บท
ตั้งค่า

บทที่ 10 บ่อน้ำไร้ทางออก 

“เหตุใดยอดภูลูกนี้จึงไม่มีคนเลย เงียบเหงาเช่นนี้เลยรึ?”

“ทว่าทิวทัศน์กลับไม่แย่เลย”

หลังจากร่วงลงบนพื้น ซูเวิ่นจิ่วก็กวาดมองบริเวณรอบ ๆ

นางไม่ได้รีบร้อนต่อเรื่องรับศิษย์เท่าไหร่นัก อย่างไรเสียหลินเฟิงก็กลับมาถึงที่นี่แล้ว เขาจะหนีไปที่ใดได้อีกหรือ 

สำรวจสภาพแวดล้อมบริเวณรอบ ๆ ก่อน หลังจากสังเกตดูเบาะแสร่องรอยต่าง ๆ แล้ว นางก็พอจะเข้าใจอาจารย์ของหลินเฟิงขั้นต้นแล้วล่ะ 

อาทิเช่นคาดเดาอุปนิสัยของเจ้าของยอดภูลูกนี้ด้วยการจัดวางเค้าโครงต่าง ๆ

หรือประเมินศักยภาพของเจ้าของยอดภูด้วยการจัดวางค่ายกลบางอย่าง

ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้การเจรจาที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าราบรื่นมากยิ่งขึ้น

และทุกอย่างก็เป็นเพราะนางให้ความสำคัญกับหลินเฟิงมากจริง ๆ 

มิเช่นนั้นละก็ คนทั่วไปจะสามารถทำให้นางมาเยือนด้วยตนเองได้อย่างไร แค่โยนผลประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ฝ่ายตรงข้ามก็พอ เพราะอย่างไรแล้วสุดท้ายฝั่งตรงข้ามก็ต้องยกศิษย์คนนั้นให้นางอยู่ดี

“นอกจากทิวทัศน์แล้ว ดูเหมือนที่นี่จะไม่มีอะไรเลย”

หลังจากสังเกตดูอย่างเรื่อยเปื่อยรอบหนึ่ง ซูเวิ่นจิ่วก็อดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำ “เจ้าของยอดภูลูกนี้ก็น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเช่นกัน ไม่มีอะไรพิเศษ”

“ช่างเถอะ เช่นนั้นก็เปิดประเด็นกับเขาตรง ๆ เลยแล้วกัน”

“หากทุกอย่างไม่ราบรื่นจริง ๆ เมื่อเผชิญหน้ากับศิษย์อัจฉริยะเช่นนั้น บางทีก็อาจต้องใช้กำลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็เป็นได้”

ซูเวิ่นจิ่วตัดสินใจได้แล้ว ในขณะที่นางกำลังจะเปิดห้วงจิตเพื่อตามหาตำแหน่งของจงชิงอยู่นั้น อย่างไรก็ตามวินาทีต่อไปกลับมีของสิ่งหนึ่งดึงดูดความสนใจของนางไปโดยสมบูรณ์

นั่นคือบ่อน้ำเล็ก ๆ บ่อหนึ่งที่มีความกว้างความยาวไม่เกินเจ็ดเมตร

มีหิมะที่หนาทึบกองอยู่ริมบ่อ

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าน้ำในบ่อน้ำขุ่นหรืออะไร เพราะมันดำขลับ ลึกจนมองไม่เห็นก้นบ่อ

ส่วนตรงกลางของบ่อน้ำสีดำขลับมีดอกบัวสีขาวโพลนลอยอยู่หนึ่งดอก

กลีบดอกบัวมีทั้งหมดเก้ากลีบ เมื่อลอยอยู่บนบ่อน้ำสีดำขลับ จึงขับให้มันดูเหมือนพระจันทร์ที่สุกสกาวในวันขึ้น 15 ค่ำ 

และสายตาของซูเวิ่นจิ่วก็ถูกดอกบัวสีขาวนั่นดึงดูดไปโดยสมบูรณ์เลย

ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ แต่กลับมีดอกบัวสีขาวดอกหนึ่งบานสะพรั่งกลางบ่อน้ำ นี่จึงถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกประหลาดเลย

