บทที่ 11 ใช้สวิงตักปลาในสมุทรทุกขะ นี่ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?
นั่นก็คือน่านน้ำสีดำที่นางกำลังอยู่ในวินาทีนี้ ไม่ใช่ภาพมายาอะไรด้วยซ้ำ
แต่อยู่ในมิติพื้นที่ที่แท้จริง
เพราะอย่างที่ทุกคนทราบกัน ภาพมายานั้นมีข้อจำกัดอยู่ แม้นศักยภาพของผู้ที่จัดวางภาพมายายิ่งแข็งแกร่ง ข้อจำกัดก็จะยิ่งต่ำ แต่ท้ายที่สุดแล้วภาพมายาก็เป็นภาพมายาอยู่ดี ไม่มีทางเทียบเคียงกับโลกที่แท้จริงได้
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางประสบพบเจอในวินาทีนี้ กลับไม่ใช่สิ่งที่ภาพมายาสามารถรังสรรค์ออกมาได้ด้วยซ้ำ
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ จังหวะในการหายใจของซูเวิ่นจิ่วก็เริ่มถี่ขึ้นมา
สีหน้าค่อย ๆ ดูสิ้นหวัง
หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ละก็ โอกาสที่นางจะสามารถหลุดพ้นออกไปจากที่นี่ได้ก็คงจะริบหรี่มากแล้ว
แต่ว่านางคิดไม่ตกจริง ๆ ว่าเหตุใดบนยอดภูเล็ก ๆ เช่นนี้ ถึงได้มีสถานที่ประเภทนี้คงอยู่!
เงยหน้ามองขึ้นไป มีหิมะถล่มลงมาจากฟ้า
จึงทำให้หัวใจซูเวิ่นจิ่วเย็นเชียบมากยิ่งขึ้น
“ไม่ได้ ข้าจะตายอยู่ในนี้ไม่ได้ ข้าจำเป็นต้องออกไปจากที่นี่”
ซูเวิ่นจิ่วกัดฟันแน่น ก่อนจะพุ่งตรงไปทางดอกบัวขาวที่เป็นวัตถุเพียงหนึ่งเดียว
เนื่องจากเมื่ออยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้ หากไม่มีวัตถุหนึ่งเป็นตำแหน่งสัญลักษณ์ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่เก่งกาจมากเพียงใดก็ตาม ล้วนสามารถหลงทางได้
“หิมะตกอีกแล้วหรือ?”
ในห้องโถง
จงชิงที่กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนนอนวางหนังสือที่อยู่ในมือลง แล้วค่อย ๆ เงยหน้ามองไปทางหิมะที่กำลังตกหนักนอกห้อง
อันที่จริงจงชิงเกลียดวันหิมะตกมาก ๆ
มีคำกล่าวที่ว่าหากมีหิมะตกหนักในฤดูหนาว ปีหน้าจะเก็บเกี่ยวพืชผลได้เยอะมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว
ณ ช่วงเวลาหนึ่งในอดีต เขายังเคยฝันว่าตัวเองเป็นจอมยุทธกุมดาบที่พเนจรใต้หิมะด้วย
จำได้ว่านั่นคือช่วงเวลาที่เขาในอดีตชาติใช้ชีวิตอยู่บ้านคุณยายในชนบท
นั่นคือฤดูกาลที่พืชไม้นับหมื่นผลิดอกใบ เขาในช่วงวัยเด็กดึงแผ่นพลาสติกสีขาวออกมาจากถุงยูเรียชิริตัน แล้วตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าคลุมไว้ด้านหลัง
แล้วไปตัดใบไผ่มาจากหลังเขา มัดติดกับเชือกแดงแล้วผูกไว้ตรงเอว
ลมหิมะกัมปนาท จอมยุทธ์ออกพเนจร หญ้าหางหมาสามร้อยเมตรก็ไม่อาจหยุดยั้งเขาไว้ได้
ต่อให้ก้าวข้ามผ่านมิติกาลเวลามาแล้ว ความฝันในการเป็นจอมยุทธเซียนเขาก็ดำเนินการไปยาวมาก ๆ
ทว่าแค่ถูกระบบหมา ๆ ที่ไม่มอบผลการฝึกตนให้บั่นทอนอารมณ์อันฮึกเหิม
ปัจจุบันแม้นจักกระตุ้นพันธนาการผู้แพ้ของระบบสำเร็จแล้ว ก็ยากที่จะทำให้เขากลับไปมีอารมณ์ฮึกเหิมเหมือนช่วงวัยเด็กไม่ได้อีกแล้ว
อย่างไรเสียตัวเขาเองไม่ต้องบำเพ็ญเพียร แค่นอนเล่นอยู่ในห้องผลการฝึกตนก็เพิ่มขึ้นเองแล้ว
ฉะนั้นนึกว่าเป็นเช่นนี้ แล้วไยจึงต้องพยายามอีกด้วยเล่า?
