5. ความเป็นมาน่าเศร้า
รังสิมันตุ์ เดินลงบันไดไปยังห้องใต้ดิน แสงสลัวของไฟดวงเล็ก ๆ ที่ติดอยู่ผนังทั้งสองฝั่งทำให้เห็นร่างของเขาดูเป็นเงาที่คลื่อนไหวไปข้างหน้า
เขามาหยุดยืนอยู่หน้าห้องหนังสือที่อยู่ติดกับห้องเขียนภาพของถนอมจิต เขาเห็นน้ำฝน กับน้อยหน่า สาวใช้ประจำคฤหาสน์ยืนถือถาดเครื่องดื่มอยู่หน้าห้อง ทั้งสองคนยืนเบียดกันจนชิด และทำท่าทางละล้าละลังที่จะเข้าไปในห้อง
“เธอเดินเข้าไปก่อนสิ…”
น้ำฝน ใช้สะโพกกระแซะน้อยหน่าเบา ๆ ด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“แกสิไปก่อน ป้าพิศใช้แกคนเดียว ฉันมีหน้าที่คอยรับใช้คุณหนูดานะไม่ใช่คุณถนอมจิต แต่นี่ฉันมาเป็นเพื่อนแกเพราะพี่สายใจ ลาป่วยหรอกนะ”
น้อยหน่า บอกและไม่ยอมเดินนำหน้า
“งั้นเดินไปพร้อม ๆ กัน”
น้ำฝน ว่าและพยักหน้าให้อีกฝ่ายเตรียมพร้อม
“ไม่เอา แกนำหน้า ฉันกลัว”
น้อยหน่า สารภาพเสียงสั่นสายตากวาดมองรอบตัว
“แกกลัวอะไร” น้ำฝนถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ
“กลัวทั้งหมดในคฤหาสน์นี้แหละ โดยเฉพาะห้องใต้ดินเนี่ย”
“แสดงว่าแกไม่กลัวคุณถนอมจิต งั้นก็เดินนำหน้าไปสิ” น้ำฝน รุนหลังน้อยหน่า
“ใครบอก! นั่นล่ะที่ฉันกลัวมากที่สุดเลย ถ้าเป็นช่วงกลางวันพอไหวแต่มืดค่ำแบบนี้ฉันหัวใจจะวาย”
“เออน่า…แกก็ระงับความกลัวไว้หน่อย ดูสิมือไม้สั่นยังกะผีเข้า” น้ำฝนว่า
“อย่าพูดเรื่องผี ๆ ได้ไหม คนยิ่งกลัว ๆ อยู่”
รังสิมันตุ์ ยืนส่ายหัวยิ้ม ๆ อยู่มุมมืดมองดูพฤติกรรมของสาวใช้มาใหม่ทั้งสอง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว อย่างเช่นคนรับใช้สองคนที่ลาออกไปก่อนหน้านี้ก็มีอาการแบบนี้ เมื่อต้องเข้าไปรับใช้ถนอมจิต ซึ่งทั้งคู่ก็อยู่ได้ไม่ถึงเดือน แต่สองสาวที่รับเข้ามาใหม่นี้สามารถอยู่มาได้เกินสองเดือนแล้ว ที่เป็นเช่นนั้นอาจจะเป็นเพราะค่าจ้างที่ให้มากกว่าสองคนที่ลาออกไปนั่นก็ได้
ที่ถนอมจิต ยอมจ่ายค่าจ้างมากกว่าคนเก่าที่ลาออกก็เพราะหล่อนขี้เกียจฝึกคนใหม่ ๆ บ่อยครั้งนั่นเอง
“อุ๊ย..ว้าย…”
เสียงของน้ำฝน และน้อยหน่า ร้องขึ้นพร้อมกันอย่างตกใจ ที่จู่ ๆ รังสิมันตุ์ ก็เดินโผล่มาตรงหน้า แต่นั่นเป็นเพราะทั้งคู่มัวแต่กลัวคนที่อยู่ในห้องนั่นเอง จึงไม่คิดว่ายังจะมีคนที่อยู่นอกห้องด้วย
รังสิมันตุ์ ยกนิ้วชี้ชิดปากตัวเองเชิงห้ามไม่ให้ทั้งสองส่งเสียง ด้วยเกรงว่าถนอมจิตจะได้ยิน แต่ช้าไปแล้ว เมื่อถนอมจิตโผล่หน้าออกมาให้เห็น
“ว้าย…”
น้ำฝน กับน้อยหน่า ร้องเสียงหลงอีกรอบอย่างตกใจกับภาพผ้าคลุมหน้าสีดำของถนอมจิต ที่แสงไฟสลัวส่องให้เห็นแววตาดุกร้าวของหล่อนที่จ้องมองสองสาวใช้ตาขมึง
“ขะ…ขอ..ขอโทษค่ะ”
น้ำฝน กล่าวปากคอสั่น ก่อนจะเดินก้มผ่านเข้าไปในห้องและวางแก้วนมสด โดยมีน้อยหน่าเดินตามไปวางแก้วน้ำเปล่า
ถนอมจิต ไม่พูดไม่จาแต่พยักหน้าให้รังสิมันตุ์ตามเข้าไปในห้อง สองสาวใช้จึงรีบกุมมือกันเผ่นออกไปจากห้องทันที
“แม่พวกนี้ขวัญอ่อนกันเหลือเกินจนป่านนี้ยังไม่ชินอีก”
ถนอมจิต ส่ายหัวไปมากล่าวเรียบ ๆ
