ตอนที่ 6 ปราบม้าพยศ
สามวันต่อมาที่เรือนฝูหรง
กู้อวิ๋นเหยาคำนวนวันและเวลาเอาไว้แล้วว่าหากจะออกนอกเมืองควรที่จะออกไปวันนี้ดีที่สุด เพราะวันนี้องค์ชายรองจะส่งสินสอดและแม่สือมาที่จวนเพื่อสู่ขอกู้จิ้งหนิง
ดังนั้นเช้าวันนี้กู้อวิ๋นเหยานอกจากจะไปออกกำลังกายที่สนามฝึกหลังจวนเช่นเดิมเหมือนทุกวันแล้วนางยังเดินดูม้าในคอกของจวนแม่ทัพอีกด้วย
กู้อวิ๋นเหยาเดินดูม้าศึกพันดีในคอกห้าหกตัวที่มีสุขภาพแข็งแรงแล้วอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปชื่นชม
"คุณหนูรอง"
ทันใดนั้นด้านหลังของนางก็มีคนดูแลม้าสองคนจูงม้าสีขาวตัวหนึ่งท่าทางพยศเข้ามา หลายวันมานี้พวกเขาเห็นคุณหนูรองมาวิ่งและมาฝึกวิชายุทธตั้งแต่เช้าตรู่ แม้จะแปลกใจในคราแรกแต่พอนานเข้าจึงค่อนข้างคุ้นชินกับนางแล้ว
กู้อวิ๋นเหยาพยักหน้ามองม้าตัวสีขาวพันธ์ดีตัวนั้นอย่างชื่นชม "ม้าดีนี่นา ขอข้าลองได้หรือไม่?"
"ห๋า?.....คุ คุณหนูรองมะ ม้าตัวนี้..."
ในตอนที่คนเลี้ยงม้ากำลังจะบอกว่าม้าตัวนี้เป็นม้าพยศยังไม่เชื่องคนไม่ชำนาญไม่สามารถขี่ได้ ก็พบว่าม้าสีขาวตัวนั้นส่งเสียงร้องดังพร้อมกับยกสองขาขึ้นสูงแล้ว
ฮี่ๆๆๆ กุ๊บ!
ม้าพยศสีขาวแผดเสียงร้องคำราม ดวงตาลุกวาวก่อนพุ่งทะยานไปข้างหน้าราวสายฟ้า ทะยานขึ้นจากลำธารวิ่งเร็วและแรงไปทั่วสนามฝึกลมตีกระแทกใบหน้า ร่างของกู้อวิ๋นเหยาแทบปลิวหลุดจากอาน แต่หญิงสาวกลับกัดฟันแน่น มือจับบังเหียนมั่น ดวงตาวาววับท้าทาย
“คิดจะสบัดข้าทิ้งข้าอย่างนั้นหรือ...เจ้าม้าเถื่อน!” กู้อวิ๋นเหยาพึมพำเส้นผมปลิวสยายกลางลม
นางโน้มตัวลงบีบขาเบาๆสองมือกำบังเหียนแน่นสายตาแน่วแน่โน้มตัวไปกระซิบแผ่วเบา "ใจเย็น เจ้าม้าขาว...ข้ามิใช่ศัตรูของเจ้า" เสียงนางแผ่วเบาแต่หนักแน่น ราวกับเสียงกระดิ่งที่ดังมาจากสรวงสวรรค์
ที่ศาลาข้างสนามฝึกซ้อม
มีชายหนุ่มรูปร่างสูงในชุดผ้าไหมสีดำปักลวดลายมังกรด้วยดิ้นทองคำยืนมองสถานการณ์ในสนามอยู่ แผ่นหลังของเขาตั้งตรงกลิ่นอายสูงส่งเย็นชาราวกับว่าทุกคนห้ามเข้าใกล้เขาแม้แต่ชุ่นเดียว
ใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับถูกสวรรค์สรรสร้างขึ้นมาจากอุ้งมือของเง็กเซียนฮ่องเต้สลักเสลาขึ้นมาอย่างประณีตดูเย็นชาจนน่าตกใจ
คิ้วคมดาบขมวดมุ่น ดวงตาหงส์ที่รายล้อมด้วยขนตาหนารับกับจมูกอันโด่งสวยดูดุดัน ริมฝีปากบางเฉียบแดงระเรื่อขบเม้มเข้าหากันแน่นจนเป็นเส้นตรง
เขาจ้องมองภาพเด็กสาวกำลังควบคุมม้าพยศสีขาวในสนามฝึกซ้อมอย่างเงียบเชียบราวกับหากขยับแม้แต่นิดเดียวม้าสีขาวจะตกใจและพาเด็กสาววิ่งหนีหายออกไป
"ท่านอ๋องนั่น!" ที่ด้านหลังของเขาชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดสีดำล้วนในมือถือกระบี่เอาไว้เห็นภาพที่ปรากฎในสนามประลองเขาก็อุทานออกมา
หลางหยาอ๋องเย่อู๋เฉินหรี่ตาลง ภาพในสนามฝึกตอนนี้ต่างก็ทำให้ทุกคนตื่นตะลึง กู้อวิ๋นเหยานอกจากจะสามารถควบคุมม้าพยศสีขาวได้แล้ว เวลานี้นางยังขี่ม้าสีขาววิ่งควบไปยังลานอาวุธ
เด็กสาวดูฮึกเหิมเป็นอย่างมากนางคว้าธนูและลูกธนูขึ้นสองขาบังคับทิศทางของม้าสีขาวอย่างชำนาญก่อนจะง้างคันธนูไปยังเป้าที่ธนูที่อยู่ห่างออกไปราวยี่สิบจั้ง*(66.6 ม)
กุบ!กับ! กุบ!กับ!
ฟิ้ว!!!
ฉึก!
ฟิ้ว!!
ฉึก!!
"ฮ่าๆฮ่าๆ เจ้าม้าขาวเจ้าสุดยอดมาก" หลังจากยิงโดนเป้าในระยะที่พอใจแล้วกู้อวิ๋นเหยาก็โน้มตัวลงโอบกอดรอบคอของม้าสีขาวจากนั้นม้าสีขาวก็ชะลอความเร็วลงเปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะๆมายังคอกม้า
"เหยาเอ๋อ.."
ในตอนนี้เองกู้หลิงเทียนที่ถูกคนเลี้ยงม้าวิ่งไปตามเขาก็รีบวิ่งมาด้วยความตกใจ พลันมาถึงข้างสนามกลับเห็นกูอวิ๋นเหยาควบม้าพยศตัวนั้นอย่างสนุกสนานที่สนามฝึก
เขามองภาพนั้นด้วยความตกตะลึง ก่อนจะเห็นนางขี่ม้ายิงธนูเข้าเป้าอย่างแม่นยำราวกับจับวาง
กู้อวิ๋นเหยากันกลับมา ใบหน้างามแดงระเรื่อเล็กน้อย หน้าผากมนมีเหงื่อเม็ดเล็กๆผุดออกมาตามไรผม นางส่งยิ้มหวานให้กับกู้หลิงเทียนพร้อมกับกระโดดลงจากหลังม้าอย่างงดงาม
นางลูบใบหน้าที่หยิ่งทะนงของม้าสีขาวแล้วเอ่ยชม "เก่งมาก" ทันทีที่ได้รับคำชมเจ้าม้าสีขาวก็พ่นลมใส่กู้อวิ๋นเหยา จากนั้นเด็กสาวก็หัวเราะ
ความสดใสร่าเริงของนางและรอยยิ้มที่จริงใจทำให้หลางหยาอ๋องถึงกับชะงัก เขาหันไปถามองครักษ์ "นางคือใคร?"
กู้หลิงเทียนมองม้าสีขาวที่เดินตามกู้อวิ๋นเหยามาด้วยสายตางุนงง
นางส่งบังเหียนม้าให้กับผู้ดูแลม้า "พี่ใหญ่"
กู้หลิงเทียนมองไปยังบนศาลาแวบหนึ่งจากนั้นก็มองม้าสีขาว
"เหยาเอ๋อเจ้ากำลังทำอะไรรู้ไหมว่ามันอันตรายมาก?"
กู้อวิ๋นเหยายกคิ้วพลางส่ายหน้า "ข้าเพียงเห็นม้าสีขาวงดงามเลยอยากจะทดลองขี่ดูไม่คิดว่าจะพยศขนาดนี้ แต่พอเข้าใจกันแล้วเจ้าม้าสีขาวนี่ก็ไม่เลวเลย พี่ใหญ่เจ้าคะข้าขอได้หรือไม่?"
กู้หลิงเทียนขบเม้มริมฝีปาก เขามองไปทางศาลาอีกครั้งแวบหนึ่งก่อนจะขมวดคิ้ว "คงไม่ได้เพราะม้านี้มีเจ้าของแล้ว จริงสิม้าตัวนี้ชื่ออวิ๋นเซวียน เหตุใดเจ้าถึงปราบพยศอวิ๋นเซวียนได้ มีวิธีรับมืออย่างนั้นหรือ?"
