บทที่ 9 อาวุธระดับแปดกาก ๆ ก็กล้าเอามาหลอกล่อ?
สตรีดังกล่าวก็กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในเขาลูกนี้เช่นกัน
ด้วยผลการฝึกตนของนาง ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในเขตพื้นที่โดยรอบนับสิบลี้ล้วนอยู่ภายใต้กระแสสัมผัสของนาง
ครั้นหลินเฟิงสังหารอสูรมาร ก็ดึงดูดความสนใจของนางได้แล้ว
แต่นางก็แค่เหล่ตามองดูเพียงแวบเดียวเท่านั้น
ชายหนุ่มแดนหลังฟ้าคนหนึ่งยังไม่คุ้มกับการทำให้นางรู้สึกหวั่นไหวได้จริง ๆ
แต่เมื่อนางสังเกตเห็นว่าหลินเฟิงใช้เวลาสั้น ๆ เพียงวันสองวัน ก็บรรลุจากหลังฟ้าขั้นเจ็ดถึงแดนก่อนฟ้าโดยตรง นางก็ไม่สามารถใจเย็นได้อีกต่อไปแล้ว
นี่หมายความว่าอย่างไร?
นี่เป็นเส้นทางที่ผู้มีพรสวรรค์สีขาวใช้เวลาทั้งชีวิต ก็ไม่อาจบรรลุขึ้นมาถึงแดนระดับนี้ได้
ศิษย์ผู้มีพรสวรรค์สีฟ้าที่เป็นแกนสำคัญของกองสำนักใหญ่ทั้งหลาย ก็ต้องใช้เวลาสิบปีเช่นกัน ถึงจะสามารถบรรลุขึ้นมาถึงแดนระดับนี้ได้
และต่อให้เป็นผู้มีพรสวรรค์สีม่วงอย่างนาง เป็นบุตรผู้ภาคภูมิของสวรรค์ที่การบำเพ็ญเพียรก้าวหน้ารวดเร็วมาก ก็ไม่มีทางทลายถึงแดนก่อนฟ้าได้ในระยะเวลาหนึ่งถึงสองปีเช่นกัน
แต่การบรรลุของชายหนุ่มคนนั้นกลับง่ายเหมือนการดื่มน้ำกินข้าว
แล้วจะทำให้นางใจเย็นต่อไปได้อย่างไร?
วินาทีนี้นางที่ไม่เคยมีความคิดที่จะรับศิษย์มาก่อนก็รู้สึกหวั่นไหวโดยสิ้นเชิงแล้วจริง ๆ
นางไม่พูดพร่ำทำเพลง ก้าวเดินบนกลางอากาศที่ว่างเปล่าเพียงหนึ่งก้าว ก็ก้าวข้ามผ่านพื้นที่สามสิบกว่าเมตร ก่อนจะมาถึงข้างกายหลินเฟิงอย่างรวดเร็ว
หลินเฟิงที่เพิ่งบรรลุถึงแดนก่อนฟ้ากำลังเตรียมตัวจะปฏิบัติตามคำสั่งของท่านเจี้ยน ไปหาอสูรมารระดับก่อนฟ้าตัวหนึ่งเพื่อทำให้ผลการฝึกตนของตัวเองมั่นคงก่อน กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะมีสตรีนางหนึ่งปรากฏตรงหน้าเขากะทันหัน
ชุดขาวบนตัวสตรีขาวดุจหิมะ โฉมหน้าของนางยิ่งงดงามมาก
แต่ในแววตาของหลินเฟิงกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความระแวดระวัง
เนื่องจากสตรีกำลังมองหน้าเขาด้วยแววตาที่ร้อนผ่าวมาก
“ไม่ทราบว่าเจ้าคือผู้ใดรึ?”หลินเฟิงถามอย่างระมัดระวัง
“หนุ่มน้อย ข้าขอแนะนำตัวเองก่อน ข้าคือซูเวิ่นจิ่วจากแดนศักดิ์สิทธิ์หุบเขาเฉาเซียะแห่งด้าวบูรพา มาที่นี่เพียงเพราะจะถามเจ้าว่า เจ้ายินดีกราบไหว้ข้าเป็นอาจารย์หรือไม่?”
สตรีชุดขาวยืนอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่า ชุดสีขาวโบกสะบัดไปพร้อมกับสายลม มองหลินเฟิงลงมาจากที่สูงพลางถาม
“กราบไหว้เป็นอาจารย์?”
หลินเฟิงงุนงง หลังจากตอบสนองกลับมาได้ จึงรีบปฏิเสธ “ขออภัยด้วยผู้อาวุโส ข้ามีอาจารย์แล้วขอรับ”
“มีอาจารย์แล้ว?”
ซูเวิ่นจิ่วขมวดคิ้วลงอย่างอดไม่ได้ นึกไม่ถึงเลยว่าอัจฉริยะแหกกฎสวรรค์เช่นนี้จะมีอาจารย์แล้วอย่างนั้นหรือ?
“แล้วไม่ทราบว่าอาจารย์เจ้าอยู่ที่ใดหรือ?”ซูเวิ่นจิ่วถามอย่างไม่ตายใจ
“ข้าและอาจารย์ข้าพักอยู่ในสำนักเซียนเจียงที่อยู่ห่างไกลออกไปนับร้อยลี้น่ะขอรับ”
“สำนักเซียนเจียง?”
ซูเวิ่นจิ่วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เดิมทีนางคิดว่าอาจารย์ของหลินเฟิงคือคนใหญ่คนโตที่สุดยอดมาก ๆ แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะกำเนิดจากสำนักเซียนเจียงหรือ?
เท่าที่นางทราบ ทั้งด้าวบูรพา สำนักเซียนเจียงถือเป็นเพียงกองกำลังขั้นสองหรือเปล่า
ในกองกำลังขั้นสองเล็ก ๆ มาตรแม้นว่าเป็นจ้าวแห่งสำนัก ก็ไม่เข้าตานางเช่นกัน ด้วยบุญบารมีใดถึงได้มีศิษย์ที่แหกกฎสวรรค์เช่นนี้?
มีเพียงนางที่กำเนิดจากแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติคู่ควรกับศิษย์เช่นนี้
“เจ้าหนู สำนักเซียนเจียงที่อยู่ในด้าวบูรพาเป็นเพียงสำลักขั้นสองเล็ก ๆ ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า เจ้าควรมีอนาคตที่ดีกว่านี้ แต่ไม่ใช่ถูกพันธนาการอยู่ในสำนักขั้นสอง”
ซูเวิ่นจิ่วยื่นข้อเสนอโดยตรงเลย “หุบเขาเฉาเซียะของข้าคือหนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งด้าวบูรพา ขอแค่เจ้าเต็มใจ ข้าก็สามารถพาเจ้าไปตั้งแต่บัดนี้เลย”
“ขออภัยด้วยขอรับ ข้าไม่สนใจเข้าร่วมหุบเขาเฉาเซียะ”
หลินเฟิงตอบปฏิเสธโดยตรงอีกครั้ง
เมื่อซูเวิ่นจิ่วเห็นว่าชายหนุ่มไม่มีวี่แววที่จะเปลี่ยนใจเลย นางจึงพูดอย่างรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย “เจ้าไม่ทราบพลังของแดนศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ หรือ?”
“ทราบขอรับ”
สำหรับความรู้เหล่านี้ ท่านเจี้ยนเคยปูพื้นฐานให้เขาตั้งนานแล้ว
“ในเมื่อทราบแล้วเจ้ายังปฏิเสธอีก……”
ซูเวิ่นจิ่วขมวดคิ้วพลางมองหน้าหลินเฟิง ก่อนจะพูดอย่างไม่ตายใจว่า “ขอแค่เจ้ายินดีเป็นศิษย์ของข้า ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรการบำเพ็ญเพียร วรยุทธระดับสูง อาวุธภัณฑ์เศษณ์ขลัง เจ้าก็สามารถเลือกเองได้เต็มที่เลย”
ดูเหมือนแค่คำพูดอย่างเดียวยังไม่สามารถทำให้หลินเฟิงเชื่อใจได้
ในขณะที่พูดอยู่นั้น นางจึงชักกระบี่ยาวสีแดงฉานเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ
เมื่อนางใช้มือกวัดแกว่งไปมา ปราณกระบี่ที่ยาวเหยียดจึงตัดสลับไปมา มีแสงไฟพุ่งขึ้นกลางอากาศ แสงกระบี่ที่แวววาวจับตาโดดเด่นอย่างยิ่ง
เมื่ออยู่ภายใต้การตวัดของนาง ผนังหน้าผาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลจึงถูกนางฟาดฟันจนแหว่งไปครึ่งหนึ่ง
พลานุภาพเกะกะระรานจนน่ากลัว!