ดังนั้นปล่อยให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปก็ไม่เป็นไร
แม้นปัจจุบันเขายังไม่ใช่ผู้ไร้เทียมทานในโลกหล้า ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้การสนับสนุนจากพันธนาการผู้แพ้ ไม่ช้าก็เร็วสุดท้ายเขาก็สามารถบรรลุเป็นผู้ไร้เทียมทานในโลกหล้าได้อยู่ดี
แน่นอนอยู่แล้วว่า เขาก็จำเป็นต้องตามหาศิษย์ผู้แพ้คนที่สองเช่นกัน
อย่างไรเสียหากมีศิษย์ผู้แพ้คนที่สอง ผลการฝึกตนที่ได้รับจากศิษย์ก็จะพุ่งขึ้นถึงหนึ่งหมื่นเท่า ทั้งยังเป็นการสมทบจากศิษย์สองคนด้วย
แต่ว่าตอนนี้ระบบเฮงซวยนั่นก็ไม่ได้แนะแนวอะไรเช่นกัน ดังนั้นจงชิงจึงทำให้เพียงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปโดยธรรมชาติก่อน
แต่สุดท้ายแล้วเขาที่ว่างจนไม่มีเรื่องอะไรให้ทำก็รู้สึกเบื่อจนเจ็บไข่เช่นกัน
จึงลุกขึ้นมาจากเก้าอี้นอน แล้วเดินไปหยิบเบ็ดตกปลาที่ทำมาจากไม้ไผ่มาจากมุมห้อง เขาที่อยู่ในชุดขาวและหมวกหญ้าใบหนึ่งก็เดินออกไปจากห้อง มุ่งหน้าตรงไปยังบ่อน้ำเล็ก ๆ นั่น
บ่อน้ำนี้ก็เป็นสิ่งที่ได้รับมาจากการเช็คอินเช่นกัน
จงชิงรู้อยู่ว่าของที่ได้รับจากการเช็คอินของระบบล้วนไม่ใช่ของธรรมดา กระทั่งปัจจุบัน แม้เขาจะไม่รู้ว่าประสิทธิผลจริง ๆ ของบ่อน้ำนั่นคืออะไร รู้แค่ว่าระบบได้ตั้งชื่อบ่อน้ำบ่อนั้นว่าสมุทรทุกขะ แต่มันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการตกปลาของเขาเช่นกัน
ตลอดช่วงหลายปีที่เขาใช้ชีวิตอยู่บนยอดภูลูกนี้คนเดียว ก่อนหน้านี้ครั้นเขายังไม่มีผลการฝึกตนและไม่มีอะไรให้กิน บ่อน้ำบ่อนี้จึงเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดอาหารของเขา
อย่างไรก็ตาม
ทันทีที่เขาเดินไปถึงริมบ่อนี้ ก็รู้สึกตะลึงอย่างควบคุมไม่ได้
เนื่องจากเขาเห็นว่ามีสตรีที่งดงามดั่งเทพธิดาคนหนึ่งกำลังกระโดดโลดเต้นไปมาอยู่บนบ่อน้ำ
มีรังสีแห่งความสิ้นหวัง ความเจ็บปวดปรากฏบนใบหน้านางอยู่เป็นระยะ ๆ พร้อมทั้งให้กำลังใจตัวเอง ก่อนจะเริ่มบินขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่บนบ่อน้ำ
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้จงชิงที่ยืนมองอยู่ริมฝั่งรู้สึกตลกมากจริง ๆ
แต่จงชิงคุ้นเคยกับเรื่องประเภทนี้ตั้งนานแล้ว
สมุทรทุกขะเป็นสิ่งที่เขาได้รับมาจากการเช็คอินเมื่อสี่ปีก่อน แล้วถูกเขาจัดวางไว้ที่นี่มาโดยตลอด ตลอดช่วงสี่ปีที่ผ่านมานี้ ภูตจิตที่เผลอบุกเข้าไปในสมุทรทุกขะก็มีไม่น้อยเช่นกัน
มีทั้งอสูรสัตว์ปีกธรรมดา และมีอสูรปีกร้ายมณีทิพย์ที่มีผลการฝึกตนเล็กน้อย
