บทที่ 14 เปิดใจ
บทที่ 14 เปิดใจ
เจียอีไม่ได้ตอบโต้อะไรนางฟังสิ่งที่เฟินเยว่พูดและค่อยๆพิจารณาตามเหตุและผล
“เจ้าก็น่าจะได้ยินมาบ้างว่าที่ผ่านมาข้าเป็นคนลงมือเองตลอดไม่มีเหตุผลอันใดเลยให้ข้าต้องทำเช่นนั้น”
“เจ้าจะบอกว่านางใส่ร้ายเจ้าหรือ”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
เจียอีที่ลองคิดตามดูแล้วก็ได้ข้อสรุปว่ามันดูไม่มีเหตุผลจริงๆที่เฟินเยว่จะทำเช่นนั้น
“เจ้าสาบานกับข้ามาว่าเจ้าไม่ได้ทำ”
“ข้าสาบาน ข้าหลี่เฟินเยว่ไม่เคยส่งคนไปทำร้ายเจียอีเลย แม้แต่ครั้งเดียวก็ไม่เคยทำ”
เฟินเยว่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและชัดเจนมันทำให้เจียอีเชื่อสิ่งที่นางพูดจริงๆ ถึงคำพูดจะโกหกกันได้แต่แววตาของนางโกหกไม่ได้
“งั้นข้าก็ทำให้เจ้าโดนโบยโดยไม่มีเหตุผลงั้นหรือ”
“ช่างมันเถอะข้าเข้าใจ ข้าก็เคยโง่เชื่อนางเหมือนกัน” เฟินเยว่ทำหน้าเหมือนคนที่ปลงกับทุกสิ่งแล้ว
“ข้าขอโทษนะเฟินเยว่ ให้ข้าทำอะไรก็ได้ยกโทษให้ข้าเถอะนะ”
“เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก”
เฟินเยว่เข้าใจดีว่าการโดนหลอกใช้มันเป็นอย่างไร นางไม่คิดโทษเจียอีที่หลงเชื่อคำพูดของฟางเซียน ขนาดตัวนางเองยังเคยหลงเชื่อจนชีวิตต้องพังมาแล้ว
“มีอะไรที่ข้าทำได้เพื่อชดใช้ก็บอกมาเถิด”
ความรู้สึกผิดแล่นเข้ากัดกินหัวใจของเจียอีทันทีที่นางคิดได้ เจียอียังจำได้ดีว่าวันนั้นก่อนจะเดินออกมานางยังหันไปส่งยิ้มสมเพชเฟินเยว่อยู่เลย ต่อให้เจียอีจะไม่ชอบเฟินเยว่เพราะเรื่องของท่านอ๋องแต่นางก็ไม่คิดจะใส่ร้ายจนทำให้อีกฝ่ายต้องเจ็บตัวหนักแบบนี้
“ถ้าเจ้ารู้สึกผิดจริงๆ…”
“แต่อย่าห้ามเรื่องของข้ากับท่านอ๋องเลยนะ”
ยังไม่ทันที่เฟินเยว่จะพูดจบเจียอีก็แทรกขึ้นมาก่อน นางยอมเป็นชายารองก็ได้ขอแค่ได้อยู่ใกล้เขาก็พอ
“เจ้าอยากได้เขาก็เอาไปเถิด” เฟินเยว่พูดราวกับว่านางไม่ใส่ใจ
“จริงหรือ แต่เจ้ารักเขามากจนให้ท่านเสนาบดีไปบีบบังคับฝ่าบาทเลยนะ เจ้าจะยอมยกให้คนอื่นง่ายๆได้อย่างไร”
เจียอีรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่พึ่งได้ยินเมื่อครู่ เฟินเยว่ทำเรื่องร้ายกาจลงไปมากมายเพื่อท่านอ๋อง แล้วอยู่ดีๆนางก็จะตัดใจได้ง่ายๆเช่นนี้เลยหรือ
“ข้าทำเรื่องเลวร้ายต่างๆไปมากมายแล้วเจ้าเห็นหรือไม่เจียอีว่าข้าได้สิ่งใดตอบแทนมาบ้าง” เฟินเยว่ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งถึงจะพยายามไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่แววตาของนางยังคอทอประกายความเจ็บปวดอย่างชัดเจน
เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ควรที่จะปล่อยมันไป สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการหาทางเอาชีวิตรอดต่างหากเล่า