เก็บกระบี่ยาวกลับเข้าที่ ซูเวิ่นจิ่วใช้มือลูบไล้กระบี่เบา ๆ พลางกระตุกยิ้มมุมปากพลางพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “สิ่งนี้คือกระบี่ระบำเพลิง เครื่องภัณฑ์ศัสตราวุธระดับแปด ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่นักกลั่นอาวุธอันดับหนึ่งแห่งหุบเขาเฉาเซียะของข้า”
“ขอแค่เจ้าพยักหน้า ข้าก็สามารถมอบระบำเพลิงเล่มนี้ให้เจ้าได้เลย”
หลังจากพูดจบ นางก็เงยหน้ามองไปทางหลินเฟิงใหม่อีกครั้ง
ในภาพจินตนาการของนาง หลินเฟิงต้องรู้สึกตะลึงงันต่อประสิทธิผลของกระบี่ระบำเพลิงจนละสายตาไม่ได้แน่นอน
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าสมบัติระดับแปดเป็นสมบัติที่หายากมากจริง ๆ ถึงแม้พรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของหลินเฟิงจักล้ำเลิศมาก แต่ด้วยช่วงวัยและศักยภาพ โลกทัศน์และประสบการณ์ของเขาจะกว้างขวางมากเพียงใดกันเล่า
อย่างไรก็ตาม
ใบหน้าของหลินเฟิงกลับไร้อารมณ์
ยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่ได้ชายตาลงไปมองกระบี่ระบำเพลิงที่อยู่ในมือนางด้วยซ้ำ
“ผู้อาวุโสหญิง ข้าบอกไปตั้งนานแล้วว่าข้ามีอาจารย์แล้ว ฉะนั้นท่านไม่ต้องพูดให้มากกว่าหรอก ข้าไม่มีทางตอบตกลงหรอกขอรับ”
หลินเฟิงปฏิเสธด้วยสีหน้าที่เข้มงวด
อย่าว่าแต่แดนศักดิ์สิทธิ์เล็ก ๆ แห่งหนึ่งในด้าวบูรพาเลย มาตรแม้นว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของทวีปแห่งนี้แล้วอย่างไร?
ของที่มอบให้เขาสามารถเทียบเคียงกับของที่จงชิงให้เขาได้หรือไม่?
แน่นอนอยู่แล้วว่า
ต่อให้คนดังกล่าวจะสามารถมอบสิ่งของที่ล้ำค่ากว่าของของจงชิงจริง ๆ หลินเฟิงก็ไม่มีทางตกลงเช่นกัน
ปัจจุบันเขาแค่ยอมรับจงชิงเป็นอาจารย์!
