บทที่ 12 เจ้าของสมุทรทุกขะคือเขาอย่างนั้นหรือ?
เบิ่งมองไปข้างหน้า
นอกจากชายหนุ่มที่มีออร่าไม่ธรรมดาแล้ว นางก็ไม่เห็นสิ่งใดที่ดูพิเศษอีกเลย
ยิ่งมองคลื่นผลการฝึกตนบนตัวเขาไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
แต่นางไม่ได้โง่ถึงขั้นที่มองว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนธรรมดาทั่วไปหรอกนะ
การที่สามารถช่วยนางออกมาจากน่านน้ำสีดำนั่นได้อย่างง่ายดาย ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของเขาแล้ว
แต่บนตัวเขากลับไม่มีคลื่นผลการฝึกตนเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งมีเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้น นั่นก็คือผลการฝึกตนของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งถึงขั้นที่สามารถควบคุมมันได้อย่างชิลล์สบาย
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเป็นผู้ช่วยชีวิตข้าไว้หรือเจ้าคะ?”
ซูเวิ่นจิ่วถามอย่างระมัดระวังและเคารพนอบน้อม
จงชิงไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ผงกหัวยอมรับ
หากตัวเองไม่ตักร่างร่างขึ้นมา สตรีนางนี้ไม่มีทางหลุดพ้นออกไปจากขอบเขตของบ่อน้ำบ่อนี้ได้แน่นอน
“ข้าน้อยซูเวิ่นจิ่ว ขอบคุณสำหรับพระคุณที่ผู้อาวุโสช่วยชีวิตข้าไว้ด้วยนะเจ้าคะ”ซูเวิ่นจิ่วรีบก้มคำนับกล่าวขอบคุณอย่างตื้นตันใจ
หลังจากกราบขอบคุณอย่างตื้นตันใจจบ นางก็ไม่ลืมที่จะถามข้อสงสัยในใจ
“ผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าบ่อน้ำแห่งนี้คือสถานที่อะไรกันแน่เจ้าคะ?”ซูเวิ่นจิ่วมองบ่อน้ำที่อยู่ด้านหลังด้วยความหวาดผวา พลางถามอย่างอดไม่ได้
“สมุทรทุกขะ”
จงชิงตอบกลับอย่างเรียบนิ่ง
“สมุทรทุกขะ?!!!”
เมื่อได้ยินคำตอบ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาในหัวซูเวิ่นจิ่ว
นางเคยได้ยินผู้อาวุโสในสำนักเล่าว่า ในสำนักอรหันต์ศักดิ์สิทธิ์โบราณก่อนมีภัณฑ์เศษณ์ขลังชิ้นหนึ่งที่แหกกฎสวรรค์มาก ซึ่งมีนามว่าสมุทรทุกขะ
เล่ากันว่าหากติดอยู่ในสมุทรทุกขะ ก็จะไม่สามารถหลุดพ้นออกมาได้ตลอดชีวิต
ซึ่งดั่งคำกล่าวที่ว่าสมุทรทุกขะไร้ขอบเขต
“ผะ ผู้อาวุโส สมุทรทุกขะนี่คือสมุทรทุกขะในสำนักอรหันต์โบราณก่อนหรือเจ้าคะ?”ซูเวิ่นจิ่วถามอย่างร้อนรน
จงชิงนั่งอยู่บนเก้าอี้เล็ก พลางเกี่ยวเหยื่อไว้กับตะขอแล้วโยนเข้าไปในบ่อน้ำ พลางฟังคำถามของซูเวิ่นจิ่ว ก่อนจะกลอกตามองบนอย่างอดไม่ได้
เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามผู้ใด?
