บทที่ 12 ตามหาต้นตอ
บทที่ 12 ตามหาต้นตอ
“เจ้ามีอะไรก็เอ่ยมา” หลี่เฟยหลงบอกกับลูกสาวเสียงเข้ม
เฟินเยว่จ้องหน้าเขามานานแล้ว เหมือนนางอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ยอมพูดสักที ลูกคนนี้ชอบทำให้เขาปวดหัวเสียจริง
“ท่านพ่อมีศัตรูกี่คนเจ้าคะ”
นางถามเขาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเหมือนมันเป็นคำถามทั่วไป แต่กลับทำให้เสนาบดีหลี่ต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
“นี่เจ้าจะหาเรื่องให้พ่อปวดหัวอีกแล้วหรือหลี่เฟินเยว่” เขาดุบุตรสาวเสียงเข้ม
ตั้งแต่ที่บุตรสาวของเขาฟื้นขึ้นมาครั้งนั้นนางก็ไม่เหมือนกับเฟินเยว่คนเดิม ทั้งพฤติกรรมที่แปลกไปและการพูดจานี่อีก ไม่ใช่บุตรสาวคนเดิมของเขาสักนิด
“เฮ้อออ ข้าไม่ได้จะมากวนประสาทท่านนะเจ้าคะข้าถามจริงๆ”
แค่ต้องยอมพูดคุยกับเขาทั้งๆที่ยังโกรธอยู่ก็มากพอแล้ว ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าบุตรสาวของเขายังเคืองเขาอยู่
“เจ้าบอกว่าไม่ได้กวนประสาทพ่อแต่คำถามของเจ้านี่มัน…” เขาพยายามนึกคำเพื่อจะพูดดุนางแต่ก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจนางเกินไป
“ข้าถามจริงๆนะเจ้าคะท่านพ่อ ตอบข้ามาเถอะเจ้าค่ะ” เฟินเยว่มีสีหน้าจริงจังมากขึ้น น้ำเสียงของนางก็ไม่ได้เอื่อยเฉื่อยเช่นก่อนหน้า
“พ่อไม่ได้มีศัตรูที่ไหนเสียหน่อย” เขาส่ายหน้าเพื่อเป็นการยืนยัน
“มีสิเจ้าคะ ท่านพ่อลองนึกดู” เฟินเยว่คาดคั้นให้เขาลองตรองดูอีกครั้ง
“อืม…โจวจางหมิ่น”
“ท่านลุงโจวก็เป็นไปได้” เฟินเยว่พึมพำกับตัวเองอย่างใช้ความคิด
“แล้วลูกถามพ่อไปทำไมกัน”
อยู่ดีๆบุตรสาวก็มาถามว่าเขามีศัตรูที่ไหนมีกี่คน นี่คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ยิ่งนางถามก็ยิ่งทำให้เขากังวลมากขึ้น
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะเจ้าค่ะ ท่านพ่อเคยทะเลาะอะไรกับท่านลุงจางหมิ่นหรือเจ้าคะ”
“มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรนะแค่เคยขัดกันเรื่องงานเท่านั้น”
“เรื่องงานหรือเจ้าคะ”
ถ้าเป็นแค่เรื่องงานก็ไม่น่าจะหนักหนาถึงขนาดให้โกรธแค้นกันถึงเพียงนั้น หรือว่าจะเป็นเรื่องใหญ่
“ใช่ พ่อเคยปฏิเสธการเบิกงบประมาณของเขาที่มันดูไม่ชอบมาพากลจนทำให้ตาแก่นั่นไม่พอใจ”
“แค่นี้หรือเจ้าคะ”
“แค่นี้แหละ แค่พ่อทำแค่นี้เขาก็คิดว่าพ่อหาว่าเขาเป็นขุนนางที่คดโกงแล้ว ทั้งๆที่พ่อไม่เคยพูดเลยสักคำ”
