บท
ตั้งค่า

5 ครอบครัวสุขสันต์

เมื่อเข้าห้องและขึ้นเตียงมานอนกับเจ้านนท์แล้ว อีกฝ่ายก็ขยับเข้ามากอดผมทันทีจากทางด้านหลังเหมือนเช่นเมื่อคืน ทั้งเอ่ยถามด้วยเสียงผะแผ่วอย่างคนเมา "พี่คุยอะไรกับไอ้จีน"

"คุยอะไร?ตอนไหน? " ด้วยผมกับจีนนั้นคุยกันอยู่แทบจะตลอดเวลา จึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการรู้ตอนไหน

"ก็ตอนที่พี่ผลักหัวมันไง" คนด้านหลังถามเสียงห้วน

"อ้อ ตอนนั้นน่ะเหรอ จีนบอกว่า ถ้ามันขายไม่ออก มันจะให้ฉันรับผิดชอบน่ะ" ผมตอบไปตามตรงและอดที่จะยกยิ้มขำขันไม่ได้ เมื่อนึกถึงสีหน้าเสแสร้งของสาวน้อยจอมทะเล้น

หลังจากตอบไปแล้ว ก็รู้สึกว่าคนด้านหลังนิ่งเงียบไปคล้ายกับว่าจะหลับไปทั้งอย่างนี้ ผมจึงเอ่ยว่าให้ “น้ำไม่อาบยังจะมา กอดอีก”

“ผมง่วงนี่นา เมาด้วย” คนเมาตอบเสียงพร่าและกระชับกอดให้แน่นขึ้น หลังจากผมขยับออกห่าง

“แต่ฉันเหม็น” ผมผลักคนเมาออกห่างอีกครั้ง แล้วเอ่ยบอก “ไปอาบน้ำก่อนไป”

“ถ้าผมอาบน้ำแล้วจะให้ผมกอดดีๆ ใช่ไหม” เจ้านนท์ถามเสียงเบาเหมือนน้อยใจให้ผมเลย

“อือ” ผมส่งเสียงตอบจากในลำคอ เพราะอย่างน้อย มันก็ยังดีกว่าให้ผมนอนดมกลิ่นเหล้าจากตัวอีกฝ่ายทั้งคืน

หลังตอบไปแล้วคนเมาจึงปล่อยตัวผม แล้วลุกออกจากเตียงเดินโซซัดโซเซออกจากห้องนอน ไปยังห้องน้ำที่อยู่ด้านนอกทันที

“ดีหน่อยที่ว่าง่ายล่ะนะ” ผมงึมงำทั้งมองตามหลังคนเมาไปอย่างอารมณ์ดี พลางอ้าปากหาวไปด้วยทีหนึ่ง ก่อนจะหลับตาลง อย่างคนง่วงนอนแล้วเต็มทน

จะไม่ให้ง่วงได้ยังไงเที่ยงคืนกว่าแล้วนะครับ แล้วผมก็ผล็อยหลับไป จนกระทั่งเจ้านนท์อาบน้ำกลับมา และมานอนกอดกันอีกครั้ง ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมานิดหน่อย แล้วหลับยาวไปอีกทีจนถึงเช้า

สายของวันใหม่ ผมก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยอาการเจ็บชาที่แขน เนื่องจากโดนเจ้านนท์นอนหนุนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แถมแขนและขาของอีกฝ่ายก็มาวางพาดอยู่บนตัวด้วย ทำเหมือนผมเป็นหมอนข้างของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น

เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่พ่อและน้องชายไม่ได้ไปทำงาน อีกทั้งเมื่อคืนทั้งสองคนก็เมาหนักกันทั้งคู่ คาดว่าสายๆ นั่นแหละ ทั้งสองถึงจะตื่นขึ้นมา ดังนั้นเช้านี้ผมจึงไม่รีบร้อนที่จะลุกลงไปทำกับข้าว แต่กลับนอนดูเด็กโข่งขี้อ้อนหลับไปพลางๆ ด้วยความขี้เกียจแทน

เฮ้อ เกาะติดยิ่งกว่าปลิง ... ผมว่าให้เจ้านนท์ในใจด้วยความขำขันเอ็นดู พลางตะแคงตัวหันหน้าเข้าหา แล้วยกมือขึ้นเสยผมที่ตกลงมาระหน้าอีกฝ่ายขึ้นด้วยความรักใคร่

คิ้วของคนที่กอดผมอยู่คมเข้มเรียงตัวสวย ดวงตาคมวาวหลบซ่อนอยู่ใต้แพขนตางอนยาว จมูกก็โด่งเป็นสันเข้ากับริมฝีปากบนบางชั้นล่างหนา สันกรามเด่นชัด

