บทที่ 8 น้อยใจ
บทที่ 8 น้อยใจ
เหตุการณ์วุ่นวายของจวนสกุลหลี่มีสตรีผู้หนึ่งแอบดูด้วยความสะใจ หลี่ฟางเซียนใช้เงินทั้งหมดที่มีไปจ้างนักเลงมาไม่กี่คนเพื่อที่จะให้ดักทำร้ายบุตรสาวของท่านราชครู
ผลที่ได้ช่างเป็นที่น่าพอใจและคุ้มกับเงินที่เสียไปแล้ว แค่ขอให้หลี่เฟินเยว่และมารดาของนางต้องเจ็บปวดและเสียใจฟางเซียนยอมทุ่มหมดหน้าตัก
“ลูกแม่เก่งจังเลย”
อนุของหลี่เฟยหลงดึงลูกสาวมากอดแนบอกพลางลูบหัวเบาๆด้วยความรักใคร่ แววตาของนางเต็มไปด้วยความสะใจ
“ท่านแม่ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ นังเฟินเยว่มันจะต้องตกต่ำกว่านี้ด้วยน้ำมือของลูกแน่นอนเจ้าค่ะ”
หลี่ฟางเซียนเป็นแค่ลูกของอนุ ไม่ได้ต่างอะไรจากบ่าวในจวนมากมายแล้วยิ่งเป็นบุตรสาวยิ่งไม่ได้รับความสนใจจากบิดามากนัก
“แม่เชื่อว่าลูกแม่ทำได้”
“ในเมื่อข้าไม่สามารถขึ้นสูงได้ข้าก็จะดึงพวกมันให้ต่ำลงมาเองเจ้าค่ะ”
แววตาของหลี่ฟางเซียนวาวโรจน์ ความโกรธแค้นภายในใจตลอดสิบกว่าปีที่เกิดมาทำให้นางเกลียดทุกคนในจวนจนอยากเห็นพวกเขาพังพินาศ
“แม่ไม่มีความสามารถคงต้องลำบากเจ้าแล้ว”
ทั้งคู่ผละออกจากอ้อมกอดของกันและกัน ปลายนิ้วเรียวช่วยเกลี่ยผมที่ปิดใบหน้าของบุตรสาวอย่างเบามือ
ผู่เยว่เกิดมาต่ำต้อยนางเป็นแค่บุตรสาวของขอทานที่ถูกขายให้กับจวนของขุนนางจวนหนึ่งเพื่อเป็นบ่าว นางต้องโดนโขกสับสารพัดจนได้มีโอกาสเข้ามาอยู่จวนนี้และได้ขึ้นมาเป็นอนุของท่านเสนาบดี
“ท่านแม่ไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ”
“หลังจากนี้เจ้าก็แวะไปดูอาการมันหน่อยละกันจะได้ไม่มีใครสงสัย”
“ข้าไปแน่นอนเจ้าค่ะ ข้าอยากเห็นสภาพน่าสมเพชของมันเต็มทนแล้ว”
“เสียดายที่แม่ไม่ได้เห็นสีหน้าของฮูหยินตอนที่ลูกสาวมันกำลังโดนสามีโบย”
“สภาพพวกมันน่าสมเพชมากเจ้าค่ะ”
“หึ สมควรแล้ว”
เป็นธรรมดาที่มนุษย์เรามักจะไม่พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมี ผู้เยว่ก็เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยความที่เป็นบ่าวจึงไม่สามารถแต่งเป็นฮูหยินของขุนนางได้ ความอิจฉาเริ่มลุกลามกลายเป็นความโกรธแค้น นับวันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
ห้องนอนขนาดใหญ่ที่ตกแต่งด้วยของหรูหราราคาแพงระยับ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถช่วยให้เจ้าของห้องสำราญใจได้เลย
ตั้งแต่ที่โดนตีก็ผ่านมาหนึ่งวันเต็ม รอยแผลเด่นชัดขึ้นตั้งแต่บริเวณสะโพกจนถึงเรียวขาขาว สีของมันเริ่มเปลี่ยนจากรอยแดงเป็นม่วงและเขียวเป็นแนวยาว บางจุดก็มีเลือดซึมออกมา