การอนุญาตเบิกงบหรือปฏิเสธเป็นเรื่องปกติของหน้าที่เขาอยู่แล้ว แต่กับจางหมิ่นคนผู้นั้นคงจะรู้สึกเสียหน้าจนพาลเกลียดเขา การมาทำหน้าที่ตรงนี้ทำให้เขาสร้างความไม่พอใจให้คนอื่นอยู่บ้างแต่มันก็จำเป็นต้องทำ
“แล้วมีคนอื่นอีกไหมเจ้าคะ”
“แล้วก็มีเสนาบดีซุน”
“หึ ! ” แค่ได้ยินชื่อเขาเฟินเยว่ก็เบะปากทันที คนกิริยาต่ำช้าเช่นนั้นแค่ได้ยินชื่อก็แสลงหูแล้ว
“ไม่ต้องมาทำหน้าเช่นนั้นเลย เป็นเพราะเจ้านั่นแหละทำให้พ่อมองหน้าเขาไม่ติด”
“มันเกี่ยวอะไรกับข้าเล่าเจ้าคะ” เฟินเยว่เริ่มโวยวายขึ้นมา มันไม่เกี่ยวกับนางสักหน่อย ท่านพ่อนั่นแหละคงไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจ
“เขาโกรธเคืองพ่อก็เพราะเรื่องของเจ้าไงเล่าเฟินเยว่”
“อย่างนี้นี่เอง”
“เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือ”
“รู้เจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ขอรับไว้”
หลี่เฟยหลงอยากจะเอาศีรษะโขกโต๊ะเสียตอนนี้เลย บุตรสาวที่เขาเฝ้าเลี้ยงดูแลมาอย่างดีวันนี้นางกลับกลายเป็นสตรีเช่นนี้ไปแล้ว สวรรค์ได้โปรดอภัยให้ความผิดพลาดของข้าด้วยเถิด
“แต่ถึงอย่างไรก็ต้องทำงานด้วยกันอยู่ดี ถึงเขาจะพูดจาไม่ดีไปบ้างแต่ก็ไม่เคยทะเลาะกันใหญ่โตอะไร”
“แล้วไม่มีคนอื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
“พ่อว่าไม่น่าจะมีแล้วนะ”
“งั้นข้าไปแล้วนะเจ้าคะ” เฟินเยว่ไม่คิดจะรั้งรอ สอบถามเสร็จแล้วก็ขอตัวกลับ
“เดี๋ยวก่อนสิเฟินเยว่” เสนาบดีหลี่คว้าข้อมือของบุตรสาวไว้ก่อนที่นางจะหนีไป นางหลบหน้าเขามาหลายวันได้มีโอกาสเจอกันเขาก็ควรจะกล่าวอะไรกับนางสักคำ
“มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“แผลหายเจ็บแล้วหรือยังลูก” น้ำเสียงของเขาอ่อนลงเมื่อพูดถึงสิ่งที่ติดอยู่ในใจมาหลายวัน
“ไม่รู้สิเจ้าคะ” นางส่ายหน้าพร้อมกับใบหน้าที่เฉยชาเมื่อรู้สึกเหมือนเขากำลังสะกิดบาดแผลในใจ
คนอื่นอาจจะมองว่านี่เป็นเรื่องเล็กที่บิดามารดาจะลงโทษบุตรสาว แต่กับเฟินเยว่มันไม่ใช่ คนพวกนั้นไม่มีหลักฐานอะไรสักอย่างนอกจากคำพูดแต่ท่านพ่อก็ยังเชื่อ แล้วทำไมเขาถึงไม่เชื่อคำพูดของนาง
“ให้พ่อเรียกหมอมาดีหรือไม่”
“ไม่จำเป็นเจ้าค่ะ”
“โกรธพ่อเพียงนั้นเลยหรือ”
สิ่งนี้ติดค้างในใจเสนาบดีหลี่คนมาหลายวัน ใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาของบุตรสาวยังติดอยู่ในความทรงจำ เขาไม่สามารถปัดมันทิ้งไปได้
“ท่านพ่อลองคิดถึงความรู้สึกของข้าหรือยังเจ้าคะ แค่สักนิดก็ยังดี” น้ำเสียงของเฟินเยว่เริ่มสั่นคลอน ความน้อยอกน้อยใจกระตุ้นหยาดน้ำตาจนมันล้นขอบหน่วย
“พ่อขอโทษนะลูก”