หลังจากพวกเขาเผลอบุกเข้าไปในสมุทรทุกขะโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากส่วนหนึ่งที่จมตายอยู่ในบ่อน้ำแล้ว ที่เหลือล้วนวิ่งเพ่นพ่านไปมาอยู่ในขอบเขตของสมุทรทุกขะ จนไม่สามารถหลุดพ้นออกมาจากสมุทรทุกขะได้สักที
อันที่จริงครั้งแรกที่ค้นพบสถานการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ จงชิงก็รู้สึกสงสัยอยู่นานมาก
ซึ่งเขาก็รู้สึกสงสัยมากถึงมากที่สุดจริง ๆ จนเคยเดินลงไปในบ่อน้ำหลายครั้งมาก
ทว่าปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนั้นกลับไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเขา
น้ำในสมุทรทุกขะก็ลึกประมาณหน้าอกเขาเท่านั้น แค่ดำน้ำแล้วว่ายครั้งสองครั้งก็ถืออีกฝั่งหนึ่งของบ่อน้ำแล้ว ต่อให้จะว่ายน้ำไม่เป็นก็เถอะ มากสุดก็แค่ใช้เท้าถีบขอบบ่อน้ำครั้งหนึ่ง ก็สามารถว่ายเป็นอีกฝั่งหนึ่งได้แล้ว
แน่นอนอยู่แล้วว่าจงชิงก็ทราบเช่นกันว่าอย่างไรเสียตัวเองก็เป็นเจ้าของสมุทรทุกขะนี่ ดังนั้นการที่ไม่มีปรากฏการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นกับตัวเองนั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้อยู่
ส่วนครั้งนี้ผู้ที่ตกลงมาในบ่อน้ำบ่อนี้ยังเป็นสตรีนางหนึ่งด้วย จึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้ประสบพบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้จริง ๆ
แต่เขาก็ยังพอมีประสบการณ์อยู่บ้าง
ทั้งยังเตรียมสวิงตักปลาชิ้นหนึ่งไว้ตรงริมบ่อน้ำตั้งนานแล้ว
ซึ่งประโยชน์ของสวิงตักปลาก็คือสามารถช้อนตักศพของอสูรที่ตายอยู่ในบ่อน้ำออกมาได้ทันท่วงที เพื่อลดการปนเปื้อน หากเจออสูรปีกร้ายมณีทิพย์ที่ดูน่ากิน ก็สามารถนำมาเป็นอาหารของเขาได้เช่นกัน
ส่วนสิ่งมีชีวิตที่ทั้งยังไม่ตายและดูไม่น่ากิน เมื่อช้อนตักออกมาแล้วก็สามารถปล่อยพวกมันกลับคืนสู่ธรรมชาติได้เช่นกัน อย่างไรเสียขณะที่เขาตกปลา อสูรปีกร้ายมณีทิพย์ที่เผลอบุกเข้ามาในสมุทรทุกขะจะวิ่งเพ่นพ่านไปมา ซึ่งเป็นอะไรที่น่ารำคาญมาก
เพราะฉะนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับสตรีนางนั้น เขาก็ปฏิบัติเหมือนครั้งก่อน ๆ เช่นกัน ใช้สวิงตักปลาเล็งเป้าหมาย แล้วโยนไปครอบตัวนางเอาไว้
สมุทรทุกขะในวินาทีนี้
ซูเวิ่นจิ่วใกล้จะอกแตกตายแล้วจริง ๆ
นางรู้สึกภาคภูมิใจกับผลการฝึกตนของตัวเองมาก ๆ ทว่าหลังจากที่เผลอเข้ามาในสมุทรทุกขะแล้ว นางก็รู้สึกไร้พลังทำอะไรไม่ได้เลย
ไม่ว่านางจะบินอย่างทุ่มสุดชีวิต หรือระเบิดสมุทรทุกขะอย่างบ้าคลั่ง ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
ในขณะที่นางกำลังอยู่ในขอบเขตของความสิ้นหวังอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีแหขนาดใหญ่ปรากฏเหนือศีรษะนาง?