“คุณหนูทานยาหน่อยนะเจ้าคะ” รั่วถงเอ่ยเสียงหวานพร้อมแววตาอ่อนโยน
“ขอบใจนะรั่วถง”
หลี่เฟินเยว่รับถ้วยยามาถือไว้ กลิ่นของมันชวนให้รู้สึกคลื่นไส้แต่สุดท้ายก็กลั้นใจกินจนหมด
“ทนหน่อยนะเจ้าคะคุณหนู”
“ไม่ต้องห่วงข้าหรอกรั่วถง แผลแค่นี้เดี๋ยวก็หาย”
ด้วยความน้อยใจตอนแรกเฟินเยว่คิดจะประชดบิดาด้วยการปฏิเสธทั้งยาดื่มและยาทา แต่ก็ได้สติขึ้นมาว่าต่อให้ทำแบบนั้นก็ไม่ได้อะไรขึ้นมานอกจากตัวนางเองที่ต้องทนเจ็บนานกว่าเดิม
“บ่าวขอโทษนะเจ้าคะคุณหนูถ้าบ่าวไปหยิบไม้ตามที่นายท่านสั่ง…”
รั่วถงเอาแต่โทษตัวเองที่เป็นคนหยิบไม้ให้นายท่านจนถึงตอนนี้
“เลิกโทษตัวเองได้แล้ว”
“คุณหนูไม่โกรธบ่าวหรือเจ้าคะ”
“ข้าจะไปโกรธอะไรเจ้าล่ะ ต่อให้เจ้าไม่ไปหยิบไม้ให้ท่านพ่อก็จะเอามันมาได้อยู่ดีเพราะฉะนั้นเลิกโทษตัวเองได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ”
คนเดียวที่หลี่เฟินเยว่โกรธในตอนนี้ก็คือบิดาของนาง เขาไม่ยอมฟังเหตุผลอะไรสักอย่าง ทั้งๆที่นางไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแท้ๆ
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจของคนในห้อง
“พ่อกับแม่เองลูก”
“ออกไปบอกพวกเขาว่าข้าหลับอยู่ อย่าให้พวกเขาเข้ามา” เฟินเยว่กระซิบบอกบ่าวคนสนิทเสียงเบา
“เจ้าค่ะ”
รั่วถงค่อยๆลุกขึ้นและเปิดประตูห้องออกไปบอกพวกเขาตามที่คุณหนูสั่ง ถึงนายท่านและฮูหยินจะทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมกลับไป
“พวกเขาไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ขอบใจนะ”
“คุณหนูทำแบบนี้จะไม่โดนลงโทษอีกหรือเจ้าคะ” รั่วถงกลัวว่าคุณหนูจะต้องโดนโบยอีก ผิวขาวๆของคุณหนูไม่สมควรจะมีรอยแผลสักนิด
“ถ้าท่านพ่อจะไร้เหตุผลเช่นนั้นก็ปล่อยให้เขาทำไปเถิด” น้ำเสียงของเฟินเยว่เต็มไปด้วยความน้อยใจ
ความน้อยใจพาให้หลี่เฟินเยว่อารมณ์ขุ่นมัวมากกว่าเดิม ทั้งๆที่นางเอาเวลาทั้งหมดไปทุ่มเทกับการแก้ไขเรื่องผิดพลาดแท้ๆ แต่สุดท้ายก็โดนลงโทษอยู่ดีแถมยังหนักกว่าเดิมอีก
เวลาหนึ่งวันที่ผ่านมาหลี่เฟินเยว่เริ่มไตร่ตรองและตกผลึกได้ว่าคงเป็นเพราะนางไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว เรื่องราวถึงได้เปลี่ยนไปแบบนี้ ทั้งๆที่ใช้ความพยายามและอดทนมากแท้ๆ
“ถ้าใครมาจะเข้ามาอีกก็บอกพวกเขาว่าข้าเจ็บแผลนอนพักอยู่นะ แล้วก็บอกด้วยว่าแผลของข้ามันน่าเกลียดมากข้าไม่อยากให้ใครเห็น”
ไหนๆก็ลุกไม่ได้แล้วขอนอนพักหน่อยแล้วกัน หลังจากนี้คงมีเรื่องให้คิดอีกเยอะนอนเอาแรงไว้ดีกว่า
“เจ้าค่ะคุณหนู”
