10. คุณหนูผู้น่าสงสาร
“เกิดอะไรขึ้นริต้า”
เขาส่งเสียงถามด้วยความตกใจ ริต้า ไม่ตอบแต่ยื่นมือถือส่งให้แทนด้วยสีหน้างอง้ำ
“ว่าไงยะแม่ริต้า..ทนฟังความจริงไม่ได้หรือถึงได้อึ้งไปเลย”
เสียงของคุณหญิงพรสินี กล่าวเยาะเย้ยโดยไม่รู้ว่าคนที่ฟังอยู่นั้นเป็นลูกชายของตัวเอง
“คุณแม่..นี่ผมเองครับ”
วรวิทย์ รีบบอกมารดาก่อนที่จะเข้าใจผิดมากไปกว่านี้
“ตาวิทย์!..นี่ลูกทำไมให้ยัยนั่นมารับสาย ถ้าเกิดเป็นหนูดาหรือลุงฉัตรชัยโทรมาลูกจะเดือดร้อนนะ”
ผู้เป็นมารดาต่อว่าและตักเตือน
“โธ่แม่..ผมนอนหลับอยู่นี่ครับ..แม่มีอะไรครับถึงได้โทรมาแต่เช้าเชียว”
“นี่มันจะแปดโมงแล้วนะ...ลูกรีบกลับบ้านมาแต่งตัวด่วนเลย” มารดาออกคำสั่ง
“แต่งตัวไปไหนครับ”
“ก็ไปรับหนูดาที่บ้านน่ะสิ..หนูดาจะทำบุญเลี้ยงเพลที่วัด”
“ยัยหนูดาจะทำบุญเลี้ยงพระก็ให้เขาเลี้ยงไปสิครับ..ผมไม่เกี่ยวสักหน่อย” วรวิทย์ทำน้ำเสียงเซ็ง
“ลูกเป็นคู่หมั้นของหนูดานะ..ไม่ไปมันจะน่าเกลียดมากเพราะวันนี้หนูดา ทำบุญครบรอบวันตายของแม่เขานะลูก”
“เท่าที่รู้ภรรยาของคุณลุงฉัตรชัยนั่นตายไปตั้งหลายปีแล้วนี่ครับ ยังจะทำบุญครบรอบอะไรกันอีกล่ะ แล้วนี่คุณลุงฉัตรชัย เป็นคนให้แม่มาบอกผมรึเปล่าครับ”
เขามีน้ำเสียงอ่อนลงในตอนท้ายเพราะหากเป็นความต้องการของฉัตรชัยแล้วเขาก็คงยากที่จะปฏิเสธได้
“เปล่า..ลุงฉัตรชัยไปญี่ปุ่นตั้งแต่เช้าแล้ว..แต่พอดีแม่โทรไปหาหนูดาเมื่อเช้าถึงได้รู้”
“แม่โทรไปหายัยนั่นทำไมครับ”
“อ้าว...ตาวิทย์นี่ก็ถามแปลก ก็หนูดาเป็นคู่หมั้นแก แม่ก็ต้องโทรไปถามไถ่เธอบ้างสิ แม่กะจะชวนหนูดาไปดูชุดแต่งงานถึงได้รู้ว่าวันนี้หนูดาไม่ว่างต้องไปทำบุญถวายเพลที่วัด แม่จึงอยากจะให้วิทย์ไปกับน้องยังไงล่ะ”
“โอ้ย..ถ้าแบบนั้นผมไม่ต้องไปหรอกครับแม่..ผมนึกว่าลุงฉัตรชัยบอก” เขาพูดด้วยความโล่งอก
“แม่ว่าลูกควรจะไปนะ”
“ไม่เอาดีกว่า..ขนาดลุงฉัตรชัย ยังไม่ไปทำบุญให้เมียเลย แล้วผมจะไปทำไมล่ะ ยิ่งวัดวาไม่ค่อยถูกกับผมสักเท่าไหร่ คุณแม่ก็รู้ ถ้าคุณแม่อยากจะไปเอาใจยัยคู่หมั้นหุ่นยนต์นั่นก็ตามสบายเลยฮะ”
“ตาวิทย์...”
