บทที่3
แก๊ก แอด
ประตูไม้สักบานใหญ่ถูกแกะสลักลวดลายให้เป็นรูปมังกรค่อย ๆ ถูกเปิดออก สายตาของผู้คนที่อยู่ภายในมองไปยังร่างเล็กของผู้มาใหม่ ทุกคนต่างแสดงสีหน้าเรียบนิ่งซึ่งใบหน้าพวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่พิงค์ไวท์เห็นมาตั้งแต่จำความได้
ไม่มีรอยยิ้มแสดงความดีใจ ไม่มีแม้แต่อ้อมกอดอันแสนอบอุ่น
"สวัสดีค่ะ"
"มาแล้วเหรอ"
"ค่ะ ป๊า"เฟยหลงเงยหน้ามองลูกสาวคนเล็กด้วยแววตาเรียบนิ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไร
"มาให้อากงกอดลื้อหน่อยสิหมวยเล็ก"เด็กสาวพยักหน้า เดินเข้าไปหาอากงเพื่อสวมกอดท่าน
"เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม"
"หนูสบายดีค่ะ แล้วอากงล่ะคะ"
"ก็สบายดีตามประสาคนแก่นั่นแหละ"สองปู่หลานดันร่างออกจากกัน ก่อนจะพานั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่
"ไม่ได้เจอกันนาน ทำไมหลายสาวของอากงถึงได้ผอมแห้งแบบนี้ล่ะ ดูสิ ไม่มีน้ำมีนวลเหมือนเมื่อก่อนเลย"ชายชราไล่สายตามองรูปร่างของหลานสาวคนสุดท้องพลางใช้ฝ่ามือสัมผัสไปตามท่อนแขนเรียวติดผอมแห้งของเธอ
"เรียนหนักหรืออาหมวย"
"ค่ะ"พิงค์ไวท์พยักหน้ารับ ก่อนเธอจะหันไปส่งยิ้มบาง ๆ ให้กับพี่ชายคนโตและพี่สาวคนรองซึ่งกำลังมองมาเพื่อเป็นการทักทาย
"จะเป็นไปได้ยังไง คณะบริหารที่ป๊าของลื้อเลือกให้ลื้อเรียนมันง่ายมากสำหรับลื้อไม่ใช่เหรอ"
"มันจะไม่หนักได้ยังไงล่ะครับป๊า ในเมื่อหลานสาวของป๊าไม่ได้เรียนตามที่ผมสั่ง"
ปึก
เอกสารหลายสิบใบถูกฟาดลงบนโต๊ะตัวตรงกลางอย่างรุนแรงด้วยอารมณ์โทสะที่พุ่งสูงในใจของบิดา
"ป๊าสั่งหมวยแล้วใช่ไหม ว่าให้ลงเรียนบริหารแล้วนี่มันคืออะไร"ริมฝีปากสวยของพิงค์ไวท์เม้มเข้าหากันแน่น เมื่อเธอเห็นรูปถ่ายและตารางการเรียนและการใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนอก
โกหกใครไม่ได้แล้วสินะ
"สถาปัตยกรรม หมวยกล้าขัดคำสั่งป๊า ทั้งที่ป๊าเคยสั่งแล้วใช่ไหมว่าให้เรียนบริหาร หรือไม่ก็หมอ"
"แต่หมวยไม่ชอบ หมวยไม่ได้อยากเรียนบริหารป๊าเข้าใจไหม"
"ป๊าไม่เข้าใจ"ร่างสูงใหญ่หยัดกายลุกขึ้น ดวงตาแดงก่ำมีความเสียใจและผิดหวังอยู่ในนั้นกำลังจ้องมองหน้าลูกสาวที่อวดดีกล้าปีแข็งใส่เขา
"ป๊าไม่เข้าใจว่าทำไมหมวยถึงต้องคอยเอาแต่ขัดคำสั่งของป๊า หมวยดูพี่ ๆ ทั้งสองเป็นตัวอย่างสิ ทั้งเฮียทั้งเจ้ไม่มีใครคิดกล้าที่จะขัดคำสั่งของป๊าเลยสักคน มีแต่หมวยคนเดียวที่ไม่เคยคิดที่จะฟังคำสั่งของป๊าเลย"
"แต่นี่มันชีวิตของหมวย"