ไม่ง่ายนักที่คนเป็นบิดาจะเอ่ยขอโทษบุตรสาว ถ้าเป็นจวนอื่นคงไม่มีใครทำกันเช่นนี้ และนางก็รู้ว่าเขาแค่อยากพูดให้มันจบไปเท่านั้น
“แค่ขอโทษมันไม่ได้ช่วยอะไรหรอกเจ้าค่ะ” เฟินเยว่กระชากข้อมือออกจากการจับกุมของบิดา นางพยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ ไม่ใช่เวลาที่จะมาแสดงความอ่อนแอในตอนนี้
“แต่เจ้าทำผิด ถ้าพ่อไม่ทำเช่นนี้เจ้าอาจจะโดนมากกว่านี้”
“ข้าทำผิดจริงๆหรือเจ้าคะ” หลี่เฟินเยว่กัดฟันถามอย่างยากลำบาก
ไม่มีลูกคนไหนอยากโกรธบิดามารดา ไม่มีลูกคนไหนอยากทำกิริยาแบบนี้กับคนเป็นพ่อเป็นแม่ แต่เฟินเยว่ไม่อาจห้ามความรู้สึกของนางได้
น้ำตาไม่รักดีมันก็คอยจะไหลลงมาเรื่อยๆเฟินเยว่จึงกำมือให้แน่นขึ้นเพื่อระบายความรู้สึกทั้งหมดลงไปที่บริเวณนั้น
“ก็พวกเขาบอก…”
“ข้าก็บอกท่านพ่อเช่นกันว่าข้าไม่ได้ทำ”
เสนาบดีหลี่ยังไม่ทันที่จะพูดจบหลี่เฟินเยว่ก็แทรกขึ้นมาก่อน มันทำให้เขาต้องชะงักไป
เสนาบดีหลี่พึ่งรับรู้ได้ว่าตั้งแต่ที่เกิดเรื่องวันนั้นบุตรสาวของเขาไม่เคยยอมรับผิดเลย มีแต่เขาที่ใช้อารมณ์ตัดสินนางในตอนนั้น
“เจ้าไม่ได้ทำจริงๆหรือ”
“…”
หลี่เฟินเยว่หมดคำจะพูดกับบิดาของนาง ขนาดยืนยันขนาดนี้แล้วยังไม่เชื่อกันก็คงไม่มีเหตุผลให้ต้องสนทนากันต่อ
“นั่นเจ้าจะไปไหน เฟินเยว่ ! หลี่เฟินเยว่ ! ” เขาตะโกนตามหลังลูกสาวที่เดินหนีไปแบบไม่พูดอะไรสักคำ
หลี่เฟยหลงเริ่มสับสนกับความคิดของตัวเอง ต่อให้ที่ผ่านมาเฟินเยว่จะมีนิสัยไม่ดีอย่างไรแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่านางจะเป็นแบบนั้นตลอดไป แล้วถ้านางไม่ได้ทำจริงๆล่ะบุตรสาวของเขาจะต้องเสียใจขนาดไหนกัน
หลี่เฟินเยว่เดินปรี่กลับไปที่ห้องของตัวเองโดยไม่สนใจเสียงใครอีก นางปิดประตูและขังตัวเองไว้ในนั้น
“คุณหนู…” รั่วถงเรียกเฟินเยว่เสียงเบา คุณหนูของรั่วถงในตอนนี้ดูเป็นคนที่ตัวเล็กลงมากเลย จิตใจของนางคงบอบช้ำเกินทน
“ข้าขออยู่เงียบๆนะรั่วถง”
หลี่เฟินเยว่ขึ้นไปนอนคลุมผ้าห่มมิดชิดร้องไห้คนเดียวบนเตียง ผ้าห่มสั่นสะเทือนไปตามแรงสั่นของเฟินเยว่ รั่วถงทำได้แค่คอยเฝ้าอยู่ใกล้ๆเท่านั้น
“นอนพักนะเจ้าคะ”
รั่วถงช่วยดึงผ้าห่มที่ปิดหน้าลงมาเมื่อรู้สึกว่าผ้าห่มที่เคยสั่นสงบลงไปแล้ว คุณหนูของนางร้องไห้จนผล็อยหลับไป
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายที่เฟินเยว่ร้องไห้เหนื่อยจนเผลอหลับเพราะหลายคืนที่ผ่านมานางนอนไม่ค่อยหลับเลย จริงๆก็เหมือนจะเป็นมานานแล้วแต่ช่วงนี้เหมือนมันหนักขึ้น คงเป็นเพราะนางมีเรื่องเครียดมากพอตัว