และตัวดอกบัวก็ไม่มีออร่าแปลกประหลาดอะไรเช่นกัน เหมือนพืชธรรมดา ๆ ต้นหนึ่ง

แต่มาตรแม้นว่าเป็นเช่นนี้ มันก็ยังทำให้ซูเวิ่นจิ่วชื่นชอบตั้งแต่แวบแรกที่เห็นอยู่ดี อยากเด็ดมันลงมาอย่างควบคุมไม่ได้

นางเดินตรงไปริมบ่อน้ำอย่างควบคุมไม่ได้ มีชี่เสวียนที่หนาแน่นห่อหุ้มอยู่บนมือทั้งสองข้าง แล้วก้าวลงไปยืนบนผิวน้ำโดยตรง 

เมื่อปลายเท้านางสัมผัสกับผิวน้ำ ก็มีระลอกคลื่นสั่นกระเพื่อมบนบ่อน้ำสีดำขลับทันที 

ก่อนที่นางจะค่อย ๆ ก้าวเดินเข้าไปใกล้ดอกบัวดอกนั้น

อย่างไรก็ตาม

หลังจากนางก้าวเดินไปข้างหน้าได้ห้าหกก้าว นางก็สัมผัสได้ถึงความไม่ค่อยปกติ

ทั้งบ่อน้ำกว้างและยาวไม่ถึงเจ็ดเมตร จากริมบ่อน้ำถึงใจกลางบ่อยิ่งยาวแค่สามเมตรกว่า ระยะห่างสามเมตรกว่า ต่อให้เป็นเด็กคนหนึ่งแต่ก้าวแค่สิบก้าวก็สามารถก้าวไปถึงแล้ว

อย่างไรก็ตามเมื่อครู่นางก้าวเดินไปข้างหน้าได้ห้าหกก้าว แต่กลับไม่สามารถเข้าใกล้ดอกบัวได้เลย ในทางตรงกันข้าม วินาทีนี้ระยะห่างระหว่างนางและดอกบัวไม่ต่างอะไรจากตอนแรกที่ยืนอยู่บนฝั่งเลย 

“หื้ม?”

ซูเวิ่นจิ่วขมวดคิ้วลงเล็กน้อย 

นางจึงเลือกที่จะย่ำลงลงบนผิวน้ำเบา ๆ จากนั้นตัวนางก็ลอยขึ้นฟ้า แล้วพุ่งตรงไปทางดอกบัวดอกนั้น 

อย่างไรก็ตาม 

เมื่อฝ่าเท้าของนางร่วงลงบนผิวน้ำอีกครั้ง กลับสังเกตเห็นว่าระยะห่างระหว่างตัวเองและดอกบัวยังคงเป็นเหมือนเดิม

ทว่านางยังไม่ทันได้รู้สึกตะลึง จู่ ๆ กลับค้นพบว่าตัวเองมองไม่เห็นฝั่งตรงข้ามของบ่อน้ำแล้วอย่างนั้นหรือ?

ก่อนจะใช้สายตากวาดมองบริเวณรอบ ๆ ไม่เพียงฝั่งตรงข้ามเท่านั้น ริมฝั่งที่อยู่ด้านหลังตัวเอง รวมไปถึงริมฝั่งทั้งสองข้างก็หายไปแล้ว 

นอกเหนือจากดอกบัวสีขาวที่มองเห็นแต่กลับเข้าใกล้ไม่ได้แล้ว น้ำสีดำยิ่งเหมือนมหาสมุทรที่กว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขต ประหนึ่งกำลังยืนอยู่บนผิวน้ำทะเล 

“ภาพมายาหรือ?”