หลี่เฟินเยว่คิดว่านางคงจะตัดใจจากบุรุษผู้เป็นที่รักอย่างท่านอ๋องได้แล้ว นางไม่ได้คิดถึงหรือห่วงหาอะไรเขาอีก ตั้งแต่เห็นสายตาว่างเปล่าของเขาในวันนั้นก็คงทำให้นางสามารถตัดใจได้ง่ายขึ้น
วันถัดมาเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นอีกครั้งรั่วถงก็เตรียมที่จะไปแจ้งกับคนที่มาพบตามที่คุณหนูสั่งไว้แต่ถูกห้ามไว้เสียก่อน
“ข้าเองเจ้าค่ะพี่รอง”
หลี่เฟินเยว่อยากรู้ว่าน้องสาวคนนี้จะมาไม้ไหนอีก ไม่ใช่ว่าเป็นนางที่วางแผนใส่ร้ายหรือ ได้ดูคนทำการแสดงให้ดูก็คงจะเพลิดเพลินดีเหมือนกัน
“ไปเปิดประตูให้นาง”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
รั่วถงไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก คุณหนูของนางสนิทสนมกับน้องสาวคนเล็กพอควร มีแค่ไม่กี่วันมานี้ที่ดูจะห่างเหินกันมากกว่าปกติ
“ขอบใจนะ” เสียงหวานเอ่ยขอบคุณบ่าวของพี่สาวประกอบกับรอยยิ้มบาง
ถ้าเป็นเมื่อก่อนหลี่เฟินเยว่ก็คงจะหลงเชื่อท่าทางเสแสร้งของฟางเซียนจนไม่สงสัยอะไรเลย พอมาย้อนดูแล้วก็ตลกดีเหมือนกันที่นางไม่เคยระแคะระคายอันใดเลย
“พี่รองท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ฟางเซียนรีบปรี่เข้าไปนั่งปลายเตียงทันทีที่เข้ามาในห้อง สายตาและท่าทางเหมือนกับคนที่กำลังห่วงใยอีกฝ่ายจริงๆ
“ข้าไม่เป็นอะไรมากหรอก ขอบใจที่เป็นห่วง”
เฟินเยว่ยอมเล่นไปตามบทที่อีกฝ่ายเขียนเพื่อรอดูว่านางจะทำยังไงต่อไป
“ท่านพ่อใจร้ายมากเลยนะเจ้าคะที่ทำกับท่านแบบนี้”
สายตาของฟางเซียนแลมองไปตามรอยแผลตามขาของอีกฝ่ายที่โผล่พ้นผ้ามาเล็กน้อย นางแสดงสีหน้ากังวลแต่ภายในใจกลับมีความสุขยิ่งนัก
“จะทำอย่างไรได้เล่าที่ผ่านมาข้าคงเป็นลูกที่แย่มากท่านพ่อถึงไม่คิดจะฟังอะไรเลย” เฟินเยว่ทำหน้าเศร้าสลดลง
หมับ !
“ข้าเป็นแค่บุตรสาวของอนุคงไม่สามารถเอาคืนนางให้พี่รองได้ ถ้าพี่รองอยากให้ข้าช่วยอะไรบอกมาได้เลยนะเจ้าคะ” ฟางเซียนคว้ามือของเฟินเยว่มากอบกุมไว้เหมือนว่านางเป็นห่วงเสียเหลือเกิน
หมับ !
เฟินเยว่นึกสนุกจึงนำมืออีกข้างขึ้นมากอบกุมซ้อนทับอีกที นางออกแรงบีบแรงขึ้นจนฟางเซียนนิ่วหน้า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนทำบุตรสาวของท่านราชครู” เฟินเยว่ถามพร้อมกับลอบสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายไปด้วย
“ข้าไม่รู้เลยเจ้าค่ะ ข้าก็คิดว่าเป็นท่านจริงๆเสียอีก”
ในท่าทีของฟางเซียนไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย นางแสดงได้แนบเนียนมากเหมือนคนที่กำลังพูดถึงอยู่ไม่ใช่ตัวนางเอง มาดูกันสักตั้งว่าเจ้าจะแสดงได้ต่อไปอีกนานแค่ไหน