ไม่น่าเชื่อว่าเด็กน้อยขี้เหร่วันนั้น โตมาจะหล่อได้ขนาดนี้ วันเวลาช่างผ่านไปไวจริงๆ... ผมทอดถอนใจให้กับวันเวลาที่ผ่านไปเร็วอย่างไม่อยากจะเชื่อ ทั้งนึกถึงเรื่องราวตอนเด็กๆ ไปด้วย

ตอนที่พ่อกับแม่มาอยู่ด้วยกันใหม่ๆ ตัวผมอายุแค่สิบกว่าขวบ ส่วนเจ้านนท์ก็เจ็ดขวบ ตัวของอีกฝ่ายผอมกระหร่องมาก หน้าตาก็มอมแมมเป็นที่สุด ด้วยไม่มีคนดูแล ต่อมามีแม่ผมคอยดูแลเอาใจใส่ คนถึงดูดีขึ้นมาได้

ตัวเจ้านนท์นั้นติดผมแจเลยล่ะครับ สาเหตุก็เพราะผมชอบเอาใจและตามใจนั่นแหละครับ คนเลยติดหนึบ มีขนมผมก็ให้กินเยอะกว่า มีคนมารังแกผมก็จัดการคนที่มารังแกให้ ทั้งที่ความเป็นจริงตัวเองต่อยตีไม่เป็นเลยสักนิด แค่อาศัยว่ารูปร่างใหญ่กว่าเลยทำท่าทีขึงขังด้วยท่าทางที่น่ากลัว พวกนั้นก็เผ่นหนีไปแล้ว ทำตัวเป็นพี่ที่ดีคอยปกป้องน้องไม่ให้ใครมาล้อเลียนและรังแกได้อีก นี่จึงทำให้เจ้านนท์ติดผมมาก คอยออดอ้อนตลอด

จนกระทั่งโตแล้ว แยกห้องกันนอนนั่นแหละครับ อีกฝ่ายถึงได้เลิกอ้อน แต่เมื่อได้กลับมานอนด้วยกันอีกครั้ง นิสัยเดิมของคนก็กำเริบอีก ซึ่งผมก็ไม่รู้จะว่ายังไงกับไอ้เด็กคนนี้ดี โตจนป่านนี้ยังมาออดอ้อนเป็นเด็กๆ ไปได้ ... ผมคิดส่ายหัวในใจด้วยความเอ็นดูทั้งรักใคร่

ขณะที่กำลังจ้องหน้าคนหลับด้วยความเผลอไผลไปกับเรื่องราวในอดีตอยู่นั้น ไอ้เด็กโข่งนี่ก็เงยหน้าขึ้นมาจุ๊บที่ริมฝีปากผมทีหนึ่ง แล้วพลิกตัวหันหลังกลับไปนอนต่อ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อะ ไอ้นนท์!” ผมเบิกตาโตเรียกชื่อคนฉวยโอกาสด้วยความตกใจตื่นตะลึง ก่อนจะรีบร้อนลุกออกจากเตียง ออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

ไอ้บ้านี่! นับวันจะยิ่งหนักข้อขึ้นทุกวัน ... ผมบ่นให้เด็กไม่รู้จักโตในใจด้วยความระอา ทั้งส่ายหน้า พลางเปิดประตูเข้าห้องของตัวเองไปด้วย

ที่ผมไม่กล้าส่งเสียงออกมา ก็เพราะกลัวว่าพ่อจะได้ยินนะครับ กลัวท่านจะสงสัย ว่าทำไมผมถึงต้องไปนอนห้องน้อง

หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ ผมก็ลงมาทำกับข้าว อาหารที่ผมจะทำในช่วงสายนี้ก็คือ ต้มเลือดหมูใบตำลึง อกไก่สับผัดหน่อไม้ดอง ไข่เจียวกุ้งสับ

เพิ่งจะทำผัดอกไก่สับเสร็จ พ่อกับน้องก็ลงมา ผมจึงละมือจากการทำกับข้าว มาทำเครื่องดื่มแก้อาการเมาค้างให้ทั้งสองคนก่อน

“ดื่มน้ำขิงมะนาวแก้แฮงค์ก่อนครับ” ผมยกน้ำขิงอุ่นๆ ที่ใส่มะนาวฝานแว่นบางๆ และเติมน้ำผึ้งเล็กน้อยมาให้คนเมาค้างทั้งสอง

ขอบอกว่าสูตรนี้แก้อาการวิงเวียน เมาค้างและคลื่นไส้ได้ดีเยี่ยมเลยนะครับ

“รู้ใจกันขนาดนี้ ถ้าลันแต่งงานไปพ่อเสียดายแย่” พ่อเงยหน้ามองกันด้วยสายตาละห้อย ก่อนจะยกน้ำขิงขึ้นดื่ม

