บทที่ 11 เข้าเฝ้าไทเฮา
บทที่ 11 เข้าเฝ้าไทเฮา
แรกเริ่มเดิมทีเสนาบดีซุนไม่ได้มีท่าทีรังเกียจเฟินเยว่เช่นนี้ มันเริ่มตั้งแต่ที่นางบังคับให้บิดาไปร้องขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท หลังจากนั้นทุกอย่างก็แย่ลงเรื่อยๆ
การเจอคนกระทำกิริยาต่ำทรามใส่ทำให้เฟินเยว่อารมณ์ขุ่นมัวอยู่บ้างแต่นางก็ต้องปั้นหน้ายิ้มเมื่อใกล้จะถึงที่หมายแล้ว
“เฟินเอ๋อร์มาให้ย่ากอดหน่อยเร็ว”
เมื่อได้เห็นหน้าสตรีที่ไทเฮานับว่าเป็นหลานสาวคนหนึ่งนางก็ร้องเรียกและอ้าแขนเพื่อรอรับอ้อมกอดของเด็กสาวทันที
“สบายดีนะเพคะ”
“ย่าแก่แล้วก็ต้องมีเจ็บป่วยเป็นธรรมดา เห็นเขาเล่ากันว่าเจ้าโดนโบยจนเดินไม่ได้เป็นอย่างไรบ้าง”
ไทเฮาจับตัวเฟินเยว่หมุนไปมาเพื่อหาร่องรอยบาดแผล เมื่อเห็นรอยแผลจางๆก็มีใบหน้าที่เหยเก
“พ่อของเจ้ารุนแรงเกินไปแล้วย่าคงต้องเรียกเขามาสั่งสอนเสียหน่อย”
“อย่าทรงลำบากเลยเพคะ หม่อมฉันไม่ดีเองทำให้ท่านพ่อต้องหนักใจ”
“โดนเขาตีเจ็บขนาดนี้ยังไปเข้าข้างเขาอีกหรือ”
“เปล่าเพคะ” เฟินเยว่ไม่อยากทำให้เรื่องมันลุกลามไปมากกว่านี้ โดนตีไปแล้วก็แล้วกันไป
“เฮ้อออ เจ้าก็ทำตัวดีๆหน่อยเถิด” ไทเฮาทรงถอนลมหายใจยาวเหยียดอย่างอ่อนใจกับเด็กสาวผู้นี้ ดื้อรั้นเสียจริง
“หม่อมฉันจะพยายามเพคะ” เฟินเยว่รับปากแต่จะทำตามได้หรือไม่ก็คงต้องรอดูกันต่อไป
“ทานขนมสักหน่อยสิย่าให้พ่อครัวทำให้เจ้าเป็นพิเศษเลยนะ”
“ขอบพระทัยเพคะ”
หลี่เฟินเยว่ดวงตาลุกวาวเมื่อได้เห็นขนมหลากชนิด ขนมที่บ้านก็เยอะแต่มันไม่ใช่แบบนี้นี่นา
มือบางหยิบขนมขึ้นมาชิมทีละชิ้นและค่อยๆเคี้ยวให้ความหวานมันชุ่มฉ่ำไปทั่วทั้งปาก เมื่อเคี้ยวจนหมดก็หยิบชิ้นถัดไปขึ้นมาอย่างหยุดมือไม่ได้
“รสดีใช่หรือไม่” ไทเฮาถามเฟินเยว่เสียงนุ่ม แววตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู
“รสชาติดีมากเพคะ” เฟินเยว่รีบกลืนและตอบอีกฝ่ายไปทันที
“ถ้าอย่างนั้นย่าจะให้นางกำนัลนำไปส่งที่จวนของเจ้า”
“ขอบพระทัยเพคะ” เฟินเยว่ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงตัวสวย นานๆจะได้กินสักทีนางไม่คิดจะปฏิเสธ
“ว่างๆก็มาหาย่าบ้างสิ คนแก่อยู่คนเดียวมันเหงานะเฟินเอ๋อร์” น้ำเสียงของไทเฮาเจือไปด้วยความน้อยใจอยู่เต็มเปี่ยม พัดในมือโบกสะบัดไปมา
“หม่อมฉันมิบังอาจหรอกเพคะ คนอื่นไม่ชอบขี้หน้าหม่อมฉัน เมื่อครู่ยังโดนท่านเสนาบดีซุนดุอยู่เลยเพคะ” ได้ทีเฟินเยว่ก็รีบฟ้องทันที
“เขาก็เป็นเช่นนี้ แค่ขี้บ่นไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”
“ไม่ใช่หรอกเพคะ เขาไม่ชอบหม่อมฉันต่างหาก”
