้ ผมก็รู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้าขึ้นมา ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้เลยว่าตอนนี้แก้มผมเรื่อแดงมากแค่ไหน ปกติแล้วผมมักจะคุ้นชินกับคำชมประมาณนี้ในชาติใหม่นี่นะ แต่พอเป็นผู้ชายที่เมื่อชาติก่อนได้ชื่อว่าหล่อเหลาประหนึ่งเทวดาเดินดินมาชม ผมก็อดที่จะภูมิใจระคนเขินอายหน่อยๆ ขึ้นมาไม่ได้
ทว่า...เพราะอีกฝ่ายคืออิเหนากลับชาติมาเกิด ผมเลยพยายามไม่คล้อยตาม จ้องหน้าพี่อินทร์ที่ยิ้มระรื่นนิ่ง ขณะที่อีกฝ่ายก็ยิ้มกว้าง
แม่ง...โคตรหล่อ เข้าใจแล้วว่าการเปรียบเปรยว่า ‘รูปงามปานอิเหนา’ มันมีที่มาที่ไปยังไง
“ยิ่งทำแก้มป่องๆ ตุ่ยๆ เหมือนกระรอกแล้ว ยิ่งโคตรมันเขี้ยวเลย”
ผมได้สติขึ้นมาในตอนนี้ ส่วนพี่อินทร์ก็ยังคงยิ้มไม่หยุด
“พี่ตอบคำถามเราแล้ว เมื่อไรจะเรียกแทนตัวเองว่าจิกับพี่ล่ะ”
คงจะเลี่ยงไม่ได้แล้ว ผมระบายลมหายใจออกมา ก่อนจะว่าเสียงเบา
“เรียกก็ได้ แต่ถ้าจิเรียกแทนตัวเองแบบนี้แล้ว ต่อไปนี้พี่อินทร์ห้ามแกล้งจิอีกนะครับ”
เท่านั้นพี่อินทร์ก็ยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบทุกซี่ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา ขยำขยี้อะไรก็ไม่รู้ในอากาศ พลันน้ำเสียงก็แปรเปลี่ยน อะไรไม่ว่า ถลาเข้ามาหาผม ส่วนไอ้มือที่ไม่รู้ว่าขยำขยี้อะไร ตอนนี้มาบีบแก้มผมทั้งสองข้างไปมาแล้ว
“นว้องงง~ เนี่ย มันน่ายักตะมุตะมิอย่างเนี้ย จะไม่ให้พี่อดใจได้ยังไงไหว หนูแจ้มป่องจังเรยรูก ตุ่ยๆ สีตมปู เจ้าตัวน่ายักของป่าปี๊~”
มึงพูดภาษาคนได้ไหมล่ะ!
พอเข้าใจอยู่นะว่าเวลาเห็นอะไรน่ารักๆ เช่นเด็กเล็กๆ หรือสัตว์ตัวน้อยๆ บางครั้งมันก็เกิดอาการมันเขี้ยว อยากจะน้วยอะไรแบบนี้ แต่คือนี่จรกาไง อิเหนามาน้วยจรกาอย่างหนักหน่วงไม่ได้เว้ย!
“นว้องจิของปี้~”
พี่อินทร์ยังคงดัดเสียงเป็นเสียงสอง บีบแก้มผมจนเริ่มเจ็บแล้วด้วย ผมเลยสะบัดหน้าหนี รีบลุกขึ้นจากโซฟาทันทีที่หลุดพ้นจากสองมือนั้น ก่อนจะชี้หน้าพี่อินทร์อย่างเอาเรื่อง
“บอกแล้วไงว่าห้ามแกล้งจิน่ะ!”
มืออีกข้างก็ลูบแก้มตัวเองป้อยๆ พี่อินทร์ทำปากยื่น ว่ากระเง้ากระงอด
“เห็นแล้วอดใจไม่ไหว นว้องจิของปี้น่ายักมากเยย ตัวเย็กๆ น่าบีบเหมือนตาหนูมุมิ”
แล้วก็ขยำขยี้บ้าบออะไรไม่รู้ในอากาศ ดัดเสียงเป็นเสียงสองไม่เลิก เรียกผมว่าตาหนูอีกต่างหาก ฟังแล้วผมก็อดเบ้หน้าออกมาไม่ได้
กูว่าต้องมีอะไรผิดพลาด สงสัยตอนกลับชาติมาเกิดจะลืมเอาสมองมาด้วย
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ผมคิดว่าผมอยู่ในห้องสองต่อสองกับพี่อินทร์ต่อไปไม่ได้ละ ถ้าจะรอพี่บุศย์ล่ะก็ ผมลงไปรอข้างล่างดีกว่า ไว้เขากลับมาแล้วค่อยขึ้นมาที่ห้องใหม่
คิดเท่านั้น ผมก็เตรียมจะเดินไปใส่รองเท้าแล้วลงไปด้านล่าง ทว่าพี่อินทร์ก็มาขวางหน้าเอาไว้ ส่งเสียงสองใส่ผมไม่หยุด
“นว้องจิจะไปไหนฮับ อยู่กับปี้ในห้องนี่แหละ เดี๋ยวป่าปี๊จะดูแยหนูเองยัยตัวเย็ก”
มึงเกินบาทไปไกลแล้วโว้ย!