"แต่หมวยเป็นลูกสาวของป๊า"เฟยหลงตวาดเสียงดังท่ามกลางสายตาของคนในครอบครัวซึ่งกำลังมองสองพ่อลูกถกเถียงกันเสียงดังลั่นอย่างไม่มีใครยอมใคร
พิงค์ไวท์หยัดกายลุกขึ้นจ้องหน้าผู้เป็นพ่อทันที สีหน้าของเธอแดงก่ำไม่ต่างอะไรจากแววตาในตอนนี้ที่มีแต่ความเสียใจ
"ขอบคุณนะคะที่ป๊ายังคิดว่าหมวยคือลูก ขอบคุณนะคะที่ป๊ายังคิดว่าหมวยคือคนในครอบครัว ไม่ใช่นักโทษของป๊า ที่ป๊าคิดจะชี้นิ้วสั่งให้ทำอะไรตอนไหนก็ได้"
ตึก ตึก ตึก
ฝ่าเท้าเล็ก ๆ วิ่งออกไปจากห้องรับแขกท่ามกลางสายตาของคนทั้งสี่ที่ได้แต่มองตามแผ่นหลังเล็กของพิงค์ไวท์ซึ่งกำลังวิ่งออกไปด้วยความเสียใจ
ใบหน้าของเฟยหลงซีดลงถนัดตาเมื่อเห็นลูกสาวร้องไห้พลางใช้ฝ่ามือเช็ดน้ำตาก่อนจะวิ่งออกไป
"เรส ไปดูน้องหน่อย"
"ค่ะ อากง"ร่างสูงโปร่งของหญิงสาวลุกขึ้นก่อนจะก้าวขาเดินออกไป ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นบิดาจะนั่งลงบนโซฟาด้วยความอ่อนแรง
"แบล็ก ไปดูแม่บ้านให้อากงหน่อยว่าจัดงานไปถึงไหนแล้ว"
"ได้ครับ"ชายรูปร่างสูงใหญ่ในวัยสามสิบโค้งคำนับก่อนจะเดินออกไป ปล่อยให้อากงกับบิดาได้มีเวลาส่วนตัว
"เฟยหลงลื้อพูดกับลูกแรงไปนะ ทั้งที่อาหมวยพึ่งจะกลับมาถึงเหนื่อย ๆ ลื้อไม่ควรพูดแบบนี้กับลูก"ผู้เป็นบิดาเอ็ดลูกชายเพียงคนเดียว แม้ครอบครัวของเขาจะคุมเข้มเรื่องการใช้ชีวิต แต่หลานสาวคนสุดท้องยังเล็กและยังตั้งรับกับเรื่องพวกนี้ไม่ได้และมันก็ไม่ควรที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
"ผมขอโทษครับป๊า ผมก็แค่"
"คนที่ลื้อสมควรขอโทษคืออาหมวย อั๊วรู้นะว่าลื้อโกรธที่อาหมวยไม่ได้เรียนคณะที่ลื้อคาดหวังเอาไว้ แต่นั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ไม่ใช่เหรอ"เฟยหลงหันหน้าไปมองบิดาของตัวเอง แม้อายุจะเข้าใกล้เลขแปดแต่เสือร้ายก็ย่อมเป็นเสือร้ายไม่มีทางที่จะถอดเขี้ยวเล็บออกง่าย ๆ
"ป๊าพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง"
"ในเมื่อเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่เราก็สามารถสร้างปัจจุบันขึ้นมาใหม่ได้นี่ จริงไหม"สองเสือร้ายมองหน้าสบตากันอย่างมิได้นัดหมาย
ฮึก
เสียงสะอื้นร้องไห้ดังขึ้นภายในห้องนอนของหญิงสาว ใบหน้าหวานมีน้ำตาหลั่งไหลแต่มันก็ไม่ได้กลบความสวยของหญิงสาวลงได้
"แม่ขา พิงค์คิดถึงแม่"เจ้าหญิงองค์น้อยคร่ำครวญหามารดา ถ้ามารดาของเธอยังมีชีวิตอยู่ตอนนี้เจ้าหญิงองค์น้อยที่กำลังพบกำความเสียใจคงจะได้รับอ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่น
"พิงค์ผิดมากเลยเหรอคะ ฮึก ทำไมป๊าไม่เข้าใจพิงค์เลย"
"..."
