บทที่ 13 สายโลหิตเทพปกรณัม? ขออภัยด้วย ยังไม่บรรลุเงื่อนไขการเป็นศิษย์ข้าอยู่ดี
“เหลวไหล”
ทว่าหลินเฟิงยังไม่ทันได้พูดจบ ซูเวิ่นจิ่วก็ตวาดเสียงดัง ตัดบทพูดหลินเฟิงไปซื่อ ๆ
“ข้าบอกว่าผลการฝึกตนของเจ้าพัฒนาได้เร็วปานเทพต่างหาก ถามว่าอาจารย์เจ้าอยู่ที่ใด ข้าก็อยากกราบไหว้ท่านอาจารย์เช่นกัน ซึ่งไม่ได้อยากเป็นอาจารย์เจ้าแต่อย่างใด”
ในช่วงเวลาที่ร้อนรน
ซูเวิ่นจิ่วจึงตอบกลับด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
ซึ่งคำพูดของซูเวิ่นจิ่วก็ทำให้หลินเฟิงไปต่อไม่เป็นเลย
หนุ่มน้อยใช้มือเกาศีรษะพลางมองตาละห้อย
“เจ้าพูดเช่นนั้นจริง ๆ หรือ แต่ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้นะ!”หลินเฟิงพูดด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย “เจ้ายังบอกอีกด้วยว่าเจ้ามาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งด้าวบูรพา บอกข้าว่าการเข้าร่วมแดนศักดิ์สิทธิ์ดีกว่าอยู่ภูอาสน์มู่มาก ๆ”
“เจ้าฟังผิดแล้ว”
ซูเวิ่นจิ่วรีบอธิบายอีก “ถึงแม้ข้าจะกำเนิดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ข้าบอกว่าข้าที่อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ยังไม่เคยเห็นศิษย์ที่พัฒนาได้เร็วอย่างเจ้ามาก่อน ฉะนั้นข้าจึงอยากเข้าร่วมภูอาสน์มู่อย่างอดใจรอไม่ไหวเช่นกัน”
“แล้วเรื่องที่เจ้าบอกว่าจะมอบกระบี่ระดับแปดเล่มหนึ่งให้ข้าเล่า?”หลินเฟิงถามอีก
“นั่นคือ นั่นคือ……นั่นเป็นเพราะข้าอยากให้เจ้าช่วยแนะนำข้า และกระบี่ระดับแปดเล่มนั้นเป็นเพียงของตอบแทน”
เพื่อเป็นการไม่รุกรานจงชิงที่อยู่ตรงหน้า ซูเวิ่นจิ่วในวินาทีนี้โกหกหน้าตายได้ถึงขั้นสูงสุดแล้วจริง ๆ
พอจะพูดได้เลยว่าระดับความอยากมีชีวิตรอดเต็มร้อย
หลังจากพูดจบ นางกลัวว่าจงชิงไม่เชื่อ จึงรีบประสานมือแล้วพูดกับจงชิงอย่างเคารพจริงใจ “ผู้อาวุโส ทุกอย่างเป็นเหมือนที่ข้ากล่าวไปจริง ๆ นะเจ้าคะ เมื่อข้ามองเห็นผลการฝึกตนที่พัฒนาได้เร็วปานเทพเจ้าของน้องชายคนนั้น ก็รู้แล้วว่าเขาต้องมีอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมมากแน่นอน”
“ฉะนั้นภายใต้อารมณ์ชั่ววูบ จึงสะกดรอยตามน้องชายคนนี้จนมาถึงภูอาสน์มู่ อยากกราบไหว้ผู้อาวุโสเป็นอาจารย์ ทว่ายังไม่ทันได้พบผู้อาวุโส ก็เผลอตกเข้าไปในสมุทรทุกขะก่อน”
“แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การที่ข้าน้อยบุกเข้ามาในยอดภูโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสก่อน ก็ถือเป็นความผิดอย่างหนึ่งเช่นกัน ผู้อาวุโสได้โปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ”
พูดจบ ซูเวิ่นจิ่วก็คุกเข่าทั้งสองข้างลงไปกับพื้นอย่างจริงใจ
“ถุ้ย ข้ายังไม่เคยเห็นคนที่หน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อนเลย”
และเมื่อได้ยินคำพูดของซูเวิ่นจิ่ว ท่านเจี้ยนที่อยู่ในแหวนไร้ขารก็พูดแขวะอย่างควบคุมไม่ได้
“หึ ข้าคิดอยู่แล้วว่านางไม่ได้พูดเช่นนี้ด้วยซ้ำ ท่านเจี้ยนตอนนั้นท่านก็ได้ยินเช่นกัน เหตุใดนางจึงหน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้ได้นะ”
ใบหน้าของหลินเฟิงก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธ
ในขณะที่กำลังจะเปิดเผยธาตุแท้ของสตรีไร้ยางอายนี่อยู่นั้น กลับถูกจงชิงโบกมือขัดจังหวะไปก่อน