“แม่อย่าบังคับผมสิครับ..ผมอุตส่าห์ยอมหมั้นกับยัยหนูดานั่น ให้พ่อกับแม่แล้วนะ”
“เอาเถอะ ๆ แม่ขี้เกียจอธิบายเหตุผลแล้ว..ไม่ไปก็ไม่ไป แต่วิทย์ต้องกลับมาบ้านนะจะมัวแต่ขลุกอยู่กับยัยริต้านั่นไม่ได้ เกิดนักข่าวเห็นเข้า จะหาว่าแม่ไม่เตือน”
“ผมรู้แล้วครับแม่..แค่นี้นะครับ”
วรวิทย์ รีบกดวางสายทันทีก่อนจะถอนหายใจยาว
..............
ฉัตรธิดา ก้าวลงจากรถตู้ เมื่อเบิ้มที่ทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดเดินมาเปิดประตูรถให้ และบุญมีที่ทำหน้าที่ขับรถก็กุลีกุจอมาช่วย
สมพิศ สายใจและน้อยหน่า ยกสำรับอาหารที่อยู่บนรถตู้คันหรูลงไป
“คุณหนูเดินไปที่ศาลาพร้อมเบิ้มก่อนครับ..เดี๋ยวพวกเราจะขนของตามไป”
บุญมี บอกฉัตรธิดา ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาบอกความรักใคร่เอ็นดู
เบิ้ม ผายมือให้นายสาวเดิน และตัวเขาก็เดินเยื้องประกบคู่ตามไปติด ๆ สายตาก็คอยสอดส่ายมองไปรอบ ๆ อย่างระวังภัย แม้ว่าที่ผ่านมายังไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับฉัตรธิดา แต่การดูแลความปลอดภัยให้กับลูกสาวคนเดียวของฉัตรชัย ก็ถือเป็นเรื่องปกติที่คนมากศัตรูอย่างฉัตรชัย ต้องคอยระวังตัวอยู่เสมอ เพราะหากเป็นตัวของ
ฉัตรชัยเองแล้ว เขามีชายฉกรรจ์ที่คอยคุ้มกันความปลอดภัยตั้งแต่สองถึงสามคนเลยทีเดียว
ฉัตรธิดา ไม่อยากจะมีคนคอยคุ้มกันแบบบิดา หล่อนเคยเอ่ยปากบอกกับถนอมจิต ให้ยกเลิกการมีบอดี้การ์ดคอยไปไหนมาไหนด้วย แต่ถนอมจิต ไม่เห็นด้วย ป้าหล่อนให้เหตุผลว่า
“เรื่องอื่นป้าตามใจได้ แต่เรื่องนี้เป็นความปลอดภัยของดา ป้าคงทนไม่ได้ถ้าดา เป็นอะไรไป”
แต่คนที่ให้เหตุผลกับฉัตรธิดา แล้วทำให้หล่อนเชื่อฟังก็คือรังสิมันตุ์ ที่บอกเอาไว้ว่า
“คุณพ่อน้องดาเป็นนักธุรกิจที่ใคร ๆ ก็รู้จัก แล้วธุรกิจของท่านก็อาจจะไปขัดผลประโยชน์ของคู่แข่งบ้าง มันอาจจะทำให้มีคนคิดร้ายต่อคุณพ่อและครอบครัวก็ได้ แล้วอีกอย่างสมัยนี้โจรผู้ร้ายก็มากมันอาจจะจับตัวน้องดาไปเรียกค่าไถ่ก็ได้ ทางที่ดีน้องดาจะต้องมีบอดี้การ์ด คอยดูแลครับ”
ฉัตรธิดา จึงต้องยอมรับกับเหตุผลของรังสิมันตุ์
“คุณหนูครับ..ผมขอตัวเข้าห้องน้ำสักเดี๋ยวนะครับ”
เบิ้ม หันมาบอกฉัตรธิดาเมื่อเห็นว่าหล่อนเดินมาถึงหน้าห้องโถงที่เป็นศาลาวัดแล้ว
“ตามสบายจ๊ะ..แล้วก็ไม่ต้องรีบนะ”
ความจริงฉัตรธิดา อยากจะบอกให้เบิ้มกลับบ้านไปไม่ต้องมาเฝ้าหล่อนตลอดเวลาก็ได้ เพราะช่วงนี้บิดาของหล่อนก็ไปประเทศญี่ปุ่น ทำให้หล่อนอยากจะเป็นอิสระ อยากจะไปเที่ยวที่ต่าง ๆ โดยปราศจากบอดี้การ์ดบ้าง แต่หล่อนก็คงจะไม่กล้าไปเที่ยวที่ไหนตามลำพังอย่างที่คิดได้
