บทที่ 9 ความสงสัย
บทที่ 9 ความสงสัย
“ไม่ใช่ข้าหรอก แต่ข้าขอสาบานเลยว่าข้าจะต้องลากตัวมันมารับผิดให้ได้” เฟินเยว่กัดฟันพูดพร้อมกับบีบมือของฟางเซียนแรงขึ้น
“ข้าก็จะช่วยพี่รองเองเจ้าค่ะ”
“สัญญานะว่าเจ้าจะช่วยข้า” เฟินเยว่เพิ่มแรงบีบลงไปอีก
“ข้าสัญญาเจ้าค่ะ” ฟางเซียนยิ้มแหยและดึงมืออกจากการกอบกุมของพี่สาว
“ว่าแต่เจ้าเถอะหายหน้าไปหลายวันเลยนะ”
“ท่านแม่ของข้าพึ่งจะอาการดีขึ้นเจ้าค่ะ”
“นั่นสินะแม่ของเจ้าป่วยนี่ ดูแลนางดีๆล่ะอย่าให้เจ็บป่วยขึ้นมาอีก”
“ขอบคุณพี่รองที่เป็นห่วง มารดาของข้าเป็นแค่อนุคนหนึ่งไม่มีใครให้ความสนใจแต่พี่รองก็ยังไม่รังเกียจ”
ฟางเซียนก้มหน้าลงเล็กน้อยแสดงความน้อยเนื้อต่ำใจออกมา แววตาของนางสะท้อนความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ข้างใน คำว่าลูกอนุมันคอยฉุดรั้งให้ฟางเซียนต้องรู้สึกแย่กับชีวิตเสมอ
“มีคนในจวนรังเกียจพวกเจ้าด้วยหรือ”
“ท่านไม่เห็นไม่ได้แปลว่าไม่มีนี่เจ้าคะ”
ไม่มีใครกล้าแสดงกิริยาและวาจาแย่ๆต่อหน้าเจ้านายของจวนหรอก แต่ลับหลังมันก็อีกเรื่อง ตั้งแต่เด็กมารดาของฟางเซียนก็เล่าให้ฟังเสมอว่าโดนคนอื่นกระทำแย่ๆใส่ยังไงบ้าง ถึงจะไม่ได้ประสบด้วยตัวเองแต่ก็เข้าใจความรู้สึกนั้นดี
“ใครทำเจ้าก็บอกข้ามาข้าจะจัดการให้” หลี่เฟินเยว่ไม่เคยเห็นหรือที่จะได้ยินเลยว่ามีคนในจวนทำตัวแย่ๆใส่อนุของท่านพ่อหรือแม้แต่ตัวฟางเซียนเองก็ตาม
“เรื่องของข้าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกเจ้าค่ะ”
“เฮ้อออ เรื่องของเจ้าแล้วกัน” เฟินเยว่ถอนหายใจยาว
หลี่เฟินเยว่เคยสงสัยว่าอะไรทำให้ฟางเซียนโกรธเกลียดนางได้ถึงเพียงนี้ ตัวนางเองมั่นใจว่าไม่เคยทำอะไรแม่ลูกคู่นี้เลย ตอนที่ยังเด็กก็แทบไม่เคยยุ่งเลยด้วยซ้ำ
“คุณหนูเจ้าคะ” รั่วถงเอ่ยเรียกคุณหนูของนางเสียงเบา
“ว่าอย่างไรรั่วถง”
“ท่านอ๋องมาขอพบเจ้าค่ะ”
“ห้ะ ! ”
หลี่เฟินเยว่เก็บความตกใจไว้ไม่อยู่นางหลุดส่งเสียงดังอุทานขึ้นมา ทุกอย่างมันกำลังเปลี่ยนไปจากเรื่องเดิมที่เคยเกิดขึ้นจนหมดแล้วแบบนี้นางจะสามารถแก้ไขเรื่องราวที่กำลังจะตามมาได้อย่างไร
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” ฟางเซียนลุกขึ้นและเดินจากไป
“ให้เขาเข้ามา” เฟินเยว่กระซิบกับรั่วถงเสียงเบา
รั่วถงรีบแทรกตัวผ่านฟางเซียนไปด้วยความรวดเร็ว
อ๋องหนุ่มที่ได้รับอนุญาตแล้วก็เดินไปนั่งรอที่ห้องโถงของบ้าน จังหวะเดียวกันกับที่เขาเดินตามบ่าวของจวนไปก็เดินสวนกับสตรีนางหนึ่ง กลิ่นหอมอ่อนคล้ายดอกไม้พัดผ่านไปทำให้ต้องหันกลับไปมอง ใบหน้าเศร้าพาให้หัวใจของเขากระตุก
ไม่ทันได้คิดขายาวก็เปลี่ยนทิศทางไปอีกฝั่งทันที สตรีคนนั้นแอบร้องไห้อยู่คนเดียวที่มุมเล็กๆในสวนช่างเป็นแผ่นหลังที่ดูโดดเดี่ยวเหลือเกิน มันน่าสงสารจนเขาอยากจะดึงนางมากอดไว้
“ท่านอ๋องเพคะ” รั่วถงที่พึ่งรู้ตัวว่าเขาหายไปก็ย้อนกลับมาตาม
“เราหลงทาง” เขาตอบไปส่งๆ ความจริงแล้วกับบ่าวไพร่พวกนี้เขาไม่จำเป็นจะต้องแก้ตัวอะไรให้ฟังด้วยซ้ำ
“เชิญทางนี้เพคะ”
รั่วถงก้าวเดินให้ช้าลงเพราะกลัวว่าเขาจะเดินตามไม่ทันอีก คนในวังหลวงนี่เดินช้าแบบนี้กันหมดหรือเปล่านะ ถึงจะสงสัยแต่ก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ
“ถวายบังคมเพคะ” หลี่เฟินเยว่ที่นั่งรออยู่แล้วก็ลุกขึ้นแล้วยอบกายทำความเคารพว่าที่คู่หมั้นอย่างอ่อนช้อย
“ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมากมาย” เขาสะบัดมือเหมือนรำคาญสิ่งที่นางทำ
“หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยด้วยเพคะ ร่างกายของหม่อมฉันช่วงนี้ไม่ค่อยแข็งแรงทำความเคารพท่านอ๋องได้ไม่งามตานัก”
เฟินเยว่จงใจทำตัวห่างเหินเขาอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเป็นเมื่อก่อนนางคงจะมานั่งใกล้เขาและส่งสายตาให้ท่าเขาไปแล้ว
“เราบอกแล้วว่าไม่ต้องจริงจังให้มากความ”
“เพคะ ท่านอ๋องมาหาหม่อมฉันถึงที่จวนมิทราบว่ามีธุระอะไรหรือเปล่าเพคะ”
เฟินเยว่ค่อยๆทรุดตัวลงนั่ง แต่ความเจ็บแสบของบาดแผลก็ทำให้น้ำตาเล็ด นางพยายามไม่แสดงออกทางสีหน้าให้ได้มากที่สุด
“เราเป็นว่าที่คู่หมั้นของเจ้า ถ้าเราจะมาจวนของว่าที่คู่หมั้นจะต้องมีธุระสำคัญอะไรด้วยหรือ”
“หม่อมฉันขออภัยเพคะ” เฟินเยว่ก้มหัวให้เขาหนึ่งครั้ง นางลอบเบะปากใส่เขาไปหนึ่งที
ก่อนหน้านี้หลี่เฟินเยว่ทำตัวเป็นเจ้าของชายหนุ่มตรงหน้าแต่เขาก็ทำท่ารังเกียจนางเสียเต็มประดาพอมาตอนนี้กลับเรียกนางว่าว่าที่คู่หมั้น
“เห็นเจ้าบอกว่าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเป็นอะไรมากหรือไม่”
เขาแค่อยากมาดูว่าช่วงนี้หลี่เฟินเยว่หายไปไหน เขาไม่ได้คิดว่าถ้าเจอหน้านางแล้วจะพูดอะไรกับนางดี และภาพใบหน้าเศร้าของสตรีก่อนหน้าก็กำลังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา
“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่เป็นห่วง ช่วงนี้อากาศแปรปรวนหม่อมฉันเลยจับไข้เพคะ”
“อืม ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
“เพคะ ท่านอ๋องอยากดื่มชาก่อนไหมเพคะ”
“ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าไม่เป็นอะไรมากงั้นเราขอตัวก่อน”
“เพคะ”
ชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์เดินไปที่สวนของจวนสกุลหลี่อีกครั้ง หญิงสาวคนเดิมกำลังนั่งกอดเข่าร้องไห้อย่างน่าสงสาร
กว่าจะรู้ตัวเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้านางแล้ว ชายหนุ่มจึงย่อตัวลงเพื่อพูดคุยกับนาง
“…”