“น่าสนใจดีแฮะ”

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ซูเวิ่นจิ่วจึงกระตุกยิ้มมุมปากอย่างทะเล้น 

“รอดูแล้วกันว่าข้าจักทลายภาพมายานี่ของเจ้าอย่างไร”

ซูเวิ่นจิ่วไม่ได้รู้สึกลนลานแต่อย่างใด ตัดสินใจนั่งขัดสมาธิลงบนผิวน้ำเสียเลย แล้วเข้าสู่สภาวะสงบจิต 

เมื่อเผชิญหน้ากับภาพมายาทั่วไป โดยส่วนใหญ่แล้วขอแค่สภาพจิตใจไม่ได้รับผลกระทบ จิตใจแน่วแน่ดั่งผิวน้ำ ภาพมายาก็จะแตกสลายไปเองโดยไม่ต้องโจมตี

หลังจากเข้าสู่สภาวะสงบจิตอยู่ครู่หนึ่ง ซูเวิ่นจิ่วก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมาอีกครั้ง 

เดิมทีคิดว่าหลังจากลืมตาขึ้นมาแล้ว ภาพมายาต้องถูกทลายไปแล้วแน่นอน แต่นางกลับค้นพบว่าตัวเองยังคงอยู่บนผิวน้ำสีดำที่กว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนเคย นอกเหนือจากดอกบัวขาวที่โดดเด่นนั่นแล้ว ก็มองไม่เห็นสิ่งอื่นใดอีกเลย 

“ไม่ธรรมดาเลยนี่”

สีหน้าอารมณ์ของซูเวิ่นจิ่วดูจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย 

“ในเมื่อวิธีการอย่างเมื่อครู่นี้ทลายไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงใช้แรงฮึดอย่างเดียวแล้วล่ะ”

ซูเวิ่นจิ่วมั่นใจในศักยภาพของตัวเองมาก ๆ

ถึงแม้นางจะเป็นวัยรุ่น แต่กลับเป็นอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ของหมู่วัยรุ่นแห่งหุบเขาเฉาเซียะ หนึ่งปีก่อน นางก็บรรลุเป็นยอดฝีมือแดนจันทราเสวียนแล้ว 

“เฮือก!”

จากการที่นางตวาดเบา ๆ พลังจิตที่มากล้นก็วนเวียนอยู่กลางฝ่ามือที่ขาวดุจหยกของนาง

จากนั้นนางก็ปล่อยฝ่ามือลงผิวน้ำจนสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน 

“โครม!”

ทันใดนั้นเอง ก็มีคลื่นยักษ์ปรากฏบนผิวน้ำที่นางยืนอยู่กะทันหัน คลื่นยักษ์ม้วนซัดออกไปไกลหลายสิบลี้

ด้วยหนึ่งพลังโจมตีที่ทุ่มสุดกำลังสามารถของแดนจันทราเสวียนของนาง

อย่าว่าแต่บ่อน้ำเล็ก ๆ ที่กว้างยาวไม่เกินเจ็ดเมตรเลย ต่อให้กว้างใหญ่กว่านี้อีกสิบเท่าร้อยเท่า ก็สามารถทำให้น้ำที่อยู่ในบ่อระเหยเป็นไอได้ภายในพริบตาเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นภาพมายาที่แข็งแกร่งมากเพียงใดก็ตาม เมื่อรากฐานถูกทำลาย ภาพมายาก็ไม่อาจคงอยู่ได้อีกต่อไป 

อย่างไรก็ตาม 

ในขณะที่นางกำลังตั้งตารอค่ายกลถูกทลายด้วยความมั่นใจอยู่นั้น กลับสังเกตเห็นว่าเวลาผ่านไปนานมากแล้ว 

ยิ่งกว่านั้นคือผลที่เกิดจากการโจมตีในเมื่อครู่นี้ของนางก็กลับมาเงียบสงบแล้ว ยังไม่สามารถทลายค่ายได้เหมือนเคย!

บริเวณรอบ ๆ ยังคงเป็นผิวน้ำสีดำขลับที่กว้างใหญ่ไพศาลเหมือนเคย 

“ว่าอย่างไรนะ?”

“ไม่สามารถทลายค่ายได้อย่างนั้นหรือ?”