หลี่เฟินเยว่สนิทใจกับไทเฮาพอสมควร อาจจะตั้งแต่นางเด็กๆเลยด้วยซ้ำ ตำหนักแห่งนี้เคยเป็นที่วิ่งเล่นของหลี่นางในวัยเด็กมาก่อน
“อย่าเสียใจไปเลย” เมื่อนางไม่คิดจะฟังไทเฮาก็เปลี่ยนเป็นปลอบประโลมนางแทน เสนาบดีซุนก็เป็นเช่นนี้มักจะกล่าวในสิ่งที่คิดเสมอ นิสัยนี้แก้ไม่หายตั้งแต่เด็กจนแก่
“หม่อมฉันไม่เสียใจหรอกเพคะ แค่ไม่อยากเจอเขามากกว่า”
“ก็ใช่ว่าจะได้เจอบ่อยๆไม่ใช่หรือ” ไทเฮาถามพลางเลิกคิ้วสูง ทั้งญาติผู้น้องและเด็กคนนี้ต่างก็เป็นคนเอาแต่ใจกันทั้งคู่
“เพคะ” เฟินเยว่พยักหน้าช้าๆ
ไม่ใช่แค่เพราะไม่อยากเจอท่านเสนาบดีซุน เฟินเยว่ยังไม่อยากเจออีกหลายคนเลยล่ะรวมทั้งท่านอ๋องด้วย
ภาพขุนนางหลายสิบคนที่นั่งดูนางและครอบครัวโดนประหารในวันนั้นยังคงคอยหลอกหลอนเฟินเยว่ตลอดจนนางมักจะตื่นกลางดึก
เฟินเยว่อยู่ในตำหนักของไทเฮาได้หนึ่งชั่วยามก็ถึงเวลาที่พระองค์จะต้องพักผ่อนแล้ว นางจึงขอตัวลากลับจวน ระหว่างทางเดินขากลับก็ยังโดนจ้องมองจากสายตาหลายสิบหลายร้อยคู่อยู่ดี ไม่เคยเห็นคนสวยกันหรือไง
ด้วยความเร่งรีบเฟินเยว่เดินก้มหน้าก้มตาอย่างเดียวจนไม่ทันรู้ตัวป้ายประจำตัวก็หล่นไปอยู่ที่พื้น
“แม่นาง” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกนางไว้ทำให้เฟินเยว่ต้องหยุดฝีเท้าและหันกลับไปมอง
“…”
เฟินเยว่ขมวดคิ้วด้วยความข้องใจ เขาเรียกนางไว้แล้วทำไมถึงไม่พูดอะไรล่ะ ไม่ไดรู้จักกันเสียหน่อย
“มีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ” สุดท้ายเฟินเยว่ก็ตัดสินใจถามเขา นางจะได้รีบกลับจวนเสียที
“เอ่อ…เจ้าทำป้ายตก” เขาก้มหยิบป้ายประจำตัวของนางที่พื้นขึ้นมาและยื่นให้นางไป
“รับไปสิ”
“ขอบคุณนะเจ้าคะ” หลี่เฟินเยว่ได้แต่ว่ากล่าวตัวเองในใจถึงความซุ่มซ่ามของนาง คนเขาอุตส่าห์ช่วยยังมีหน้าไปทำกิริยาไม่งามกับเขาอีก
“ไปกันเถอะขอรับคุณชาย” เสียงคนที่ยืนข้างหลังของเขาเอ่ยเรียก
“ไม่ไปหรือเจ้าคะ”
เขายังยืนจ้องหน้าเฟินเยว่จนนางต้องเรียกสติให้กลับมา
“เดินทางปลอดภัยนะ”
เฟินเยว่ส่งยิ้มการค้าไปให้เขาหนึ่งครั้งเป็นการขอบคุณ ที่นี่มีแต่คนแปลกๆทั้งนั้น ช่างรับมือยากเสียจริง
“คุณชายชอบแม่นางผู้นั้นหรือขอรับ”
“เจ้าไม่ต้องพูดมาก” ซื่อเหลียนส่งเสียงดุและตบศีรษะของคนสนิทไปหนึ่งครั้ง
ใบหน้าของนางยังคงตราตรึงภายในใจ ซื่อเหลียนไม่เคยใจเต้นแรงกับสตรีคนไหนขนาดนี้มาก่อนเลย นางเป็นใครกันทำไมถึงได้มีรูปโฉมงดงามเช่นนี้
“เจ้ารู้ไหมว่านางเป็นใคร”
“…”
“ไม่รู้หรือ” เขาเลิกคิ้วสูงด้วยความข้องใจ อี้ชวนแทบจะรู้จักคนทั้งเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ สตรีที่งดงามขนาดนี้ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้จัก
“รู้จักขอรับ”