รังสิมันตุ์ ยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก ความจริงเขาก็เก็บความสงสัยเอาไว้อยู่เหมือนกันว่า ทำไมถนอมจิต ถึงไม่ยอมไปทำศัลยกรรมใบหน้าให้มันดูน่ากลัวน้อยลงกว่านี้ ทั้งที่สมัยนี้วิทยาการความก้าวหน้าทางการแพทย์สามารถที่จะช่วยได้มาก หากถนอมจิตทำศัลยกรรม เขาเชื่อว่าหล่อนจะต้องเป็นผู้หญิงที่ดูสวยมากคนหนึ่ง
“คุณป้าไม่ไปร่วมงานเลี้ยงที่ห้องอาหารหรือครับ”
เขาถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
“สภาพอย่างป้าไปร่วมงานด้วย คงทำให้ทุกคนทานเลี้ยงกันลงหรอกนะ..ดื่มน้ำก่อนสิ”
ถนอมจิต บอกเขา ในขณะที่หล่อนก็ยกแก้วนมสดอุ่นขึ้นดื่ม
“นี่เพิ่งกลับจากทำงานใช่ไหม”
หล่อนเดาจากชุดที่รังสิมันตุ์ใส่
“ครับ..มาถึงผมก็แวะมาหาคุณป้าก่อนเลยครับ”
“ขอบใจ”
“แล้วงานหมั้นน้องดาเป็นไงมั่งครับ”
เขาถามด้วยความอยากรู้ ความจริงแล้วเขาก็อยากจะอยู่เป็นกำลังใจให้กับฉัตรธิดาแต่เขาก็ขัดคำสั่งของฉัตรชัยไม่ได้ที่ให้เขาไปช่วยดูแลงานที่มีปัญหาเข้ามาพอดี
“ก็ผ่านไปด้วยดี...แต่ตอนนี้ยัยดาก็คงจะทนกล้ำกลืนฝืนทานข้าวกับครอบครัวคู่หมั้นอยู่”
“ผมเห็นใจน้องดาครับ..ผมรู้ว่าน้องดาไม่เต็มใจแต่...”
“แต่...ก็ขัดความต้องการลุงของเต้ไม่ได้”
ถนอมจิต มีน้ำเสียงขุ่นมัวเมื่อต้องกล่าวถึงฉัตรชัย
“เอ้อ...” เขามีน้ำเสียงอึกอักไม่กล้าแย้งคำกล่าวนั้น
“ป้ารู้...ยัยดาเป็นผู้หญิงที่ดูโง่เง่า ไม่ได้เรื่องได้ราวไม่ได้ดั่งใจในสายตาของฉัตรชัย กลับจากอเมริกาก็ไม่ได้ปริญญาสักใบ..ให้ช่วยทำงานยัยดา ก็ทำไม่ได้..สู้เต้ ไม่ได้สักอย่าง เรียนก็เก่งได้เกียรตินิยมด้านกฏหมาย พอเต้ ไปเรียนต่อปริญญาโทที่เมืองนอกก็ได้ตั้งสองใบทั้งด้านกฏหมาย ทั้งด้านบริหาร..ฉัตรชัย เขาถึงภาคภูมิใจแล้วก็ไว้วางใจให้เต้ บริหารงานที่แฮปปี้เวิร์ล ไงล่ะ”
ถนอมจิต พูดด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ หล่อนอยากจะให้ฉัตรชัย รัก และภูมิใจในตัวของฉัตรธิดา มากกว่ารังสิมันตุ์ ที่เป็นเพียงบุตรชายบุญธรรม แต่รังสิมันตุ์ ก็ทำให้ฉัตรชัย พอใจได้มากกว่าเสมอเพราะเขาเป็นเด็กหัวดี เรียนหนังสือก็เก่ง สามารถช่วยงานฉัตรชัย ได้ทุกอย่าง
ต่างจากฉัตรธิดาที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กไม่เคยได้รับความรักและความเอาใจใส่จากฉัตรชัยแม้แต่น้อย หากฉัตรธิดาไม่มีถนอมจิตคอยดูแลเอาใจใส่แล้ว ฉัตรธิดาก็คงไม่ต่างจากเด็กกำพร้าที่ไร้การเหลียวแล ฉัตรธิดาในสายตาของฉัตรชัยคือลูกสาวที่อ่อนแอ หัวสมองขี้เลื่อย ไร้ความสามารถ แม้แต่เรียนปริญญาตรีก็ยังเรียนไม่จบถนอมจิตยังจำใบหน้าแสดงความโกรธเกรี้ยวของฉัตรชัยได้ เมื่อทราบว่าฉัตรธิดาสอบไม่ผ่านเกือบทุกวิชาในมหาวิทยาลัย
“นังลูกโง่ ไร้สมอง ฉันไม่เคยเห็นใครโง่ได้เท่าแกอีกแล้ว...”
ถนอมจิต นึกถึงภาพที่ฉัตรชัย ตะโกนใส่หน้าฉัตรธิดา ที่ได้แต่ก้มหน้านิ่งอย่างน่าเวทนา มันทำให้ถนอมจิต อดคิดถึงถนอมศรีผู้เป็นน้องสาวไม่ได้ รายนั้นก็ไม่ต่างจากฉัตรธิดาที่ยอมเป็นกระโถนท้องพระโรงให้ฉัตรชัยได้ระบายอารมณ์อย่างเต็มที่
ถนอมจิต รู้สึกสะเทือนใจทุกครั้งที่นึกถึงภาพนั้นขึ้นมา