ความจริงคืออะไร เขาไม่ใช่คนโง่สักหน่อย ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องพูดมากอีก
แต่เขาก็ไม่ได้โมโหมากเท่าไหร่นัก
นับตั้งแต่เปิดพลังเสริมร้อยเท่าเป็นต้นมา ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของหลินเฟิงก็น่าสยดสยองอย่างยิ่ง ไม่ว่าผู้ใดก็ตามล้วนต้องรู้สึกอิจฉาตาร้อนกันทั้งนั้นแหละ การที่นางเกิดความคิดที่อยากรับเขาเป็นศิษย์นั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่
และการตามมาภูอาสน์มู่แล้วตกเข้าไปในสมุทรทุกขะ คาดว่าสตรีนางนี้ก็น่าจะทนทุกข์ทรมานมามากพอแล้ว
อีกอย่างถึงแม้สตรีนางนี้จะโกหกหน้าตาย ทว่าลักษณะท่าทีก็ถือว่าจริงใจอยู่
ฉะนั้นเขาจึงเบื่อที่จะถามหาความรับผิดชอบอะไร
“แม่นาง เจ้ากลับไปเถอะ ต่อไปอย่ามาภูอาสน์มู่อีกเลย”จงชิงโบกมือพลางพูด
ใบหน้าของซูเวิ่นจิ่วจึงร้อนผ่าวขึ้นมา
จากลักษณะท่าทางของจงชิง นางย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่าจงชิงดูออกแล้วว่านางกำลังโกหก นางจึงรีบกล่าวขอโทษด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “ขออภัยด้วยผู้อาวุโส เมื่อครู่ข้าไม่ได้พูดความจริง ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ควรทำเช่นนั้น”
“ทุกอย่างเป็นเพราะข้ามีตาแต่หามีแววไม่ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง จึงล่วงเกินผู้อาวุโส”
“ศิษย์ท่านมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรที่รวดเร็วเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่มีสิทธิ์รับเขาเป็นศิษย์เช่นกัน”
“ทว่าผู้อาวุโสเจ้าคะ คำพูดช่วงท้ายที่ข้าพูดมา เป็นคำพูดที่ข้าพูดมาจากหัวใจจริงนะเจ้าคะ ข้าอยากกราบไหว้ท่านเป็นอาจารย์จริง ๆ หวังว่าท่านจะทำให้ข้าสมปรารถนาได้นะเจ้าคะ”
ซูเวิ่นจิ่วพูดอย่างเคารพนบนอบ
ปัจจุบันเมื่อได้พบจงชิง นางก็มีความคิดที่อยากกราบไหว้เขาเป็นอาจารย์แล้วจริง ๆ
เนื่องจากในชั่วชีวิตนี้ของนาง จงชิงเป็นคนแรกที่ทำให้นางรู้สึกว่าเป็นผู้ที่ลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้ มิหนำซ้ำนางยังได้พบเห็นรู้จักสมุทรทุกขะ รวมไปถึงเห็นอุบายน่ากลัวอย่างการตกสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่โตมโหฬารนั่นขึ้นมาจากสมุทรทุกขะด้วย
ดังนั้นการกราบไหว้จงชิงเป็นอาจารย์จึงเป็นการตัดสินใจที่ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน
ทว่าคำพูดของซูเวิ่นจิ่วกลับทำให้จงชิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
แม้จะไม่ได้รู้สึกชื่นชอบความซื่อสัตย์จริงใจในช่วงสุดท้ายของสตรีนางนี้ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจ
แต่การกราบไหว้เป็นอาจารย์นั้น……
จงชิงมองไปทางซูเวิ่นจิ่วอย่างอดไม่ได้ หลังจากสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็ส่ายหน้า
“แม่นาง เจ้ายังไม่บรรลุเงื่อนไขในการรับศิษย์ของข้า เจ้ากลับไปเถิด”
เมื่อครู่ จงชิงใช้เนตรฟ้าสังเกตนางอยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งพรสวรรค์ปัญญาของนางยอดเยี่ยมมากจริง ๆ
แต่กลับไม่สามารถกระตุ้นพันธนาการผู้แพ้ได้
ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขา
อีกทั้งเขาชี้แนะสั่งสอนผู้อื่นไม่เป็น จึงไม่มีความจำเป็นต้องรับศิษย์คนนี้
“ไม่บรรลุเงื่อนไขหรือ?”