หยาดน้ำตาเม็ดโตกลิ้งหล่นบนใบหน้าของฟางเซียน นางเงยหน้าขึ้นมาสบตากับบุรุษตรงหน้า สายตาของทั้งคู่สอดประสานกันเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถละสายตาไปได้
“เอ่อ…”
เขาเคยเห็นหญิงงามมามากมายแต่คนตรงหน้าให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ใบหน้าเศร้าหมองทำให้เขาอยากจะดึงนางมากอดและปลอบโยนให้หายเศร้า
“เจ้าเป็นน้องสาวของเฟินเยว่ใช่หรือไม่”
ด้วยการแต่งตัวที่ดูดีกว่าบ่าวทั่วไปแต่ก็ไม่ได้หรูหราเหมือนคุณหนูคนอื่นๆทำให้เขาเดาได้ไม่ยากเลยว่านางคือใคร
“เพคะ ถวายบังคมเพคะ”
หลี่ฟางเซียนรีบลุกขึ้นและยอมกายถวายบังคมอย่างร้อนรน ส่งผลให้ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ท่าทางไร้เดียงสาของนางทำให้เขารู้สึกสบายใจ แตกต่างจากสตรีผู้อื่นจริงๆ
“หม่อมฉันคงจะเกะกะสายตาของพระองค์ หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ” นางทำท่าจะก้าวเดินหนีไปแต่ก็โดนเขาฉุดแขนไว้ก่อน
“ร้องไห้ทำไม” ชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน เขาไม่รู้จักนางด้วยซ้ำแต่แค่เห็นน้ำตาของนางเขาก็ห้ามใจไว้ไม่ได้
บุรุษย่อมถูกสอนมาให้รักหยกถนอมบุปผาเมื่อเห็นสตรีอ่อนแอเขาก็ต้องยื่นมือเข้าช่วย
“หม่อมฉันไม่ได้ร้องไห้เพคะ” นางส่ายหน้าเบาๆเพื่อปฏิเสธและก้มหน้าเพื่อหลบสายตาคาดคั้นของเขา
“บอกเรามา” เขาสั่งเสียงเข้ม
“โอ๊ย ! ” ฟางเซียนร้องออกมาเสียงไม่เบาและไม่ดังนัก
“เราขอโทษเจ็บมากหรือไม่” เขารีบปล่อยข้อมือของนางออก เขามั่นใจว่าเขาไม่ได้จับข้อมือของนางแรงเลยทำไมมันถึงแดงขนาดนี้กัน
“ไม่ใช่ความผิดของท่านอ๋องหรอกเพคะ”
ฟางเซียนพยายามเอาฝ่ามือปิดรอยที่ข้อมือไว้แต่กลายเป็นว่าเขาเห็นรอยที่ฝ่ามือของนางเพิ่มอีก
“ใครทำเจ้า ! ” เขาถามเสียงเย็น
“ไม่มีใครทำเพคะ”
“หลี่เฟินเยว่งั้นหรือ” เขาเลิกคิ้วสูงและรอคำตอบด้วยความตั้งใจ
“…” นางไม่ตอบเขาและทำเพียงแค่เม้มปากเข้าหากัน
“เป็นนางงั้นสินะ”
ถ้าจะให้เดาก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย บุตรสาวอนุของจวนก็มักจะโดนคนในครอบครัวรังแกอยู่แล้ว เพราะคนพวกนั้นไม่มีทางสู้
ยิ่งเป็นคนชอบใช้ความรุนแรงแบบสตรีผู้นั้นแล้วเขาไม่แปลกใจเลยสักนิด เขาก็อุตส่าห์สงสัยนึกว่านางจะเปลี่ยนนิสัยแล้ว และเขาก็จำได้ว่าเขาเดินสวนกับคนตรงหน้าระหว่างทางที่กำลังจะไปเจอว่าที่คู่หมั้น
“ท่านอ๋องอย่าคิดมากเลยเพคะหม่อมฉันเป็นแค่บุตรสาวของอนุเท่านั้น” นางทำท่าเจียมเนื้อเจียมตัวเพื่อให้เขาสงสารมากกว่าเดิม
ความจริงแล้วรอยที่เฟินเยว่ทำแทบไม่มีรอยเลยด้วยซ้ำ แต่ระหว่างที่เขาไปพบกับเฟินเยว่ฟางเซียนก็ให้มารดาของนางช่วยบีบให้มันเป็นรอยเด่นชัดขึ้น น้ำตาที่ไหลก็เพราะความเจ็บที่มารดาของนางเป็นคนทำ