“นั่นก็เป็นเรื่องจริง”
นอกจากท่านอ๋องจะวางท่ารังเกียจนางแล้วเฟินเยว่ยังกลายเป็นที่รังเกียจและสร้างความหวาดผวาให้กับคนอื่นไปทั่วอีกด้วย ขนาดนั่งทานอาหารในภัตตาคารรอบข้างยังแอบลอบมองนางด้วยความหวาดระแวงเลย
เฟินเยว่ไม่เคยทำร้ายคนทั่วไป แต่ก็สร้างความหวาดกลัวให้เจียอีได้ไม่น้อย ถึงจะกลัวแต่เพราะเป็นบุตรสาวของขุนนางรวมกับที่ท่านอ๋องดูจะมีใจให้เจียอีจึงยอมที่จะลองเสี่ยงดู ถ้าทำสำเร็จก็จะได้เป็นพระชายาของท่านอ๋องเชียวนะ หากสำเร้จก็นับว่าคุ้มมากทีเดียว
“ข้าแค่อยากให้เจ้าช่วยแก้ไขเรื่องนี้ให้ถูกต้องเท่านั้น อย่างน้อยบอกความจริงกับพ่อแม่ข้าก็พอ”
“แค่นั้นเองหรือ”
เจียอีกำลังคิดว่าเฟินเยว่นางจะใจดีเกินไปหรือไม่ ถ้าเป็นตัวนางเองคงจะแก้แค้นให้สาสมกว่านี้
“อืม เท่านี้แหละ”
หลี่เฟินเยว่พยักหน้าหนึ่งครั้งเป็นการยืนยัน ได้ผ่านความตายมาหนึ่งครั้งก็ได้เรียนรู้ว่าคนอื่นนั้นไม่สำคัญเลย ขอแค่คนในครอบครัวเข้าใจก็พอแล้ว คนนอกล้วนไม่จำเป็น ใครจะคิดอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกเขา
“เรื่องแค่นี้เอง ข้าจะไปบอกความจริงกับพวกเขาให้นะ”
“ขอบใจเจ้ามาก”
“ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณที่เจ้าไม่คิดถือโทษโกรธข้า”
“ข้าขออวยพรให้เจ้า…”
“พี่รอง ! ” เสียงเรียกราวกับคนร้อนรนพร้อมกับลมหายใจหอบหนักของใครบางคนทำให้เฟินเยว่และเจียอีต้องหันไปมอง
“เจ้ามีอะไรฟางเซียนจะรีบวิ่งมาทำไมกัน”
“พี่รองอย่าทำอะไรแม่นางเจียอีอีกเลยนะเจ้าคะ” ฟางเซียนรีบเดินปรี่เข้าไปด้วยความเร่งรีบ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล
“ข้าจะไปทำเจียอีทำไมกัน” เฟินเยว่พูดด้วยน้ำเสียงเย็น
จะเล่นกันแบบนี้สินะ คิดจะเผยธาตุแท้ออกมาแล้วหรืออย่างไร ครั้งนี้เฟินเยว่คงยอมทำตามบทที่นางเขียนไม่ได้
“พี่รองอย่าทำแบบนี้สิเจ้าคะ ข้าเป็นห่วงไม่อยากให้ท่านโดนท่านพ่อลงโทษอีกหยุดเถิดเจ้าค่ะ”
“นี่ ! ฟางเซียน” เจียอีที่ฟังอยู่ก็แทรกขึ้นมา เรื่องที่เคยได้ยินมาตลอดคงเป็นเรื่องที่นางเข้าใจผิดอีกแล้วสินะ
“แม่นางเจียอีไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ ข้าจะรีบพาพี่รองกลับบ้านเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ” ฟางเซียนคว้าข้อมือของเฟินเยว่และฉุดดึงให้นางลุกขึ้นแต่เฟินเยว่ก็สะบัดมือของนางออก
“ฟางเซียนเจ้าเป็นแค่บุตรสาวของอนุไม่ใช่หรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้กันข้ากำลังช่วยท่านอยู่นะ”
“จวนเสนาบดีหลี่คงใจดีกับอนุมากสินะ บุตรสาวของนางถึงได้กล้าแสดงความเหิมเกริมเช่นนี้ เฟินเยว่นางเป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่แต่เจ้ากลับกล้าทำตัวเทียบนางเช่นนี้ ที่ผู้คนพูดกันว่าเฟินเยว่นางชอบข่มขู่และทำร้ายเจ้าและแม่คงเป็นเรื่องที่เจ้าโกหกขึ้นมาเพื่อให้คนเข้าใจผิดใช่หรือไม่”