“ผมยังไม่มีแฟนเลยนะครับ” ผมยิ้มขำบอกด้วยความอ่อนใจ ลูกชายยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคน แต่คนเป็นพ่อกลับเอาแต่พูดเรื่องนี้อยู่เรื่อย

“ไม่รู้ล่ะ พ่อพูดไว้ก่อน ถ้าลันมีแฟนและแต่งงานจริงๆ ก็แต่งเข้าละกัน บอกไว้เลยว่าพ่อไม่ยอมให้แต่งออกหรอก”

พ่อพูดเหมือนคนเอาแต่ใจ ซึ่งจริงๆ แล้วก็หวงและห่วงกลัวว่าผมจะไปลำบากนั่นล่ะครับ

“ครับ” ผมตอบรับ แต่ในใจก็แอบคิดว่าจะพาคนอื่นมาให้พ่อกับน้องหาเลี้ยงได้ยังไง รอตัวเองมีรายได้ก่อน ค่อยคิดเรื่องนี้ก็ยังไม่สาย

หลังจากเอาน้ำขิงมาให้แล้ว ผมก็กลับเข้าครัวเพื่อมาทำกับข้าวที่เหลือต่อให้เสร็จ เมื่อเสร็จแล้วก็ยกกับข้าวออกมาเสิร์ฟสองพ่อลูกอีกครั้ง

“ต้มเลือดหมูร้อนๆ ใส่พริกไทยเยอะๆ ดีๆ จะได้สดชื่น ไม่ไหว หนักหัวเหลือเกิน” พ่อพูดขึ้น เมื่อเห็นกับข้าวถูกยกมาวางลงตรงหน้า ก่อนจะหันไปทางลูกชายอีกคน

"จะหาเมียทั้งที หาที่มันรู้ใจเหมือนอย่างพี่แกนะ ไอ้นนท์ งานบ้านก็เก่ง ทำกับข้าวก็อร่อย แถมไม่ขี้บ่นอีก เฮ้อ...เสียดายอยากให้ลันเป็นผู้หญิงเหลือเกิน" พ่อเอ่ยกับลูกชายด้วยท่าทางจริงจัง ทั้งถอนหายใจด้วยความเสียดายไปด้วย

"ผมว่า ผมจับพี่เขาทำเมียเลยดีไหม จะได้ไม่ต้องหาให้เหนื่...โอ้ย!พ่อ " เจ้านนท์เอ่ยด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ทั้งหันมายักคิ้วหลิ่วตาใส่ผมด้วย ทว่าพูดยังไม่ทันจบ คนพูดก็ถูกพ่อที่นั่งอยู่ใกล้ตบหัวด้วยแรงไม่หนักไม่เบาไปที

“ลามปามแล้ว” พ่อว่าให้เจ้านนท์ด้วยท่าทีขึงขัง ซึ่งคนถูกตบได้แต่ลูบหัวป้อยๆ ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

"สมน้ำหน้า" ผมยิ้มว่าให้คนโดนตบด้วยอีกคน ก่อนจะหันมาทางพ่อด้วยความเป็นห่วง "คราวหลังก็เพลาๆ ลงบ้างสิครับ ของมึนเมาน่ะ”

“อืม คงต้องเพลาๆ ลงจริงๆ แล้วล่ะ” พ่องึมงำรับคำ ก่อนจะตักน้ำต้มเลือดหมูซดลงคอไปอึกใหญ่

“เพลาตอนนี้ ตอนเย็นก็เหมือนเดิม” เจ้านนท์ประชดคนที่บอกว่าจะเพลาๆ ลง

“ว่าตัวเองด้วยไหมเนี่ย” ผมแขวะคนพูดไปทีด้วยความหมั่นไส้

“ผมไม่ได้บอกว่าจะเพลาๆ ลงสักหน่อย" อีกฝ่ายแย้ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่ก็ใช่ว่าผมจะดื่มทุกวันเหมือนพ่อสักหน่อย นานๆ ทีหรอก ถึงจะดื่มจนเมา”

เห็นท่าทีลอยหน้าลอยตาพูดจากอีกฝ่าย ผมก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ จึงเอ่ยบอก “อ้อ... งั้นเชิญก็คุณนนท์ดื่มตามสบายเลยนะครับ ถึงตอนนั้น ฉันจะไม่ดูแลแกเลย คอยดู”

เมื่อผมพูดจบ เจ้านนท์ก็สะบัดหน้าใส่กันอย่างงอนๆ ทั้งเอ่ย “ใจร้าย”

ผมจึงยกยิ้มด้วยความขบขัน ในท่าทางนี้ของเด็กน้อย ก่อนจะตักผัดอกไก่สับไปง้อ

“ตบหัวแล้วลูบหลัง” เจ้านนท์ว่าให้ผมอีกครั้ง ด้วยท่าทางเหมือนคนยังไม่หายงอน แต่มือกลับตักกับข้าวที่ตักไปให้เข้าปากคำโต