กู้หลิงเทียนเอ่ยถามนางพลางทั้งสองก้าวเดินตามอวิ๋นเซวียนไปอย่างช้าๆ
กู้อวิ๋นเหยาครุ่นคิด นึกถึงการแข่งม้าที่สนามใต้ดินของทศวรรษที่ยี่สิบสามแล้วยื่นมือไปลูกอวิ๋นเซวียนเบาๆ
"ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรมากเพียงแค่ใช้มือประคองบังเหียนให้มั่น จังหวะดึงต้องแน่นพอให้ม้ารู้ว่าใครคือผู้นำ แต่ไม่ควรรั้งจนมันรู้สึกเจ็บหรือถูกควบคุมด้วยความรุนแรง เพราะจะยิ่งทำให้พยศหนักขึ้น
ที่สำคัญคืออย่าต้านการเคลื่อนไหวของม้า แต่ต้อง “กลืนรวม” ไปกับมัน เช่น เวลาม้ากระโจนให้เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย หรือเวลาบิดตัวให้เอียงไหล่ไปตามจังหวะของม้า
อย่างที่เรารู้ ม้ารู้สึกไวต่อเสียง หากคนขี่กระซิบปลอบหรือพูดเสียงหนักแน่นสม่ำเสมอ มักจะทำให้มันเริ่มฟังคำสั่งของเราและค่อยๆเชื่อฟัง
จากนั้นเราก็บีบขาเบาๆ ที่ชายโครงม้าด้านใดด้านหนึ่งเพื่อบอกให้เลี้ยว หรือควบคุมความเร็วของมัน
ในขณะนั้นตัวเราเองก็ไม่ควรวอกแวกควรจ้องมองเพ่งเล็งอย่างมีเป้าหมาย ม้าจะสามารถสัมผัสได้และค่อยๆเชื่อฟัง"
หลังจาเราสามารถควบคุมม้าได้แล้วเมื่อสิ้นสิ้นการขี่แล้ว ปลอมประโลมเขาและเอ่ยชม เมื่อสักครู่ตอนข้ากระโดดลง ข้าพูดกับมันว่ส“ดีมาก...เจ้าเก่งมาก”
และอวิ๋นเซวียนก็ตอบสนองด้วยการพ่นจมูกผงกศรีษะ นั่นคือเขารับรู้แล้ว"
คนดูแลม้าเบิกตามองกู้อวิ๋นเหยาอย่างชื่นชม
กู้หลิงเทียนเองก็เหม่อลอย ในขณะที่เย่อู๋เฉินบนศาลาที่พยายามใช้ลมปรานในการฟังก็มองนางด้วยความชื่นชม แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้นดวงตาของเขาก็กลับมามืดครึ้มเช่นเดิม
"อย่างนี้นี่เอง เหยาเอ๋อเรื่องเหล่านี้เจ้าเรียนมาจากกองทัพที่ชายแดนหรือ?"
ในอินเทอร์เน็ตไงเยอะแยะ แต่กู้อวิ๋นเหยาก็ไม่ได้พูดออกมา นางเพียงยิ้มและพยักหน้ามองอวิ๋นเซวียนที่ถูกจูงห่างออกไป
"ท่านอ๋องนางเป็นบุตรสาวคนรองที่ท่านแม่ทัพกู้พามาจากชายแดนพะย่ะค่ะ"
เย่อู๋เฉินยกคิ้วขึ้นแวบหนึ่งที่เขารู้สึกประหลาดใจ ในตอนที่เขาถึงเมืองหลวงเมื่อหลายวันก่อนได้ยินข่าวการแย่งชิงองค์ชายรองของพี่น้องตระกูลกู้
แต่วันนี้องค์ชายรองส่งแม่สื่อมาสู่ขอกู้จิ้งหนิงไม่ใช่เหรอ หนำซ้ำไม่ได้มีความเศร้าโศกให้เห็นเลย เช่นนั้น..
"ไปสืบมาหน่อย"
อี้สือได้ยินผู้เป็นนายที่จู่ๆก็เงียบไปออกคำสั่งขึ้นมาเขาก็งุนงง เขายื่นหน้าออกไป "สืบ สืบอะไรหรือขอรับท่านอ๋อง?"
เย่อู๋เฉินหันขวับกลับมามองเขา อี้สือสะดุ้งตกใจแล้วนึกขึ้นมาได้ทันที "คุณหนูรองกู้ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้"
....