“ปล่อยนางไปเถอะเจียอี ข้าคงใจดีกับนางและแม่ของนางมากไปเอง”
เฟินเยว่ได้ทีก็รีบเสริมทัพเล่นบทผู้ถูกกระทำทันที ที่ผ่านมานางพอจะรู้ว่าคนอื่นพูดถึงนางอย่างไร แต่เรื่องที่หาว่ารังแกฟางเซียนนี้นางยังไม่เคยได้ยิน ไม่ใช่ว่าที่คนอื่นหวาดกลัวนางเพราะคิดว่านางทำร้ายคนไปทั่วหรอกนะ แสบจริงๆเลยนะฟางเซียน นี่เจ้าทำอะไรลับหลังข้าไปบ้าง
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ” ฟางเซียนปล่อยมือจากเฟินเยว่ เมื่อถูกต้อนมากขึ้นน้ำตาเม็ดโตก็ผุดขึ้นมาราวกับสั่งได้
“เฮ้อออ ข้าคงต้องกลับแล้วก่อนที่น้องสาวของข้าจะทำให้ข้าดูเป็นคนที่ใจร้ายไปมากกว่านี้ ขอตัวก่อนนะเจียอี” เฟินเยว่ทำท่าทางเหนื่อยหน่ายใจและลุกออกไป
เรื่องของบุตรสาวทั้งสองของเสนาบดีหลี่และบุตรสาวของท่านราชครูกลายเป็นที่สนใจของผู้คนและถูกเล่าต่อๆกัน
บางคนที่เริ่มเอะใจก็คิดได้ ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าเฟินเยว่ส่งคนไปทำร้ายเจียอี ถ้าเป็นเรื่องจริงทำไมพวกนางถึงนั่งรับประทานอาหารด้วยกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ล่ะ
ถึงจะมีคนที่คิดได้แต่ก็ยังมีคนส่วนมากที่เลือกจะเชื่อในสิ่งที่เคยได้ยิน พวกเขาเห็นกับตาว่าหลี่เฟินเยว่ร้ายกาจเพียงใด ที่นางทำตัวดีขึ้นไม่ใช่เพราะเตรียมตัวจะได้ขึ้นเป็นพระชายาของท่านอ๋องหรอกหรือ
“เจ้าไปขอโทษเจียอีแทนข้าทำไมฟางเซียน”
ระหว่างทางกลับบ้านเฟินเยว่ก็ถามน้องสาวเสียงเย็น ทั้งๆที่นางเคยเอ็นดูฟางเซียนมากแท้ๆ
“ข้าไม่อยากให้พี่รองโดนท่านพ่อลงโทษเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ได้ทำแล้วข้าจะโดนลงโทษได้อย่างไร”
“ข้า…คือข้า” ฟางเซียนอ้ำๆอึ้งๆอย่างคนไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร
“เฮ้อ ช่างเถอะ” เฟินเยว่ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจ คาดคั้นไปก็เท่านั้น
ฟางเซียนได้รับการแจ้งข่าวจากบ่าวของนางว่าเฟินเยว่ไปพบเจียอีที่ตลาด ด้วยกลัวความลับจะถูกเปิดเผยฟางเซียนจึงรีบไปหาพวกนางทันที แต่เหมือนมันจะไม่ทันแล้วเจียอีถึงได้มีท่าทีรังเกียจนางเช่นนี้
“พี่รองให้อภัยข้าเถอะนะเจ้าคะ”
เมื่อมาถึงจวนเจียอีก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที น้ำหูน้ำตาไหลพรากผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ นางจับมือของเฟินเยว่และเอ่ยขอร้องอย่างน่าเวทนา
“เลิกทำแบบนี้เสียทีเถอะฟางเซียน”
เฟินเยว่เหนื่อยเกินที่จะมาเล่นละครกับนางแล้ว ขนาดนางที่ต้องแสดงแค่บางครั้งยังเหนื่อยขนาดนี้ แต่กับฟางเซียนที่ต้องเสแสร้งตลอดเวลาไม่เหนื่อยบ้างหรือไงกัน