“ไอ้นี่!” ผมยิ้มว่าให้อย่างไม่จริงจัง ทั้งตักกับข้าวง้อคนงอนอีกครั้ง แล้วเอ่ยเหย้า “คราวนี้จะตบหัว แล้วลูบหัวนะ”

เจ้านนท์จึงยื่นหัวมาให้อย่างล้อเลียน ทั้งเอ่ย “ลูบเบาๆ นะค้าบบบ”

“ไม่พูดกับแกแล้ว” ผมอมยิ้มบอกอย่างขี้เกียจต่อความด้วย แล้วหันมาตั้งใจกินข้าวของตัวเองไป ไม่สนใจอีกฝ่ายอีก

เมื่อกินข้าวเสร็จ พ่อก็กลับขึ้นไปนอนพักอีกรอบ ส่วนเจ้านนท์ก็นอนดูทีวีอยู่ที่โซฟารับแขกตัวยาว ส่วนผมก็กำลังจะกลับขึ้นไปเขียนนิยายของตัวเอง หลังจากที่จัดเก็บครัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว

“พี่ไปดูหนังกันเถอะ” เจ้านนท์เอ่ยชวน ขณะที่ผมกำลังจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน

“ก็ดูอยู่นี่ไม่ใช่เหรอ” ผมพยักเพยิดไปทางคนชวนที่กำลังนอนดูทีวีอยู่

“มีแต่เรื่องเก่าๆ น่าเบื่อ” อีกฝ่ายเอ่ย พร้อมกับทำหน้าเซ็งๆ ให้ได้ดูด้วย

“ชวนพวกเป้ไปสิ ไม่ได้เจอกันนานแล้วไม่ใช่เหรอ หรือไม่ติดต่อกันแล้ว” ผมบอกให้เจ้านนท์ไปชวนเพื่อนๆ ที่เคยพามาบ้านตอนเรียนอยู่ปวส.ปีหนึ่ง เพราะอยู่ๆ เพื่อนก็หายไปไม่มากันอีก จึงไม่รู้ว่าเลิกคบกันไปหรือยัง อีกทั้งผมเพิ่งจะไปห้างกับจีนมาเมื่อวาน ดังนั้นวันนี้จึงไม่อยากจะออกไปไหน

“ไม่เอา ผมอยากไปกับพี่นี่นา” เด็กน้อยกะพริบตาปริบๆ ส่งมาให้ คล้ายกับกำลังออดอ้อนอย่างไรอย่างนั้น

“แต่ฉันไม่อยากไปนี่นา ฉันเพิ่งจะไปกับจีนมาเมื่อวานนี้เอง” ผมบอกไปตามตรง แล้วก็เห็นว่าคนหน้างอง้ำลงไปทันที

“พี่ไปกับมันได้ แต่ไปกับผมไม่ได้ พี่ชอบไอ้จีนใช่ไหม” เจ้านนท์เสียงห้วนอย่างไม่พอใจ ทั้งหันหน้าหนีจากผมด้วยท่าทีงอนๆ

“ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย” ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าเกี่ยวอะไรกับชอบหรือไม่ชอบจีน พลางคาดเดา หรือว่าเจ้านนท์จะน้อยใจที่ผมไม่ยอมไปกับตัวเอง เลยมากล่าวหากัน

นึกได้อย่างนี้ ผมจึงยอมไปในท้ายที่สุด เพื่อไม่ให้คนมาว่าได้ว่าลำเอียง “อะๆ ไปก็ได้”

“พี่ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปหรอก ผมนอนดูเรื่องเก่าๆ อยู่บ้านก็ได้” คนงอนประชดประชันด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างน่าสงสาร พลางตั้งใจดูทีวีต่อไปด้วย

“ใครบอกว่าไม่เต็มใจ ไปๆ เดี๋ยวพี่เลี้ยงน้องเอง” ผมบอกอย่างใจกว้าง แล้วก็เห็นว่าคนงอนหันขวับมามองกันทันที

“จริงๆ นะ” เจ้านนท์ถามย้ำ

“จริงสิ” ผมตอบทั้งฉีกยิ้มให้ด้วย แล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายรีบปิดทีวีอย่างไม่รอช้า ด้วยท่าทางกระดี้กระด๊าสุดขีด เปลี่ยนเป็นคนละคนกับเมื่อสักครู่อย่างลิบลับ

"อะไรจะขนาดนั้น" ผมพึมพำ ทั้งส่ายหัวให้เด็กน้อยด้วยความอ่อนใจ ก่อนจะเดินขึ้นบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อไปดูหนัง โดยมีเจ้านนท์รีบเดินขึ้นบ้านตามหลังมาติดๆ ด้วย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel