
บทย่อ
หลี่เฟินเยว่เลือกรักคนผิดจนทำให้ต้องพบกับจุดจบอันน่าอนาถครอบครัวโดนประหาร สกุลต้องล่มสลาย เมื่อสวรรค์ให้โอกาสนางหวนคืนอีกคราสตรีร้ายกาจเช่นข้าไม่ขอข้องเกี่ยวกับพวกท่านอีก แต่เหมือนโชคชะตาจะชอบเล่นตลกกับนางเหลือเกิน ในเมื่อพวกมันไม่หยุดนางก็จะทำให้พวกมันต้องชดใช้อย่างสาสม
บทที่ 1 ความหวาดหวั่น
บทที่ 1 ความหวาดหวั่น
สายลมในยามค่ำคืนพัดโหมกระหน่ำดั่งกับเป็นคืนที่ไร้จันทร์ แสงของดวงดาวพร่างพราวทอรัศมีวูบไหว ม่านรัตติกาลที่ปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าอาจทำให้ใครหลายคนอาจหวาดหวั่นแต่ไม่ใช่กับสตรีผู้เป็นเจ้าของร่างระหงนางนี้
หลี่เฟินเยว่นั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกบานใหญ่พลางมองเข้าไปที่เงาสะท้อนใบหน้าของนางไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
เบื้องหน้าปรากฏภาพของสตรีผู้หนึ่งที่มีใบหน้าซีดเซียว ขอบตาดำคล้ำ ริมฝีปากที่เคยสีชมพูระเรื่อดั่งกลีบดอกเหมยกลายเป็นขาวซีดจนเกือบจะกลายเป็นสีม่วง สตรีผู้ที่เคยได้ขึ้นชื่อว่างามล่มเมืองในตอนนี้นางเหมือนซากศพที่เดินได้เสียมากกว่า
“รั่วถงมาช่วยข้าสวมเครื่องประดับ”
เสียงแหบพร่าเอ่ยบอกกับบ่าวคนสนิท มือเรียวยื่นออกไปรับเครื่องประดับศีรษะสีทองอร่ามมาสวมและจัดให้เข้าที่ อาภรณ์แดงสดสลับกับลวดลายที่ผ่านการเย็บปักอย่างประณีตช่วยขับให้ผิวขาวของเฟินเยว่ดูขาวมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าเป็นนางก่อนหน้านี้คงต้องงดงามมากเป็นแน่
“คุณหนู…” รั่วถงเอ่ยเรียกคุณหนูเสียงแผ่วเบา แววตาของนางสะท้อนความสงสารและเวทนาอย่างเห็นได้ชัด
ชีวิตของสาวใช้ผู้ต่ำต้อยอย่างรั่วถงตั้งแต่จำความได้ก็มีแต่คุณหนูรองเพียงคนเดียวที่เป็นคนสำคัญในชีวิต บัดนี้คุณหนูรองที่เคยเข้มแข็งของนางกำลังนั่งรอความตายในชุดแต่งงานที่นางออกแบบเองทุกขั้นตอนด้วยความรักและเอาใจใส่
“อย่าร้องรั่วถง” หลี่เฟินเยว่หันมาพูดกับรั่วถงอีกครั้ง นางตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้จะไม่ร้องไห้เด็ดขาด ที่ผ่านมานางต้องเสียใจเพราะความโง่เขลาของตัวเองมามากพอแล้ว
หลี่เฟินเยว่เคยเป็นสตรีงามล่มเมืองที่เป็นที่สนใจของคนทั้งเมืองหลวง แม่สื่อจากหลายตระกูลถูกส่งเข้ามาไม่เว้นแต่ละวันแต่เฟินเยว่ก็ไม่เคยตอบรับใครเลย มีเพียงบุรุษผู้นั้นเพียงคนเดียวที่ทำให้หัวใจของนางเต้นแรง หลี่เฟินเยว่ตาบอดเรื่องความรักจนพาครอบครัวมาพบกับจุดจบเช่นนี้
บุรุษเพียงคนเดียวที่หลี่เฟินเยว่ปักใจรักคือท่านอ๋องผู้เป็นพระโอรสของฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน เพราะเหตุผลบางอย่างทำให้นางรักเขาจนหมดหัวใจถึงขนาดต้องทำตัวเป็นสตรีร้ายกาจและถึงเป็นที่รังเกียจนางก็ยอม
“ได้เวลาแล้วนะเจ้าคะคุณหนู”
หลี่เฟินเยว่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็วางของในมือลงที่หน้ากระจกและลุกขึ้นยืน ลาดไหล่บางเหยียดตรงด้วยความทระนง ความผิดที่ถูกยัดเยียดให้แม้จะไม่ได้ก่อต่อให้โดนตัดสินโทษนางก็จะยืดอกตรงและไม่ยอมรับมันเด็ดขาด
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ”
“พร้อมกันแล้วเจ้าค่ะ”
สิ่งเดียวที่เฟินเยว่รู้สึกเสียใจที่สุดคือนางเป็นคนทำให้ครอบครัวต้องมาพบเจอเรื่องร้ายๆเหล่านี้ด้วย ทั้งๆที่ท่านพ่อก็เป็นถึงเสนาบดีกรมพระคลังท่านแม่ก็เป็นบุตรสาวของขุนนางชั้นสูงแต่เมื่อถึงเวลาตกต่ำกลับเหลือคนที่อยู่จะเคียงข้างเพียงไม่กี่คนเท่านั้น อำนาจนั้นมีได้ก็สลายลงได้เช่นกัน ในวันนี้ครอบครัวของเสนาบดีหลี่คงได้รับรู้บทเรียนนี้อย่างสุดซึ้งแล้ว
“ไปกันเถอะ” เรียวขาขาวก้าวออกจากห้องนอน ทุกย่างก้าวลงฝ่าเท้าอย่างหนักแน่น
ถึงคิดไว้แล้วว่าจะไม่ร้องไห้อีกแต่เมื่อได้เห็นบิดามารดาและท่านปู่กับท่านย่าแล้วก็อดที่จะมีหวาดหวั่นไม่ได้ ความรู้สึกผิดทำให้เฟินเยว่มองหน้าพวกเขาอย่างละอายใจ
“เข้มแข็งไว้หลี่เฟินเยว่” หญิงชราที่เห็นหลานสาวสุดที่รักทำหน้าจะร้องไห้ก็เอ่ยเสียงดุ
“เจ้าค่ะท่านย่า” นางลงไปนั่งข้างกันกับมารดา
หลี่ฮูหยินช่วยลูบฝ่ามือของบุตรสาวอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบโยนจิตใจที่บอบช้ำของบุตรสาว เฟินเอ๋อร์ของนางเจอเรื่องร้ายๆมามากพอแล้ว
โชคยังดีที่บุตรชายคนโตไปเรียนที่ต่างเมืองอย่างน้อยสกุลหลี่ก็ยังมีบุตรชายของนางสืบสกุลต่อไปถ้าหากสิ้นทุกคนแล้ว นึกแล้วก็เจ็บใจที่เลี้ยงงูพิษไว้ในบ้านมานานหลายปีจนสุดท้ายก็โดนมันแว้งกัดจนได้
ปัง !