แต่ว่าอย่างไรเสียนี่ก็เป็นสิ่งที่ได้รับมาจากการเช็คอินของระบบ ทุกสิ่งอย่างที่ได้รับมาจากระบบล้วนไม่ใช่ของธรรมดา สมุทรทุกขะอาจจะเป็นสมุทรทุกขะที่ซูเวิ่นจิ่วสอบถามจริง ๆ ก็เป็นได้
“เจ้าคิดว่าใช่ มันก็อาจจะใช่กระมัง”จงชิงตอบกลับอย่างเย็นชา
เมื่อได้ยินคำตอบของจงชิง ซูเวิ่นจิ่วก็ซี๊ดปากทันที
เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น นางก็ตกใจจนเหงื่อแตกท่วมตัวแล้ว
นึกไม่ถึงเลยว่านางจะพเนจรอยู่ในสมุทรทุกขะไปรอบหนึ่ง!!!
“โอ๊ะ มีปลาติดเบ็ดแล้ว”
และในเวลานี้เอง ทุ่นลอยในน้ำก็เริ่มเคลื่อนไหว แววตาของจงชิงจึงเป็นประกายขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
ซูเวิ่นจิ่วได้ยินจึงมองไปในทิศทางเดียวกัน ก่อนจะรู้สึกตะลึงงันในทันที
คนดังกล่าวถึงกับตกปลาในสมุทรทุกขะอย่างนั้นหรือ?
ยังดึงสติกลับมาไม่ได้ ก็เห็นว่าจงชิงดึงเบ็ดตกปลา จากนั้นปลาสีแดงฉานตัวหนึ่งที่ยาวสองนิ้วก็ถูกดึงขึ้นมาจากบ่อน้ำ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่านี่คือปลาพันธุ์อะไร
และเมื่อเห็นปลาตัวนั้น ซูเวิ่นจิ่วก็ตกใจจนก้าวถอยหลังกลับไปหลายก้าว ทั้งใบหน้าดูขาวซีดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เนื่องจาก ณ เสี้ยววินาทีที่เห็นปลาตัวนั้น นางก็นึกถึงสิ่งมีชีวิตใหญ่โตมโหฬารที่ตัวเองเคยพบเจอในสมุทรทุกขะทันที
เมื่อก้มมองลงมาจากที่สูง สิ่งมีชีวิตนั้นเหมือนมังกรและมังกรคะนองน้ำ ทั้งตัวเป็นสีแดงฉาน
โดยเฉพาะสันหลังที่โค้งนูนนั่นของมัน ถึงแม้ขนาดจะไม่เท่ากัน ทว่ารูปร่างลักษณะและเกล็ดบนตัวเป็นสิ่งที่ให้ตายอย่างไรซูเวิ่นจิ่วก็ไม่มีวันลืมเลือน
ในขณะที่นางกำลังรู้สึกช็อกอยู่นั้น สายตาของปลาตัวนั้นก็จ้องมองมาทางนางเช่นกัน
ต่อมาก็มีเสียงเสียงหนึ่งสะท้อนเข้าไปในหูนาง “ยัยหนู มีบุญวาสนาสูงมากเลยนี่ นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าเองก็หลุดพ้นจากสมุทรทุกขะได้เช่นกัน”
เมื่อเสียงดังกล่าวสะท้อนเข้าไปในหูนาง ก็เหมือนมีระเบิดแตกข้างหูยังไงอย่างนั้น
ปลาตัวนี้ที่ถูกตกขึ้นมาจากบ่อน้ำ เป็นตัวเดียวกับสิ่งมีชีวิตใหญ่โตมโหฬารที่นางพบเจอสมุทรทุกขะจริง ๆ อย่างนั้นหรือ!!!
ภายในเวลาชั่วขณะ สีหน้าของนางจึงดูลนลานอย่างยิ่ง
สายตาที่มองไปทางจงชิงที่อยู่ข้างกายก็ดูลึกซึ้งจนไม่อาจคาดเดาได้
ใช้ไม้ไผ่แท่งเดียว สามารถตกสิ่งมีชีวิตปานเทพอสูรในสมุทรทุกขะขึ้นมาได้แล้วอย่างนั้นหรือ นี่คืออุบายเทพเจ้าอะไร?