"พิงค์ทำผิดมากเลยเหรอคะที่พิงค์ไม่ทำตามคำสั่งของป๊า ไม่ได้เรียนคณะที่ป๊าต้องการ"
แกร๊ก
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกดึงสายตาของใบหน้าสวยให้หันไปมอง ร่างสูงโปร่งดั่งนางแบบของพลอยทับทิมเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ในมือของเธอถือสิ่งที่เรียกว่ากุญแจสำรองเอาไว้
"เจ้ขา"
"อย่าร้อง"โทนเสียงเรียบดังขึ้นแม้มันจะฟังดูเรียบนิ่ง แต่แววตาของพลอยทับทิมยามเมื่ออยู่กับน้องสาวมันช่างแตกต่างจากคนอื่น
สองเท้าเดินเข้ามาใกล้ก่อน'พลอยทับทิม'จะนั่งลงบนเตียงนอนหลังใหญ่ข้างกายของน้องสาวซึ่งกำลังนั่งกอดกรอบรูปของมารดาไว้
ใบหน้าของหญิงสาวชาวไทยในอ้อมแขนของเธอโอบกอดลูกน้อยทั้งสามเอาไว้ด้วยความรักและจิตวิญญาณของความเป็นแม่
"แม่คงดีใจที่พิงค์เรียนจบ"น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยขึ้นก่อนใบหน้าเรียบนิ่งจะหันไปมองน้องสาว
"เหมือนกับเจ้ที่ดีใจที่เห็นพิงค์เรียนจบ"
"ฮึก เจ้"น้องสาววางกรอบรูปถ่ายของมารดาก่อนจะโผเข้ากอดพี่สาว
"เจ้กับเฮียยินดีด้วยนะที่พิงค์ประสบความสำเร็จ สามารถเรียนจบในสิ่งที่พิงค์ใฝ่ฝันเอาไว้ได้"
"แต่ป๊า ฮึก ป๊าไม่ชอบ ป๊าโกรธพิงค์ ป๊าไม่รักพิงค์แล้ว"
"รักสิ"ฝ่ามือของพี่สาวลูบลงบนศีรษะของน้องสาวอย่างแผ่วเบา แววตายากจะคาดเดาเหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่าง
"ป๊ายังรักพิงค์ ทุกคนในที่นี้ต่างหวังดีกับพิงค์รู้ไหม"หญิงสาวในอ้อมกอดส่ายหน้าไปมาก่อนพิงค์ไวท์จะดันตัวออกจากอ้อมแขนของพี่สาว
"พิงค์รู้ว่าทุกคนหวังดี แต่บางสิ่งที่ป๊ากับอากงหยิบยื่นมาให้พิงค์ไม่ต้องการ"
"..."
"พิงค์ไม่ชอบในสิ่งที่อากงกับป๊าทำ ทำไมพวกเราถึงต้องเดินอยู่ในกรอบที่ป๊ากับอากงวางเอาไว้ ทำไมคะเจ้"
"เพราะเจ้กับเฮียเต็มใจที่จะเป็นแบบนี้"
"จะ...เจ้"
"ทุกสิ่งที่เจ้กับเฮียทำมันคือความเต็มใจ มันไม่ใช่การถูกบังคับ"น้องสาวคนสุดท้องส่ายหน้าไปมาเมื่อได้ฟังคำพูดของพี่สาวคนรอง
"หยุดร้องไห้แล้วก็หยุดพูดถึงเรื่องนี้ได้แล้ว"ฝ่ามือของพี่สาวช่วยบรรจงเช็ดน้ำตาออกจากบนใบหน้าของน้องสาวอย่างแผ่วเบา ท่ามกลางสายตาของพลอยชมพูที่เอาแต่จ้องหน้าของพลอยทับทิมอยู่อย่างนั้น
"อาบน้ำแล้วนอนพักผ่อนเถอะ ถึงเวลาทานอาหารเย็นเมื่อได้เดี๋ยวเจ้จะให้คนขึ้นมาตาม"