และในแหวนไร้ขาร ท่านเจี้ยนก็หัวเสียจนแทบจะหลุดหัวเราะออกมาเลย
นี่มันยุคสมัยใดแล้ว ยังกล้าใช้กระบี่ระดับแปดกาก ๆ มาหลอกล่อผู้อื่นอีกหรือ
ในสายตาของท่านผู้นั้นในภูอาสน์มู่ กระบี่ระดับแปดกาก ๆ อาจไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้มาก่อไฟได้ด้วยซ้ำ
สามารถพูดได้อย่างไม่เกินจริงเลยว่า แค่ขี้เล็บของจงชิงยังมีมูลค่ามากกว่าของทั้งหมดที่แดนศักดิ์สิทธิ์นั่นจะมอบให้หลินเฟิงเลย
มองดูหลินเฟิงที่พูดจบแล้วจากไป ซูเวิ่นจิ่วที่กุมกระบี่ระบำเพลิงไว้ในมือยืนผงะอยู่กับที่อย่างควบคุมไม่ได้
ไฟโกรธได้ลุกลามไปทั่วอก
นึกไม่ถึงเลยว่านางจะถูกเจ้าหมอนั่นมองข้าม
ทว่าในฐานะที่เห็นแก่พรสวรรค์ของหลินเฟิง นางจึงพยายามระงับไฟโกรธในใจลงไป
“คาดว่าเจ้าหมอนั่นน่าจะไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน ไม่รู้ว่าช่วงระยะความต่างของแดนศักดิ์สิทธิ์หนึ่งและสำนักขั้นสองมีความหมายว่าอย่างไร”
“อีกทั้งฟังจากคำพูดของเจ้าหมอนั่น เหมือนจะเคารพอาจารย์มาก ๆ”
“แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีเช่นกัน คุณลักษณะถือว่ายังไม่เลว”
“ในเมื่อจัดการเจ้าหมอนั่นไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็จะไปจัดการอาจารย์เจ้าโดยตรงเลย”
ในมุมมองของซูเวิ่นจิ่ว ฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงสำนักขั้นสองเท่านั้น แม้นหลินเฟิงจะเป็นศิษย์คนสนิทของเจ้าสำนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นตาตื่นใจอะไร
นางจะไปเยือนสำนักเซียนเจียงด้วยตนเอง ใช้อารมณ์เอาชนะใจผู้อื่น ใช้เหตุผลทำให้ผู้อื่นเข้าใจ แล้วค่อยมอบผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ให้ฝ่ายตรงข้าม เช่นนั้นการที่จะดึงตัวศิษย์คนนั้นมาน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก
ขอแค่อาจารย์ของหลินเฟิงคิดเผื่อหลินเฟิง เขาก็น่าจะทราบเช่นกันว่า แท้จริงแล้วการที่ให้หลินเฟิงเป็นศิษย์ของนางนั้น ถือเป็นเรื่องดีสำหรับหลินเฟิง
เมื่ออยู่ภายใต้การชี้แนะสั่งสอนของนาง รวมไปถึงทรัพยากรของหุบเขาเฉาเซียะ อนาคตของหลินเฟิงต้องเดินได้ไกลกว่านี้แน่นอน
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ นางจึงสลัดความโกรธทิ้งชั่วคราว แล้วเดินตามอยู่ด้านหลังหลินเฟิง โดยรักษาระยะห่างให้ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป
หลังจากหลินเฟิงจากไป เขาก็ออกตามหาอสูรมารแดนก่อนฟ้าในป่าเขาสองสามตัว แล้วเริ่มต่อสู้กับพวกมัน
หลังจากผ่านการต่อสู้มาสองสามยก ผลการฝึกตนที่เพิ่งบรรลุก็แข็งขันอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกันเขาก็ได้รับประสบการณ์การต่อสู้มาไม่น้อยเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าการเดินทางในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี หลินเฟิงจึงไม่เสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อ ก่อนจะเร่งเดินทางกลับไปยังภูอาสน์มู่
ระยะห่างร้อยลี้
สำหรับหลินเฟิงในปัจจุบันแล้ว ระยะทางแค่นี้ถือว่าไม่ค่อยไกลแล้ว
ไม่นานนัก หลินเฟิงก็กลับมาถึงภูอาสน์มู่
ส่วนนภานอกภูอาสน์มู่ ซูเวิ่นจิ่วกำลังยืนอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่า แล้วกราดมองทั้งภูอาสน์มู่
“ที่นี่ก็คือสถานที่อยู่ของอาจารย์เจ้าหมอนั่นหรือ?”
เมื่อพูดจบ นางก็ย่ำเท้าลงกลางอากาศที่ว่างเปล่าครั้งหนึ่ง
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง นางก็ปรากฏบนภูอาสน์มู่แล้ว
