บท
ตั้งค่า

บทที่ 13 ดื้อรั้น

บทที่ 13 ดื้อรั้น

ขอบตาดำคล้ำของหลี่เฟินเยว่มันเข้มเสียจนรั่วถงเริ่มหวาดกลัว อาการนอนไม่หลับเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งนางก็มักจะอารมณ์ฉุนเฉียวและตะคอกใส่รั่วถงโดยไม่รู้ตัว

“คุณหนูไปหาท่านหมอเถอะนะเจ้าคะ หรือไม่บ่าวจะตามเขามาให้เองเจ้าค่ะ”

“ไม่เอารั่วถง ส่งพู่กันมาให้ข้า”

เฟินเยว่พยายามแย่งพู่กันมาจากมือของบ่าวคนสนิทด้วยอารมณ์อันขุ่นมัว แค่นี้ก็ปวดหัวมากแล้วยังโดนกวนประสาทอีก

“เชื่อบ่าวเถอะนะเจ้าคะคุณหนู” รั่วถงวางพู่กันลงบนโต๊ะและกอบกุมฝ่ามือของคุณหนูไว้ คุณหนูของรั่วถงผอมลงอีกแล้ว

“เฮ้อ ก็ได้” เฟินเยว่ถอนหายใจยอมแพ้

รั่วถงรีบเดินไปแจ้งพ่อบ้านด้วยความดีใจ คุณหนูของนางก็เป็นเช่นนี้เจ็บป่วยอะไรก็ไม่ชอบพบท่านหมอต้องรอให้ไม่ไหวก่อนถึงจะยอมฟังกัน

ผ่านไปครึ่งชั่วยามท่านหมอก็เข้ามาในห้องของเฟินเยว่เขาจับชีพจรของนางเพื่อตรวจสอบ แต่แล้วก็ส่ายหน้าและขมวดคิ้วชนกัน

“ข้าเป็นอะไรเจ้าคะท่านหมอ” เฟินเยว่ถามเขาด้วยความกังวล

สีหน้าของท่านหมอไม่ค่อยดีนัก จากที่ตอนแรกเฟินเยว่เห็นว่าการตามหมอเป็นเรื่องไร้สาระแต่เหมือนมันจะมิได้เป็นเช่นนั้น

“แม่นางมีความเครียดสะสม เดี๋ยวข้าจะให้ยาบำรุงไว้ ให้ระวังเรื่องอาหารด้วยเผื่อจะกินของแสลงเข้าไป หมั่นสังเกตอาการว่าทานสิ่งใดแล้วมีอาการเช่นนี้อีก”

ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจนักจึงทำได้แค่ให้ยาบำรุงกับกำยานไว้จุดเพื่อเพิ่มความผ่อนคลายไปก่อน

“ขอบคุณท่านหมอมากนะเจ้าคะ”

พอมานึกดูแล้วในชาติก่อนนางก็เคยมีอาการนอนไม่หลับเช่นนี้เหมือนกัน เริ่มจากการผวาตื่นกลางดึกและกลายเป็นนอนหลับได้น้อยลง และมันน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อนอนไม่พอก็เริ่มอารมณ์ฉุนเฉียว นางอารมณ์เสียใส่คนอื่นไปทั่ว ทานอาหารได้น้อยลง ร่างกายเริ่มผ่ายผอม เบ้าตาดำลึกใบหน้าซีดเซียวคล้ายกับซากศพน่าหวาดผวา

หลี่เฟินเยว่คาดว่าอาจจะเป็นเพราะมีเรื่องให้เครียดตลอดเวลาร่างกายนางถึงได้ทรุดโทรมเช่นนี้ หากพักผ่อนก็คงจะดีขึ้นเอง

“อืม ถ้าไม่มีอะไรข้าขอตัวก่อน”

“ขอบคุณมากนะเจ้าคะท่านหมอ” รั่วถงโค้งคำนับเขาด้วยความซาบซึ้ง

รั่วถงเป็นห่วงคุณหนูด้วยใจจริง นางไม่อยากให้คุณหนูต้องเจ็บป่วยแม้แต่น้อย

พอตกเย็นดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงและถูกแทนที่ด้วยจันทร์กระจ่าง กำยานอันใหม่ที่ท่านหมอให้มาถูกรั่วถงจุดและนำไปตั้งไว้ในห้องของเฟินเยว่ และมันก็ได้ผลคืนนั้นหลี่เฟินเยว่นอนหลับทั้งคืนไม่สะดุ้งตื่นอีก