เกินบาทไม่พอ ทำหน้าทำตาดูหื่นกาม ทำมือขยำขยี้ให้ผมเหงื่อกาฬแตกพลั่กอีก บอกตามตรง ตอนนี้กลัวอิเหนามากกว่าวิหยาสะกำที่เป็นสตอล์กเกอร์อีก โดยเฉพาะตอนที่มันใส่แค่กางเกงตัวเดียวเนี่ย
ไม่ได้การละ ยังไงก็ต้องออกไปจากห้องนี้ก่อน อันตราย...อันตรายมากๆ!
“ถอยไปนะพี่อินทร์ จิจะลงไปรอพี่บุศย์ข้างล่าง”
ไม่ไล่เปล่า ผมยังผลักพี่อินทร์ที่ขยับเข้ามาใกล้ หมายจะมาบีบแก้มผมให้ออกห่างอีกด้วย และในจังหวะที่ถูกผมผลักนั้นเอง พี่อินทร์ก็เซถลาแท่ดๆ พร้อมกับร้องออกมา
“โอ๊ยๆๆ”
เซไม่พอ ดันคว้าแขนผมไปแล้วเซไปทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา ส่งผลให้ผมถูกฉุดลงไปนอนด้วยอย่างไม่ทันตั้งตัว แรงกระแทกที่ปะทะเข้ามายังริมฝีปากพร้อมกับสัมผัสอุ่นร้อนผมทำให้ผมต้องเบ้หน้าเพราะเจ็บนิดๆ แต่พอเงยหน้าขึ้นมามอง ความเจ็บเมื่อครู่ก็หายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อผมพบว่าสัมผัสอุ่นร้อนเมื่อครู่มันมาจาก...
สายตาจับจ้องไปยังแผงอกของคนตรงหน้า ตุ่มไตเล็กๆ สีชมพูเรื่อจดจ่ออยู่ที่ปากผมอย่างพอดิบพอดี เท่านั้นก็ประจักษ์...
หัวนม!
เมื่อกี้ล้มปากกระแทกกับหัวนมอิเหนา!
แม่จ๋า ปากจิมีมลทินแล้ว!
ยิ่งกว่าถูกพี่อินทร์จูบอีกนะที่ล้มเอาปากไปประทับกับหัวนมเขาเนี่ย ผมเบ้หน้าทันที ขณะที่พี่อินทร์เหลือบมองแล้วว่าออกมา
“อุต๊ะ” พลันก็ทำหน้าตาราวกับว่าผมกำลังจะขืนใจเขา “อ่อนโยนกับพี่หน่อยนะจิ พี่ยังไม่เคย”
มึงก็ยังจะเล่นอยู่อีก!
อายก็อาย โกรธก็โกรธ ตกใจก็ตกใจ ผมทำอะไรไม่ถูกอยู่หลายวินาที พอได้สติก็รีบตั้งท่าจะลุกด้วยรู้ว่าอยู่ในท่านี้ต่อไปคงไม่เป็นการดีแน่ แต่...ฟ้าคงไม่เป็นใจให้ผมสักเท่าไร พอผมทำท่าจะลุกปุ๊บ ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาด้วยฝีมือของใครบางคนปั๊บ
“โทษทีนะจิ รอนาน...ไหม”
พะ...พี่บุศย์!
หันไปมองก็ยิ่งตกใจกว่าเดิม พี่บุศย์เองก็ตกใจไม่แพ้กัน หน้างี้เหวอเลยที่เห็นผมคร่อมพี่อินทร์ในสภาพกึ่งเปลือยอยู่บนโซฟาอย่างนั้น ผมรีบกระโดดผลุงออกห่างพี่อินทร์อย่างรวดเร็ว แก้ตัวเป็นพัลวัน
“มะ...ไม่ใช่อย่างที่พี่บุศย์คิดนะครับ คะ...คือว่า...”
ยังอธิบายไม่ทันจบ มัวแต่ละล่ำละลัก ทันใดนั้น พี่อินทร์ก็ลุกขึ้นมานั่งหนีบๆ เหนียมๆ อายๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นทำเหมือนซับน้ำตา
“ทำไมจิถึงทำกับพี่แบบนี้ กระซิกๆ”
ทำอะไรเล่า! ไม่ได้ทำอะไรเลยโว้ย!
แต่ก็ยังไม่ทันได้แก้ตัว พี่อินทร์ก็โพล่งออกมาอีกแล้ว
“ถึงเขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก ยิ้มข้างนอกช้ำใน...”
ทำท่าทางประหนึ่งถูกผมพรากพรหมจรรย์ สะดีดสะดิ้งไม่เลิก ส่วนพี่บุศย์ก็ย่นคิ้วขมวดจนหน้าตาดูน่ากลัว ผมซึ่งไม่เคยเห็นพี่บุศย์ทำหน้าแบบนี้มาก่อนก็ใจหายไม่น้อย ยิ่งเขาถามออกมา
“มีใครจะบอกได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น”
สิ้นเสียง พี่อินทร์ก็ชิงพูดก่อนทันที
“กูถูกข่มเหงน้ำใจ น้องรหัสมึงมัน...”
แล้วก็ไม่พูดต่อ ทำเป็นซับน้ำตา มืออีกข้างที่ว่างก็กอดร่างเปล่าเปลือยช่วงบนของตัวเองไว้ พอพี่บุศย์มองมายังผมอย่างขอคำอธิบาย ผมก็บ่อน้ำตาแตกทันที
“จะ...จิไม่ได้ตั้งใจ สถานการณ์มันพาไป พี่บุศย์... จิไม่ได้ตั้งใจทำพี่อินทร์นะครับ ฮือ...”
ไปกันใหญ่แล้ว!