“ยัยหนู เจ้าไม่ต้องรู้สึกตะลึงหรอก ท่านคือเจ้าของสมุทรทุกขะ ท่านกำลังช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากสมุทรทุกขะอยู่”
“เจ้าและข้าต่างถูกเขาช่วย ท่านมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตเราเอาไว้เชียวนะ”
“เจ้าคือเผ่าพันธุ์มนุษย์ บางทีอาจจะยังมีโอกาสได้ปรนนิบัติผู้มีพระคุณอยู่”
“ส่วนประโยชน์ของข้า ก็แค่สามารถทำให้โต๊ะอาหารของผู้มีพระคุณมีเมนูนึ่งหรือทอดเพิ่มขึ้นมาเมนูหนึ่งเอง”
“รักษาโอกาสไว้ดี ๆ เถิด เข้าขอเข้าสู่สังสารวัฏก่อน”
ทันทีที่สิ้นเสียง ปลาตัวนั้นก็ถูกจงชิงเก็บเข้าไปในข้องเป็ด
ทว่าซูเวิ่นจิ่วกลับไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้สักที
เจ้าของสมุทรทุกขะ
นี่หมายความว่าอย่างไร!!!
นางไม่กล้าจินตนาการต่อแล้ว
เมื่อหันมามองจงชิงที่อยู่ด้านหน้าอีกครั้ง ความรู้สึกของนางที่ต่อเขาก็เปลี่ยนจากความเคารพนอบน้อมในตอนแรก เป็นความหวาดผวาและยอมศิโรราบ
ประหนึ่งมดตัวหนึ่งที่สำเหนียกในตัวเอง เงยหน้ามองช้างที่โตเต็มวัย
“ใช่สิ ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลย เหตุใดเจ้าจึงแจ้นมาในภูอาสน์มู่ของข้าได้เล่า?”และในเวลานี้เอง จงชิงที่เกี่ยวเหยื่อไว้กับตะขอใหม่อีกครั้งก็หันมาถามซูเวิ่นจิ่ว
คำถามนี้
ทำเอาซูเวิ่นจิ่วตะลึงงันไปเลย
หากนางคาดเดาไม่ผิดละก็ คาดว่าจงชิงที่อยู่ตรงหน้านี้น่าจะเป็นอาจารย์ของหลินเฟิงนั่น
ส่วนจุดประสงค์ของการเดินทางในครั้งนี้ของตัวเอง ก็คือต้องการเจรจากับอาจารย์ของหลินเฟิง เพื่อรับหลินเฟิงเป็นศิษย์ตัวเอง
ยิ่งกว่านั้นคือนางยังเคยคิดด้วยว่า หากอาจารย์ของหลินเฟิงไม่ตกลง นางยังวางแผนที่จะใช้กำลังด้วย
แต่วินาทีนี้นางจะกล้าพูดคำพูดเช่นนั้นออกไปได้อย่างไร?
จักยังมีหน้าพูดออกไปอีกได้อย่างไร?
ดังนั้นเมื่อนางในวินาทีนี้นึกย้อนกลับไป ดูเหมือนการตกเข้าไปในสมุทรทุกขะก็ไม่ถือเป็นเรื่องเลวร้ายเช่นกัน
หากไม่มีอุบัติเหตุอย่างการได้ตกเข้าไปในสมุทรทุกขะ นางก็อาจจะพุ่งไปขอศิษย์กับจงชิงโดยตรงแล้ว
ถึงครานั้น ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าสิ่งที่รอคอยนางจะเป็นการได้ดับสลายสูญสิ้นหรือไม่
และถึงแม้จะเสียเปรียบในสมุทรทุกขะ แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยชีวิตนางไว้หนหนึ่ง
“หื้ม?”
เมื่อจงชิงเห็นว่าซูเวิ่นจิ่วไม่ตอบกลับสักที เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหันมามองนางอีกครั้ง
เมื่อเผชิญหน้ากับแววตาของจงชิง ซูเวิ่นจิ่วก็รู้สึกประหม่าอย่างยิ่ง
นางยังคิดคำตอบไม่ได้เลย จึงทำได้เพียงฝืนตอบกลับด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอึดอัด “ผู้อาวุโส หากบอกว่าข้าแค่เดินทางผ่านที่นี่ ท่านจะเชื่อหรือไม่?”