เมื่อซูเวิ่นจิ่วได้ยินเช่นนี้
พอจะพูดได้เลยว่านางรู้สึกเจ็บใจมาก
ต้องเท้าความก่อนว่าด้วยพรสวรรค์ศักยภาพของนาง สามารถลบล้างการบันทึกในประวัติศาสตร์ของหุบเขาเฉาเซียะได้เลยนะ
เมื่อปีนั้น เพื่อเป็นการรับตัวเองเป็นศิษย์ เหล่าผู้อาวุโสในสำนักยิ่งถึงกับลงไม้ลงมือกันอย่างยิ่งใหญ่ งัดทรัพย์สมบัติต่าง ๆ นานาของตัวเองออกมา แต่สุดท้ายกลับไม่มีผู้ใดอยู่เหนือผู้ใด ไม่มีผู้ใดได้รับนางเป็นศิษย์
สุดท้ายหลังจากผ่านการร่วมหารือกัน จึงตัดสินใจให้ทุกคนชี้แนะอบรมสั่งสอนนางพร้อมกัน ความวุ่นวายในครั้งนั้นถึงจะสงบลง
เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง ในฐานะที่นางเป็นเทพีแห่งหุบเขาเฉาเซียะ แท้จริงแล้วนางยังไม่มีอาจารย์ที่แท้จริง
และนางก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนผิดหวังเช่นกัน ด้วยอายุ 20 กว่า ผลการฝึกตนของนางก็บรรลุถึงแดนจันทราเสวียนแล้ว
สามารถพูดได้อย่างไม่เกินจริงเลยว่า นางคือความหวังในอนาคตของแดนศักดิ์สิทธิ์หุบเขาเฉาเซียะ
แต่วันนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าจงชิง นางกลับไม่มีสิทธิ์ที่จะถูกจงชิงยอมรับเป็นศิษย์ด้วยซ้ำ
แต่ว่ายิ่งเป็นเช่นนี้
นางก็ยิ่งไม่ตายใจ
เพราะนางเข้าใจอยู่ว่าการเข้ามาภูอาสน์มู่ในครั้งนี้และได้พบกับจงชิง มันอาจเป็นหายนะสำหรับนาง
แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีโอกาสเป็นจังหวะโอกาสครั้งหนึ่งเช่นกัน
นางเตรียมพร้อมที่จะบอกความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนตัวนางออกมา
นอกจากน้อยคนในหุบเขาเฉาเซียะที่ทราบความลับนี้แล้ว ก็ไม่มีผู้อื่นใดทราบอีกเลย เนื่องจากตราบใดที่ศักยภาพของนางยังแข็งแกร่งไม่มากพอ ทันทีที่ความลับนี้แพร่งพรายออกไป หุบเขาเฉาเซียะและตัวนางเองก็อาจได้เผชิญหน้ากับหายนะแห่งการถูกล้มล้าง
นางเชื่อว่าหลังจากตัวเองบอกความลับนี้ออกไปแล้ว จงชิงต้องเปลี่ยนใจยอมรับนางเป็นศิษย์แน่นอน
“ผู้อาวุโส นอกเหนือจากพรสวรรค์ส่วนตัวของข้าแล้ว อันที่จริงบนตัวข้ายังมีความลับอีกอย่างหนึ่งซ่อนอยู่……”
ซูเวิ่นจิ่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง
เตรียมพร้อมที่จะรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อบอกความลับนี้ออกไป ทว่านางยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไร จงชิงกลับเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดก่อน
“ข้ารู้อยู่ว่าในตัวเจ้ายังมีสายโลหิตของเทพปกรณัมโบราณก่อนเสี้ยวหนึ่ง”
จงชิงพูดอย่างเรียบนิ่ง
ขณะที่ใช้เนตรฟ้าสังเกตนางในเมื่อครู่นี้ เขาก็ดูออกแล้ว เมื่ออยู่ภายใต้เนตรฟ้า ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพระดับใด พรสวรรค์ระดับใด มีฐานกายประเภทใด ล้วนไม่อาจเล็ดลอดไปจากสายตาเขาได้
?
??
???
ซูเวิ่นจิ่วเบิกตากว้าง อ้าปากกว้างเป็นรูปวงกลม
มองจงชิงที่อยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ
สายโลหิตเทพปกรณัมที่นางภาคภูมิใจ และคิดว่าตัวเองปกปิดได้แนบเนียนมาก ๆ ถูกฝ่ายตรงข้ามมองทะลุตั้งนานแล้วอย่างนั้นหรือ?
ทั้งยังพูดออกมาได้ชิลล์สบายขนาดนี้ด้วย?
“ขออภัยด้วยนะแม่นาง ต่อให้เจ้าจะมีสายโลหิตเทพปกรณัม ก็ยังไม่บรรลุเงื่อนไขในการเป็นศิษย์ของข้าอยู่ดี”
“เชิญกลับดีกว่า”
จงชิงเก็บปลาที่เพิ่งตกได้ เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเป้าหมายอาหารในวันนี้ของตัวเองบรรลุแล้ว จึงยกข้องเป็ดขึ้นมา เตรียมพร้อมที่จะกลับบ้าน
“ศิษย์รัก ส่งแขก”
“ขอรับ”
มองดูจงชิงที่จากไป สีหน้าของซูเวิ่นจิ่วดูย่ำแย่มาก
คำพูดของจงชิงยังคงดังก้องอยู่ในหัว
ต่อให้เจ้าจะมีสายโลหิตเทพปกรณัม ก็ยังไม่บรรลุเงื่อนไขในการเป็นศิษย์ของข้าอยู่ดี……
พอจะพูดได้เลยว่าประโยคนี้ทำให้ความภาคภูมิใจสุดท้ายของนางถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