จึงมีคลื่นลูกใหญ่ปรากฏในใจซูเวิ่นจิ่วทันที
ในทะเลดำที่กว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขตนี่ มีแหขนาดใหญ่ปรากฏเหนือนภาได้ด้วยอย่างนั้นหรือ?!
นางจึงอยากหลบเลี่ยงแหนั่นโดยสัญชาตญาณ
แต่กลับค้นพบว่าแหกลับครอบคลุมโลกทั้งใบในวิสัยทัศน์ของนาง นางแทบจะไม่มีแรงที่สามารถต่อต้านได้เลยแม้แต่น้อย ก็ถูกครอบไว้ในแหแล้ว
วินาทีต่อไป
นางก็สัมผัสได้ว่ามีพลังเต๋าที่มากมายมหาศาลสะท้อนมาจากแห ก่อนจะกระชากตัวนางไปยังทิศทางหนึ่ง
การกระทั่งในครั้งนี้ทำให้นางรู้สึกเหมือนร่างกายของตัวเองก้าวข้ามผ่านมิติกาลเวลา ก้าวข้ามผ่านหนึ่งทางช้างเผือก รู้สึกวิงเวียนศีรษะ หัวสมองว่างเปล่าไปหมด
อย่างไรก็ตามในขณะที่นางกำลังรู้สึกวิงเวียนศีรษะอยู่นั้น กลับมีเสียงที่อ่อนโยนสะท้อนมาจากข้าง ๆ
“แม่นาง”
ซูเวิ่นจิ่วสะดุ้ง ลืมตาขึ้นมา แล้วค้นพบว่ามีชายหนุ่มชุดขาวหมวกหญ้าคนหนึ่งปรากฏข้างกายตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
หน้าตาของชายหนุ่มยังดูหนุ่ม ภายนอกดูอ่อนโยนและสุภาพมาก มือถือเบ็ดตกปลาที่ทำมาจากไม้ไผ่ ตรงหัวไหล่ยังมีหิมะติดอยู่ด้วย แล้วกำลังมองมาทางตัวเอง
เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ณ เสี้ยววินาทีที่เห็นชายหนุ่มคนดังกล่าว ซูเวิ่นจิ่วก็ตกใจจนสะดุ้ง ก่อนจะถอยหลังกลับไปโดยสัญชาตญาณ
หลังจากก้าวถอยหลังกลับไปสองก้าว ก็ถอยไปถึงริมสมุทรทุกขะอีกครั้ง
นางหันหน้ากลับไปมอง มองดูบ่อน้ำสีดำที่มีความกว้างและความยาวไม่ถึงเจ็ดเมตรนั่น ถึงจะสังเกตเห็นว่าตัวเองหลุดพ้นออกมาจากพื้นที่ของทะเลดำที่ไร้ขอบเขตนั่นแล้ว
“ข้า ข้าออกมาได้แล้วอย่างนั้นหรือ!!!”
ซูเวิ่นจิ่วทั้งตะลึงทั้งดีใจ น้ำตาแทบจะทะลักออกมาจากเบ้าตา
ในขณะที่กำลังรู้สึกตื่นเต้นหวั่นไหวอยู่นั้น นางก็นำสายตาจับจ้องไปทางชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าอีกครั้ง