“เจ้าคิดอย่างไรล่ะ?”
จงชิงหันมามองหน้าซูเวิ่นจิ่ว
“เหอะ ๆ ๆ ข้าก็ไม่เชื่อเช่นกัน”
ซูเวิ่นจิ่วอยากหารูแล้วหมุดหนีไปจากที่นี่อย่างอดไม่ได้ เมื่อเผชิญหน้ากับแววตาในเชิงสอบถามของจงชิง นางร้อนรนจนแทบจะร้องไห้แล้ว
และแล้วในวินาทีนี้เอง ก็มีเงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งบินผ่านหิมะและน้ำแข็งที่ปกคลุมไปทั่วพื้น มาถึงข้างกายทั้งสอง
“ศิษย์กราบคารวะอาจารย์ขอรับ”
ซึ่งผู้มาเยือนก็คือหลินเฟิงนั่นเอง
“ศิษย์รัก เหตุใดจู่ ๆ เจ้าถึงคิดมาหาข้าเล่า มีเรื่องอะไรหรือไม่?”จงชิงยิ้มพลางถาม
“คือเรื่องมันเป็นเช่นนี้ขอรับอาจารย์ อีกเดือนกว่าข้าก็สามารถบรรลุถึงแดนทิวาเสวียนได้แล้ว”
จงชิงพูดอย่างเคารพนอบน้อม “หลังจากบรรลุถึงแดนทิวาเสวียน ข้ามีธุระส่วนตัวที่ต้องจัดการนิดหน่อย ฉะนั้นจึงมาขออนุญาตอาจารย์ล่วงหน้า ถึงครานั้นข้าอาจจะต้องลงจากภูหนหนึ่ง หวังว่าอาจารย์จะอนุญาตขอรับ”
“ในเมื่อมีธุระอยากลงจากภู ย่อมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว”จงชิงยิ้มพลางใช้มือลูบศีรษะหลินเฟิงพลางพูดอย่างอ่อนโยน
อย่างไรก็ตาม
เมื่อเห็นหลินเฟิง ร่างซูเวิ่นจิ่วกลับแข็งทื่อไปเลย
ยิ่งกลัวสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะยิ่งเกิดขึ้นจริง ๆ
นางกำลังหลบหน้าอย่างสุดชีวิต กลัวว่าหลินเฟิงจะมองเห็น
ทว่ามีคนทั้งคนยืนอยู่ที่นี่ แล้วหลินเฟิงจักมองไม่เห็นได้อย่างไรเล่า
ก่อนที่เขาจะจำซูเวิ่นจิ่วได้ในทันที
“ท่านเองหรือ?”
หลินเฟิงกำลังมองหน้าซูเวิ่นจิ่วด้วยความแปลกใจ
หัวใจของซูเวิ่นจิ่วดิ่งลงไปถึงตาตุ่มแล้ว
“โอ๊ะ เจ้ารู้จักหรือ?”
จงชิงที่อยู่ข้าง ๆ มองหน้าหลินเฟิงแล้วอดถามไม่ได้
“รายงานอาจารย์ขอรับ เพื่อทำให้ผลการฝึกตนของข้ามั่นคงมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยกระดับประสบการณ์การลงสนามจริง ข้าจึงออกไปฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในป่าเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปร้อยลี้ และข้าก็บังเอิญเจอนางขณะที่ฝึกฝนอยู่ขอรับ”
หลินเฟิงที่อยู่ข้าง ๆ ตอบกลับตามความจริง “นางบอกว่าเห็นผลการฝึกตนของข้าพุ่งสูงขึ้นเร็วปานเทพ จึงให้ข้าออกจากอาจารย์ แล้วกราบไหว้นางอาจารย์ เพื่อกลายเป็นศิษย์ของนางขอรับ……”