แสงแดดสอดส่องเข้ามาจากบานหน้าต่างในยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านมากระทบกับดวงตาของคนบนเตียงที่กำลังนอนคุดคู้อยู่

“จะปลุกดีไหมนะ” รั่วถงไม่อยากปลุกคุณหนูเลย นางกำลังนอนพักผ่อนอย่างสบายใจแต่นี่ก็สายมากแล้ว

“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นเถอะเจ้าค่ะ”

เมื่อรอจนสายแล้วรั่วถงก็ต้องจำใจปลุกคุณหนูขึ้นมาก่อนที่นายท่านและฮูหยินจะดุนางเสียก่อน

“อื้ออออ” เฟินเยว่พลิกตัวหนีไปอีกฝั่งของที่นอน

“คุณหนูสายแล้วนะเจ้าคะ”

รั่วถงเดินตามไปอีกฝั่งและเขย่าตัวเฟินเยว่เบาๆ สุดท้ายนางก็ลืมมาสบตากับรั่วถง

“ทำไมรีบปลุกจังเลยล่ะรั่วถง” เฟินเยว่ถามเสียงัวเงีย

“สายแล้วเจ้าค่ะคุณหนู นายท่านออกไปทำงานแล้วนะเจ้าคะ”

“ห้ะ ! สายขนาดนั้นเลยหรือ”

“เจ้าค่ะ”

“รีบไปเอาน้ำล้างหน้ามาเร็ว”

เฟินเยว่รีบล้างหน้าและทำกิจวัตรอย่างรวดเร็ว วันนี้นางวางแผนไว้ว่าจะไปเดินที่ตลาดเพื่อผ่อนคลายสักหน่อย อยู่แต่ในบ้านอุดอู้และน่าเบื่อมาหลายวัน

ระหว่างทางก็เจอร้านขายผ้าร้านหนึ่งดูน่าสนใจเฟินเยว่ก็ลากรั่วถงเข้าไปทันที การได้ใช้เงินมักจะให้ความสุขกับเฟินเยว่ได้เสมอ

เมื่อหลี่เฟินเยว่เข้ามาในร้านก็กลายเป็นจุดสนใจทันที ผู้คนต่างขยับถอยหลังหนิบางคนก็ป้องปากซุบซิบนินทา สายตาของเฟินเยว่สบกับดวงตาของสตรีผู้หนึ่งเข้าพอดี นางรีบเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที

“อย่าทำข้านะ” เจียอีรีบยกแขนขึ้นมาป้องไว้ทันทีด้วยความกลัว

เสียงร้องเจียอีหรือบุตรสาวของท่านราชครูเรียกเสียงฮือฮาของผู้คนให้ดังขึ้นมา

“ข้าไม่ได้จะทำอะไรเจ้า ใจเย็นก่อน”

“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร”

หลี่เฟินเยว่รีบยกแขนสองข้างขึ้นมาเพื่อเป็นการบอกว่านางไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใด

“ข้ามีเรื่องสงสัยอยากถามเจ้าสักหน่อย”

“มีอะไรก็ว่ามา” เจียอีตอบเสียงแข็ง นางทั้งกลัวทั้งโกรธเฟินเยว่ เจียอีต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการสะกดกลั้นอารมณ์ไว้

“ไปคุยกันที่อื่นเถิด”

เฟินเยว่ส่งมือไปเพื่อจะจับจูงเจียอี แต่นางกลับถอยหนีอย่างรวดเร็ว จนเฟินเยว่เริ่มรำคาญ

“เจ้าไม่ทำอะไรข้าแน่นะ” นางถามด้วยความลังเล

“มาเถอะ ข้าไม่อยากโดนท่านพ่อโบยอีกหรอกไม่ต้องห่วง”

เจียอียอมเดินตามแรงที่เฟินเยว่จูงไป ถึงแม้จะมีท่าทีขัดขืนแต่สุดท้ายก็ไปถึงภัตตาคารแห่งหนึ่งจนได้

“อยากกินอะไรก็สั่งเลยนะข้าเลี้ยงเอง” เฟินเยว่บอกอย่างใจป้ำและหันไปสั่งอาหารมากมายเกินกว่าที่คนสองคนจะทานไหว

“เจ้าสั่งเยอะขนาดนั้นกินหมดหรือ”

“ถ้าเจ้ากลัวไม่หมดก็กินเยอะๆสิ”