ซูเวิ่นจิ่วขมวดคิ้วแน่นเป็นปม ไม่ได้ติดเล่นเหมือนเมื่อครู่นี้อีกต่อไปแล้ว 

นางนำสายตาจับจ้องไปทางวัตถุเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ข้างหน้า ดอกบัวขาวดอกนั้น 

“ข้าไม่เชื่อหรอก”

นางที่กำลังยืนอยู่บนผิวน้ำลอยขึ้นฟ้าโดยตรง ระเบิดความเร็วทั้งหมดของแดนจันทราเสวียนออกมา บินตรงไปทางดอกบัวขาวนั่น

ตะวันขึ้น ตะวันลับขอบฟ้าไป 

เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยไปแล้วสองวัน

ร่างกายที่อ่อนแอของซูเวิ่นจิ่วกำลังยืนอยู่บนผิวน้ำ แม้นใบหน้าที่เรียวบางนั่นยังคงงดงามเหมือนเคย แต่กลับยากที่จะปิดบังความเหนื่อยล้าและความซึมเซาบนใบหน้า 

และดูไม่สุขุมเหมือนสองวันก่อนแล้วด้วย 

สิ่งที่เข้ามาทดแทนคือรัศมีแห่งความลนลานที่กระพริบผ่านไปในแววตาอยู่เป็นระยะ ๆ 

เนื่องจากนางใช้ความเร็วที่รวดเร็วที่สุดของตัวเอง บินตรงไปยังทิศทางของดอกบัวขาวนั่นมาสองวันแล้ว แต่ก็ไม่สามารถก้าวเดินออกไปจากบ่อน้ำเล็ก ๆ บ่อนี้ได้อยู่ดี

และสัมผัสดอกบัวขาวนั่นไม่ได้เช่นกัน ในวิสัยทัศน์ของนาง ระยะห่างระหว่างดอกบัวและนางห่างกันแค่สามเมตรกว่ามาโดยตลอด 

“นี่คือภาพมายาอะไรกันแน่!”

ซูเวิ่นจิ่วกัดฟันแน่น 

ความรู้สึกไร้พลังที่เกิดจากความจนปัญญาผุดขึ้นมาในใจ ทำให้นางเริ่มรู้สึกกังวลโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ยิ่งกว่านั้นคือนางเคยพยายามใช้ม้วนไผ่หยกขอความช่วยเหลือจากสำนักแล้ว แต่ก็ไม่มีข่าวคราวอะไรเหมือนเคย

และในเวลานี้เอง จู่ ๆ นางสัมผัสได้ว่าน้ำที่อยู่ใต้เท้าผิดแปลกไป

นางจึงกระโดดลอยขึ้นฟ้าโดยสัญชาตญาณ

หลังจากนางลอยขึ้นฟ้าสามพันกว่าเมตรแล้วก้มลงมามองบนผิวน้ำ ก็ต้องเบิกตากวางทันที

เนื่องจากมีสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่โตมโหฬารตัวหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในบ่อน้ำ

ซึ่งยาวสามหมื่นกว่าเมตรเลย

ตัวของมันคือสีแดงล้วน สภาพเลือนลางไม่ชัดเจน เหมือนมังกรและมังกรคะนองน้ำ กำลังว่ายเวียนอยู่ในน้ำช้า ๆ

ขณะที่มันเคลื่อนไหว ผิวน้ำก็ค่อย ๆ แยกตัวออกจากกัน จนเผยให้เห็นสันหลังที่โผล่ออกมาจากผิวน้ำ เมื่อดูจากด้านบน ก็เหมือนเทือกเขายาวเชื่อมต่อกันยาวหลายสิบลี้

และสิ่งที่ทำให้ซูเวิ่นจิ่วรู้สึกหวาดผวาที่สุดไม่ใช่ร่างกายที่ใหญ่โตมโหฬารของมัน

สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกหวาดผวาอย่างแท้จริงคือออร่าที่ปลดปล่อยออกมาจากสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่นั่น

ออร่าไม่ได้มุ่งเป้ามาที่นาง เป็นเพียงออร่าเสี้ยวหนึ่งที่ถูกปลดปล่อยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ 

และเป็นเพราะออร่าเสี้ยวนั้นที่ถูกปลดปล่อยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจนี่แหละ ถึงได้ทำให้ซูเวิ่นจิ่วรู้สึกขนหัวลุกซู่ นางมั่นใจมากว่ามันแค่พ่นลมปากออกมา วิญญาณนางก็สามารถดับสลายสูญสิ้นได้แล้ว 

ในขณะเดียวกัน ดูเหมือนนางก็นึกความเป็นไปได้หนึ่งที่น่าสยดสยองอย่างยิ่งได้เช่นกัน……  

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel