บทที่ 10 บุรุษเสเพล
บทที่ 10 บุรุษเสเพล
ภายในเมืองหลวงโดยเฉพาะในตลาดใกล้กับจวนสกุลหลี่มีเรื่องราวที่กำลังเป็นที่สนุกปากของชาวบ้านโดยทั่วกัน บุตรสาวคนรองของเสนาบดีหลี่เหิมเกริมถึงขั้นจ้างนักเลงไปทุบตีบุตรสาวของท่านราชครู เรื่องน่าสนุกเช่นนี้ใครๆก็อยากจะเล่าต่อและใส่สีตีไข่ให้มันสนุกมากขึ้นกันทั้งนั้น
‘เจ้าได้ยินเรื่องของหลี่เฟินเยว่หรือไม่’
‘บุตรสาวของท่านเสนาบดีหลี่นั่นน่ะหรือ’
‘ก็ใช่น่ะสิ นางต้องเสียสติไปแล้วเป็นแน่ถึงได้กล้าส่งคนไปทำร้ายบุตรสาวของท่านราชครู’
‘ข้าได้ยินมาว่านางถึงกับจ้างนักฆ่ามาเลยนะแต่โชคดีที่ทำไม่สำเร็จ’
‘นักฆ่าเลยหรือ โหดร้ายเสียจริง’
‘นั่นสิ เมื่อก่อนนางชอบตบตีทำร้ายร่างกายสตรีที่เข้าใกล้ว่าที่คู่หมั้นของนางหมดทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวของขุนนางน้อยใหญ่นางก็ไม่เคยเกรงกลัว’
‘บิดาของนางคงให้ท้ายน่าดูนางถึงไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น’
‘ก็ใช่น่ะสิ ท่านเสนาบดีรักบุตรสาวผู้นี้มาก จะให้ท้ายก็มิแปลก’
“เถ้าแก่ขอน้ำชาเพิ่มหน่อย” เสียงตะโกนของบุรุษคนหนึ่งดังขึ้นมาขัดบทสนทนาของลูกค้าภายในร้าน
“คุณชายรอสักครู่นะขอรับ” เถ้าแก่ของร้านรีบตะโกนเรียกคนงานในร้านให้ยกน้ำชามาให้ทันที คุณชายหานผู้นี้เป็นที่เลื่องลือในตลาดว่ามีนิสัยอันธพาลและเกเรเป็นที่สุด ใครๆก็ไม่อยากเข้าใกล้เขา
“ยกมาเร็วๆ” เขาโบกมือพัลวันเพื่อเร่งอีกฝ่าย
‘คุณชายหานนี่ก็เหมือนกันเป็นถึงรองแม่ทัพแต่ชอบทำตัวเสเพลไปวันๆ’
‘ถ้าไม่ใช่เพราะบิดา เขาก็คงไม่สามารถเป็นได้ถึงรองแม่ทัพหรอก’
‘ถ้าคนแบบนี้เป็นรองแม่ทัพได้ข้าว่าลูกชายข้าก็คงเป็นรองแม่ทัพได้’
‘ไม่ได้หรอก สามีของเจ้าไม่ใช่เสนาบดีแบบพ่อเขานี่’
“พวกป้าช่วยไปพูดไกลๆข้าหน่อยได้หรือไม่” หานซื่อเหลียนทนฟังพวกนางมานานแล้ว มันน่ารำคาญจนเขาทนไม่ไหว
“ป้าต้องขอโทษคุณชายด้วยที่รบกวน พวกเราไปกันเถอะ” ประโยคหลังนางหันไปบอกกับคนที่นั่งคุยด้วยกันเมื่อครู่
ถึงจะบอกว่ารำคาญแต่เขาก็ได้ข้อมูลเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง ภารกิจที่ได้รับมาเป็นความเป็นความตายของชีวิตคนหลายคนยิ่งมีข้อมูลเยอะก็ยิ่งดี
“อี้ชวนเจ้าไปสืบมาว่าบุตรสาวของหลี่เฟยหลงเป็นอย่างไร” หานซื่อเหลียนหันไปสั่งกับอี้ชวนคนสนิทของเขา
“ไม่ต้องสืบหรอกขอรับคุณชาย เรื่องของแม่นางผู้นี้คนเขาพูดกันทั่วตลาด”
“แล้วเขาว่ากันว่าอย่างไรล่ะ”
“นางมีนิสัยโหดร้ายนักขอรับ ชอบทำร้ายร่างกายคนที่มายุ่งกับคนรักของนาง แถมยังมีนิสัยอันธพาลเหมือน…” อี้ชวนหุบปากลงเมื่อรู้สึกว่าเขากำลังพูดเยอะเกินไปแล้ว
“เหมือนอะไรเจ้าพูดดีๆนะ” ซื่อเหลียนทำหน้าขรึมและชี้นิ้วไปที่อีกฝ่าย
“เหมือนนักเลงขอรับ แหะๆ” อี้ชวนหัวเราะแห้งเพื่อกลบเกลื่อน ถ้าบอกไปว่าเหมือนคุณชายเกรงว่าเขาจะต้องโดนฝ่ามือของคุณชายแน่ๆ
“แล้วไป”
“คุณชายอยากรู้เรื่องของแม่นางเฟินเยว่ไปทำไมหรือขอรับ”
คนที่พวกเขาได้รับภารกิจลับให้มาสืบคือท่านเสนาบดีหลี่ไม่ใช่บุตรสาวของเขาเสียหน่อย หรือคุณชายจะชอบคนมีนิสัยอันธพาลเหมือนกัน
“ถ้านางเป็นคนแบบที่เขาบอกกันจริงๆเราก็ควรเริ่มสืบจากนางคงง่ายที่สุด”
“แล้วนางจะยอมทำตามที่เราบอกหรือขอรับคุณชาย”
“ก็ต้องรอดูกันต่อไป”
หานซื่อเหลียนตามสืบเรื่องนี้มาสักพักแต่กลับพบเบาะแสแค่บางอย่าง มันไม่สามารถมัดตัวเสนาบดีหลี่ได้แน่นหนา เขาจึงต้องเอาตัวเข้าไปใกล้คนในสกุลนั้นมากขึ้น
เรื่องของบุตรสาวคนรองจวนสกุลหลี่นั้นหานซื่อเหลียนพอจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่เขายังไม่ปักใจเชื่อเสียเท่าไหร่ ตัวเขาเองยังแสร้งทำตัวเสเพลเพื่อการทำงานที่ง่ายขึ้นเลย
การทำตัวเกเรและเสเพลไปวันๆทำให้ซื่อเหลียนใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น ถึงจะกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านในบางครั้งแต่เขาก็ไม่ต้องสนว่าใครจะว่าอย่างไร
จวนสกุลหลี่กลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อบุตรสาวคนรองได้รับคำเชิญของไทเฮาให้ไปเข้าเฝ้า หลี่เฟินเยว่ถูกมารดาและท่านย่าของนางฉุดให้ลุกจากที่นอนเพื่อไปอาบน้ำและขัดผิวจนเฟินเยว่รู้สึกเหมือนผิวหนังด้านนอกถูกขัดออกไปด้วยเลย
“แต่แผลข้ายังไม่หายเลยนะเจ้าคะ” เฟินเยว่ส่งเสียงงอแงเมื่อกำลังถูกจับแต่งตัวอย่างเร่งรีบ
“ชายกระโปรงเจ้ายาวเพียงนี้ไม่มีใครเห็นหรอก ไทเฮาทรงเรียกหาก็อย่าได้อิดออดเลยเฟินเยว่” หลี่ฮูหยินส่งเสียงแกมดุบุตรสาวสุดที่รัก ถึงจะมีความสนิทสนมกันกับไทเฮาแต่ก็ต้องให้เกียรติพระองค์ด้วย
“ข้ามีชุดนี้ด้วยหรือเจ้าคะ”