“แล้วทำไมไม่พูด”
“ก็เมื่อครู่คุณชายสั่งไม่ให้พูดนี่ขอรับ” อี้ชวนตอบเขาพร้อมกับทำหน้าตาใสซื่อ แต่มันทำให้ซื่อเหลียนหมั่นไส้เขามากกว่า
“เจ้ารีบไปเลยก่อนที่ข้าจะโมโหมากไปกว่านี้”
แค่ได้ยินคำขู่อี้ชวนก็รีบก้าวขาด้วยความรวดเร็วทันที
เมื่อกลับมาถึงจวนหลี่เฟินเยว่ก็คิดที่จะเริ่มวางแผนใหม่อีกครั้ง หลังจากนี้เรื่องราวคงเปลี่ยนไปจากชาติที่แล้วไม่น้อย หรืออาจจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว
“รั่วถง”
“เจ้าคะคุณหนู”
“ท่านพ่อมีศัตรูเยอะหรือไม่”
“บ่าวไม่ทราบเลยเจ้าค่ะ แต่ถ้าเป็นศัตรูของคุณหนู…” รั่วถงเว้นช่วงลมหายใจเพื่อดูสีหน้าของเฟินเยว่
“ศัตรูของข้าหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ เต็มไปหมดเลยเจ้าค่ะ” รั่วถงพยักหน้ารัว คุณหนูเที่ยวไปสร้างศัตรูไว้จนจำไม่ได้แล้วว่ามีใครที่อยู่ฝั่งเดียวกับนางบ้างนอกจากคนในสกุลหลี่
“ข้าถามถึงศัตรูของท่านพ่อไม่ใช่ของข้า” เฟินเยว่บ่นแกมดุเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้จริงจังมากนัก
“ศัตรูของนายท่านก็ไม่น่ามีนะเจ้าคะ”
รั่วถงพยายามนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก นายท่านเป็นขุนนางที่ดีมากเลยทีเดียวเขาจะไปมีศัตรูที่ไหนกัน
“มีสิ เราแค่ไม่รู้ว่าเขาคือใครต่างหาก”
หลี่เฟินเยว่พยายามนึกว่าใครที่เป็นศัตรูของท่านพ่อและมีอำนาจพอที่จะเร่งรัดกระบวนการยุติธรรมได้ คงไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว
“ถ้าคุณหนูอยากรู้ทำไมไม่ไปสอบถามนายท่านล่ะเจ้าคะ” รั่วถงถามด้วยความสงสัย ศัตรูของนายท่านก็ต้องถามนายท่านสิ เขาน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุด
“เฮ้อออ ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น” เฟินเยว่ถอนหายใจยาวเหยียด
“คุณหนูอย่าถอนหายใจบ่อยสิเจ้าคะ เดี๋ยวก็หน้าแก่กันพอดี”
“ไปๆ ไปไหนก็ไปเลยไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง” เฟินเยว่เริ่มนึกรำคาญรั่วถงจึงไล่นางไป
ครั้นจะไปถามท่านพ่อก็ไม่อยากเจอหน้าเขาอีก ความโกรธเริ่มจางหายลงแล้วแต่เฟินเยว่ก็ยังทำใจมองหน้าเขาได้ยากอยู่ดี ถ้านางทำผิดจริงคงไม่รู้สึกแย่ถึงเพียงนี้
“หรือว่าจะเป็นท่านอ๋อง” เฟินเยว่พึมพำกับตัวเองอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า ถ้ามีคนมาเห็นคงคิดว่านางเสียสติไปแล้ว
ถึงนางจะสร้างศัตรูไว้มากมายแต่มันไม่มากพอถึงขนาดให้คนเหล่านั้นโค่นล้มสกุลของนางได้ สาเหตุของเรื่องนี้มันต้องหนักหนามากกว่านั้นสิ
“มัวแต่นั่งคิดอยู่แบบนี้ก็คงไม่ได้คำตอบ”
สุดท้ายเฟินเยว่ก็ตัดสินใจว่าจะไปหาบิดาของนางเพื่อสอบถามความจริง