ชีวิตของหล่อน ไม่เคยที่จะต้องออกไปไหนได้ตามลำพังมาตั้งแต่เด็กจนโต แม้แต่เพื่อนสนิทสักคน หล่อนก็ไม่มี หากไม่มีรังสิมันตุ์ คอยเป็นเพื่อนเล่นด้วยในวัยเด็กแล้ว หล่อนก็คงจะรู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่านี้
นึกถึงรังสิมันตุ์ขึ้นมา ฉัตรธิดา ก็เผลอยิ้มออกมาได้ เขาเป็นทั้งพี่ทั้งเพื่อนที่ทำให้ฉัตรธิดา รู้สึกอบอุ่นใจ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นพี่ชายโดยสายเลือด แต่หล่อนก็รักเขาอย่างสนิทใจ
หล่อนไม่เคยอิจฉาเขา ที่บิดารักและไว้วางใจเขามากกว่าหล่อนที่เป็นลูกแท้ ๆ เพราะตั้งแต่บิดาของหล่อนรับรังสิมันตุ์ เข้ามาอยู่ในบ้านในฐานะลูกชายบุญธรรม ก็ทำให้ชีวิตของฉัตรธิดา ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
หล่อน มารู้สึกโดดเดี่ยวอีกครั้งก็ช่วงที่รังสิมันตุ์ ไปเรียนต่อเมืองนอก แต่หล่อนกับเขาก็ยังติดต่อกันอยู่เสมอ เขาคอยปลอบใจและเป็นกำลังใจให้หล่อนอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งวันที่หล่อนโศกเศร้าเสียใจที่รู้ว่าบิดาจะให้หล่อนหมั้นกับผู้ชายที่หล่อนไม่ได้รัก ก็ได้รังสิมันตุ์ คอยปลอบโยนให้กำลังใจ หล่อนยังรู้สึกอบอุ่นกับอ้อมอกของเขาอยู่จนเดี๋ยวนี้
“น้องดา...”
เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้ฉัตรธิดาหันไปมอง หล่อนเบิกตากว้างด้วยความตกใจระคนดีใจ
“พี่เต้..”
“เบิ้มไปไหนทำไมปล่อยให้น้องดาอยู่คนเดียวแบบนี้”
รังสิมันตุ์ มองหาบอดี้การ์ดส่วนตัวของน้องสาวด้วยแววตาไม่ชอบใจ
“เบิ้มไปห้องน้ำค่ะ แล้วพี่เต้ มาได้ยังไงคะไหนพี่บอกว่างานยุ่งมาก” ฉัตรธิดา ถามด้วยน้ำเสียงดีใจ
“พอดีพี่ปลีกตัวมาได้ ก็เลยอยากจะมาร่วมทำบุญกับน้องดา”
รังสิมันตุ์ พูดพร้อมกับจูงแขนฉัตรธิดาพาเดินไปยังที่จะทำบุญถวายอาหารแก่พระสงฆ์
“อย่าเพิ่งไปได้ไหมคะพี่เต้ ตอนนี้ยังไม่ได้เวลาหรอกค่ะ”
“ก็ได้จ๊ะ งั้นเราไปนั่งคุยกันที่ริมน้ำหลังวัดก็ได้”
ฉัตรธิดา พยักหน้าเห็นด้วย ทั้งคู่จึงเดินคู่กันไปยังบริเวณหลังวัดที่มีศาลายื่นออกไปริมแม่น้ำ
“ดามีความสุขจังที่ได้ออกมาเห็นอะไรข้างนอกแบบนี้”
หล่อนบอกพร้อมกับกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยแววตาสดใส ทำให้รังสิมันตุ์ ยิ้มด้วยความเอ็นดู เขามีความสุขมากกว่าหล่อนด้วยซ้ำที่เห็นแววตาสดใสของผู้ที่มีสถานะเป็นน้องสาว ที่เขารักสุดหัวใจหลังจากที่ไม่เคยเห็นแววตาแบบนี้มานานมากแล้ว
“วันหลังพี่จะพาน้องดาออกมาข้างนอกแบบนี้อีก”
“สัญญานะคะ”
ฉัตรธิดา เบิกตากว้างรู้สึกตื่นเต้น แต่เพียงครู่เดียวหล่อนก็มีแววตาเศร้าสลด
“แต่..คงไม่มีวันนั้นอีกแล้วใช่ไหมคะ” หล่อนถามเสียงเศร้า