เสียงอึกทึกครึกโครมของทหารหลายสิบคนที่วิ่งเข้ามาล้อมจวนสกุลหลี่ไว้โดยรอบ และตามมาด้วยเสียงถีบประตูบ้านอย่างไม่ให้เกียรติ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคนพวกนั้นคงไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเสนาบดีหลี่ด้วยซ้ำแต่ตอนนี้กลับกล้าหยามกันถึงเพียงนี้
“อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยนะ” เสียงเหยียดหยามของจางหมิ่นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของกรมอาญาผู้เป็นตัวการนำจับคนสกุลหลี่ในวันนี้ หางตาหันไปเห็นหลี่เฟินเยว่ในชุดเจ้าสาวแล้วก็ต้องหลุดหัวเราะออกมา จะโดนประหารอยู่แล้วยังมีอารมณ์มาสวมชุดแต่งงานอีกหรือไงกัน
ถุย !
เสนาบดีหลี่ถุยน้ำลายลงพื้นตรงหน้าคู่อริเขาอย่างเหลืออด ถึงเขาจะรู้ว่าถูกใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรมแต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะถึงกับเอาคู่อริของเขามาเป็นผู้ร่วมขบวนการตัดสินเช่นนี้
“แน่จริงเจ้าก็ลุกขึ้นมาสิเฟยหลง” จางหมิ่นส่งเสียงท้าทายพลางทำหน้าล้อเลียน
“หึ ! ข้าไม่อยากกัดกับหมาบ้าอย่างเจ้า”
“ถึงข้าจะเป็นหมาบ้าแต่ข้าก็ไม่ใช่คนที่คดโกงจนทำให้ชีวิตของทหารหลายพันหลายหมื่นต้องยากลำบากก็แล้วกัน” เขารู้ดีว่าจุดอ่อนของเฟยหลงในตอนนี้คืออะไร
“เจ้ามีหลักฐานหรือไงกันถึงมากล่าวหาข้าเช่นนี้”
“ข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่าเจ้าจะต้องไม่ยอมรับ งั้นก็เอานี่ไปดู ! ” จางหมิ่นโยนม้วนเอกสารบางอย่างไปตรงหน้าของเสนาบดีหลี่
“นี่มัน…ไม่จริงข้าถูกใส่ร้าย ! ”
เสนาบดีหลี่เป็นผู้มีหน้าที่ดูแลจัดการเงินและทรัพย์สินในพระคลัง ซึ่งเขาก็ทำมาได้ดีตลอดจนเมื่ออาทิตย์ก่อนเขาโดนกล่าวหาว่านำอาวุธที่จะส่งไปให้ทหารในสงครามแอบไปขายให้กับแคว้นของศัตรูจนทำให้ทหารของแคว้นตกที่นั่งลำบาก ทหารหลายร้อยคนที่ต้องตายตกไปอย่างน่าเวทนาเพราะไม่มีอาวุธที่จะไปสู้กับศัตรูได้
“เจ้าจะแก้ตัวอย่างไรก็ได้แต่ตราประทับนั่นมันไม่โกหกอย่างแน่นอน”
เป็นดั่งที่จางหมิ่นพูด ในสัญญาซื้อขายนี้มีตราประทับของเขาอยู่แต่เขาไม่เคยเห็นสัญญาพวกนี้มาก่อน
“เอาตัวพวกมันไป !” เสียงตวาดดังลั่นพร้อมกับที่ทหารหลายคนเข้ามาจับกุมพวกเขาไปคุมขังไว้ที่คุกในวังหลวง
“โถ่คุณหนูรองผู้น่าสงสาร ถ้าเจ้าไม่ใฝ่สูงจนเกินตัวครอบครัวของเจ้าก็คงจะไม่ต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้” จางหมิ่นไม่วายที่จะพูดจาซ้ำเติมสนุกปาก
หลี่เฟินเยว่ไม่ได้ให้ความสนใจกับคำพูดของเขา นางทำเพียงแค่นั่งนิ่งเงียบสายตามองไปข้างหน้าเพียงเท่านั้น สุนัขมันจะเห่าก็ให้มันเห่าไปเถิดเต็มที่ก็ทำได้เพียงเท่านี้แหละ นางและทุกคนเตรียมใจมาหมดแล้วไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไรก็ตาม