อาภรณ์ตรงหน้าเฟินเยว่เป็นชุดที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน สีชมพูอ่อนให้ความรู้สึกหวานล้ำราวกับกลีบของเถาฮวายามที่มันเบ่งบานในวสันตฤดู ถ้าให้นางใส่ชุดนี้เฟินเยว่ยอมใส่ชุดขอทานแบบครั้งนั้นดีกว่า
“แม่ตัดเย็บชุดนี้ไว้ให้เจ้าเมื่อหน้าหนาวปีที่แล้ว ลองสวมดูว่าพอดีหรือไม่”
“เจ้าค่ะ” เฟินเยว่ต้องเงียบปากที่คิดจะเถียงทันที ท่านแม่เป็นคนตัดเย็บให้เลยนะใครจะกล้าปฏิเสธกันล่ะ
ไม่นานบุตรสาวคนรองของจวนสกุลหลี่ก็ได้เปลี่ยนโฉมเป็นสาวงามพร้อมกับภาพลักษณ์ที่ดูอ่อนหวานเสียจนไม่มีใครอยากจะเชื่อว่านางคือหลี่เฟินเยว่จริงๆ
โดยปกติเฟินเยว่มักจะสวมใส่อาภรณ์ที่หรูหราก็จริงแต่มันจะไม่ได้ดูอ่อนหวานขนาดนี้ และส่วนใหญ่นางก็เลือกแต่ชุดที่มีสีสันโดดเด่น เฟินเยว่รู้สึกว่าถ้าเรารวยก็ต้องแต่งตัวให้คนอื่นรู้ว่าเรารวยจะแอบไว้ทำไมกัน
“โชคดีนะลูก”
พอมารู้ตัวอีกทีเฟินเยว่ก็มานั่งอยู่บนรถม้าของสกุลหลี่แล้ว รถม้าแล่นไปด้วยความเร็วคงที่ไม่นานก็มาถึงประตูทางเข้าวังขนาดใหญ่ ป้ายสัญลักษณ์ประจำตัวถูกยื่นแสดงให้ทหารที่หน้าที่เฝ้าประตูดูเพื่อตรวจสอบ
“เชิญ”
รถม้าเข้ามาได้ไม่ไกลนักหลังจากนี้จะต้องเดินเท้าต่อเข้าไปเอง ผู้คนขวักไขว่ทั้งทหาร นางกำนัลและเหล่าขันทีเดินสวนกันไปมาจนเฟินเยว่ตาลาย
“อ๊ะ ! ขออภัยเจ้าค่ะ” เฟินเยว่มัวแต่มองซ้ายมองขวาจนเดินไปชนกับคนคนหนึ่งเข้า
“เดินก็ควรมองทางสิมัวแต่มองอะไรอยู่ได้” เสียงติดรำคาญของเขาบ่น
“ขออภัยเจ้าค่ะท่านเสนาบดีซุน” เฟินเยว่จำใบหน้าของเขาได้ดี นางคงต้องไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
“เฮ้อ…หนุ่มสาวสมัยนี้ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ”
“ข้าคงทำให้ท่านเสนาบดีเสียเวลาแล้ว ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
เสนาบดีซุนเป็นลูกพี่ลูกน้องของไทเฮา ถึงจะเป็นญาติกันแต่นิสัยต่างกับลิบลับ เขาเป็นน้องชายของไทเฮาและเป็นพระญาติของท่านอ๋องอีกด้วย
“ไปเถอะข้าชินกับความไร้มารยาทของเจ้าแล้ว” เขาโบกมือไล่ให้นางรีบไป
“เจ้าค่ะ”
หลี่เฟินเยว่ไม่คิดจะใส่ใจกับคำพูดของเขา นางชินชากับกิริยาแย่ๆที่คนอื่นปฏิบัติใส่แล้ว จะโทษพวกเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ได้เป็นตัวนางเองที่ทำตัวแย่ใส่คนอื่นก่อน