เจียอีโดนเคี่ยวเข็ญมาตั้งแต่เด็กว่าเป็นสตรีต้องทานข้าวแต่น้อยจะปล่อยให้ร่างกายอวบอ้วนไม่ได้เด็ดขาด นางเคยแอบเข้าไปในครัวเพื่อขโมยขนมแค่ชิ้นเดียวยังโดนท่านแม่ทั้งดุทั้งตีจนน่องเขียวช้ำ

“เจ้ามีอะไรจะถามข้าก็รีบถามมาสิ”

เจียอีที่ทนความอยากรู้ไม่ไหวก็เอ่ยเร่งเฟินเยว่ทันทีที่นางสั่งอาหารเสร็จ

“กินก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

หลี่เฟินเยว่ถือคติที่ว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ท้องต้องอิ่มก่อนถึงจะประสบผลดีตามมา

“ข้ากินข้าวมาแล้ว”

“กินไปเถอะน่า”

พวกนางเถียงกันไปมาสักพักอาหารก็มาตั้งบนโต๊ะ กลิ่นหอมอบอวลเรียกความหิวได้เป็นอย่างดี

“ข้าจะชิมสักนิดหนึ่งก็แล้วกัน”

เจียอีคีบอาหารเข้าปากคำเล็กและค่อยๆเคี้ยวเพื่อซึมซับรสชาติของมัน

“กินไปเลยกินให้อิ่มนั่นแหละ” เฟินเยว่ดันกับข้าวไปให้เจียอีทานเพิ่ม

เจียอีลืมตัวไปเสียแล้วว่านางไม่ชอบหน้าเฟินเยว่มาก่อน คนเกลียดกันที่ไหนจะนั่งทานข้าวด้วยกันได้เช่นนี้ แต่อาหารพวกนี้ก็อร่อยมากจริงๆ ไม่มีคนมาคอยห้ามนางไม่ให้กินด้วย

“อิ่มแล้วใช่ไหม”

เมื่อทานกันไปจนรู้สึกอิ่มเฟินเยว่ก็วางตะเกียบและถามคนตรงหน้าด้วยท่าทีสบายๆ

“เจ้ามีอันใดก็ว่ามาเถิด”

“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าเป็นคนจ้างคนไปทำร้ายเจ้า”

เฟินเยว่ไม่คิดอ้อมค้อมนางเข้าตรงประเด็นทันทีที่มีโอกาส

“ก็เจ้าชอบตบตีสตรีทุกคนที่เข้าใกล้ท่านอ๋อง”

“แค่นั้นหรือ”

ถ้าเป็นเพราะเรื่องแค่นี้ที่ทำให้เฟินเยว่ต้องโดนโบยจนลุกเดินไม่ได้ไปหลายวัน นางก็อยากจะกระชากศีรษะคนตรงหน้าแล้วเอามันโขกกับพื้นให้เจียอีได้สติขึ้นมาบ้าง

“มีอีกเหตุผล”

“เหตุผลอะไรเจ้าก็ว่ามาสิชักช้าอยู่ได้”

เฟินเยว่เริ่มส่งเสียฮึดฮัดไม่พอใจขึ้นมาบ้าง สงสัยอาการนอนไม่หลับจะยังไม่หายดีถึงได้อารมณ์ขึ้นๆลงๆเช่นนี้

“น้องสาวของเจ้า นางชื่ออะไรนะข้าจำไม่ได้”

“ฟางเซียนหรือ”

“ใช่ๆฟางเซียน”

“ฟางเซียนนางทำอันใด”

หลี่เฟินเยว่กำลังก่นด่าตัวเองภายในใจ ทำไมนางถึงลืมน้องสาวคนนี้ไปได้กันนะ ไม่ใช่ว่าฟางเซียนเห็นนางไม่ทำอะไรเจียอีจึงลงมือแทนหรอกหรือ

“นางมาขอโทษข้าแทนเจ้า นางถึงกับขอร้องข้าเลยนะว่าอย่าไปเอาเรื่องเจ้าเลย”

“นางพูดอย่างนั้นหรือ”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“แล้วเจ้าก็เชื่อ”

“ข้าก็ต้องเชื่อนางอยู่แล้ว”

“เจ้าไม่ลองคิดดูหน่อยหรือว่าทำไมข้าต้องจ้างคนไปทำร้ายเจ้าถ้าสุดท้ายข้าจะต้องให้นางไปขอโทษแทนอีก”

เฟินเยว่เริ่มมีความจริงจังขึ้น น้ำเสียงของนางเรียบนิ่งทว่าดุดันกว่าปกติ
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel