บทย่อ
เขียนเรื่องไหนก็ให้นายเอกถูกพระเอกคลั่งรักจับกินอยู่เรื่อย มึงคิดว่าพวกกูไม่เหนื่อยหรือไง ไอ้นักเขียน!! ..."ขอให้โดนกับตัวเอง...ขอให้โดนกับตัวเอง..." อลัน นักเขียนนิยายวายแนวพระเอกคลั่งรักที่ชอบจับนายเอกกินได้ถูกฝันประหลาดตามหลอกหลอน ในฝัน เขาเห็นชายหนุ่มสามคนมายืนรุมสาปแช่ง ทว่าจะสาปแช่งด้วยเรื่องอะไรนั้น เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่จำได้แม่นก็คือประโยคนี้ "ขอให้โดนกับตัวเอง"
1 เสียงสาปแช่ง
“ขอให้โดนกับตัวเอง...ขอให้โดนกับตัวเอง...”
เสียงหวิวแว่วแผ่วเบาลอยเข้ามาในหัวของผม ในขณะที่กำลังเคลิ้มหลับ และสุดท้ายก็หลับไปจริงๆ หลับไปอย่างไม่สนใจว่าเสียงนั้นจะพูดกับใคร
ในขณะที่กำลังเคลิ้มหลับอยู่นั้น คลับคล้ายคลับคลาว่ามีชายวัยรุ่นสามคน มายืนจดจ้องกันด้วยความชิงชัง ทั้งกรุ่นโกรธอยู่ข้างๆ พลางพูดประโยคเดิมก่อนหน้า ขอให้โดนกับตัวเอง...ขอให้โดนกับตัวเอง... ซ้ำๆ อย่างนี้จนผมสะดุ้งตื่น
เมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว ก็มองไปรอบๆ ด้วยความสงสัยว่าใครเป็นคนพูด แต่กลับไม่เห็นมีใครเลยสักคน
จะมีใครได้อย่างไรล่ะ ก็ผมนั่งอยู่ในห้องนอนของตัวเองและกำลังวางพล็อตนิยายเรื่องใหม่อยู่ แต่เพราะเคร่งเครียดเลยทำให้คิดไม่ออก จึงเอามือเท้าคางและหลับตาลงครุ่นคิด ก่อนจะเผลอเคลิ้มหลับไปในที่สุด จนกระทั่งตื่นขึ้นมาในตอนนี้นี่ล่ะครับ
สวัสดีครับ ผมชื่อ อลัน เป็นนักเขียนนิยายวายแนว ฟิลกู้ด ผมเขียนนิยายจบมาสองเรื่องแล้ว เรื่องแรกคือเรื่อง มีคนคลั่งรักแล้ว1 แนวพระเอกอบอุ่นใจดีแต่มีความต้องการเยอะ ชอบจับน้องกินตลอดๆ
ส่วนเรื่องที่สองคือเรื่อง เมื่อผมรนหาที่ตาย ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นแนวนายเอกไปก่อเรื่องเพราะน้อยใจครอบครัวตัวเอง จึงถูกพระเอกจับตัวไว้ชดใช้ค่าเสียหาย เป็นนิยายสำหรับคนที่เบื่อแนวพ่อแม่เป็นหนี้แล้วขายลูกใช้หนี้ หรือคนที่เบื่อนายเอกหอบลูกหนี มีดราม่านิดหน่อย นอกนั้นตลกมาก ต้องลองอ่านดูครับ ....555
ซึ่งเรื่องเมื่อผมรนหาที่ตายนี้ นายเอกเขาก็ถูกพระเอกจับกดบ่อยเหมือนกันแหละครับ เพราะพระเอกต้องการทำชาดให้ติดแดง คือ ต้องการทำให้นายเอกที่เป็นชายแท้ เปลี่ยนมาชอบผู้ชายเหมือนตนเอง เรื่องนี้มีคู่รองด้วยนะครับ แอบใบ้ว่าคู่ของนายเอกรอง หลังจากเลิกถือศีล ได้มากินน้องแล้วก็เกิดติดใจ จึงชอบจับน้องกินบ่อยๆ จนน้องทนไม่ไหวเลยหนีไปน่ะครับ ...พอแล้วครับ ไม่สปอยเยอะ เดี๋ยวไม่สนุก ... (^_^')
ส่วนเรื่องที่สาม ที่ผมกำลังจะเขียนคือเรื่อง ไม่เป็นผัวแล้วครับ แนวเรื่องก็คงคล้ายๆ กับแบบเดิมคือพระเอกจับกดคู่ของตัวเองบ่อยเหมือนเดิม เป็นพ่อไมโครเวฟเหมือนเดิม แต่การดำเนินเรื่องก็คงจะไม่เหมือนเดิม เพราะคราวนี้ผมจะเขียนเรื่องราวของเพื่อนที่หลงรักเพื่อนและก็วางแผนให้เพื่อนได้มาเป็นคู่ของตัวเอง
แต่ไม่รู้ทำไม ตั้งแต่เริ่มต้นร่างพล็อต คิดพล็อตเรื่องนี้ขึ้นมา ผมก็มักจะได้ยินเสียง ขอให้โดนกับตัวเอง ขอให้โดนกับตัวเอง ลอยเข้าหูพร้อมกับเงาเลือนลาง มายืนจดจ้องกันด้วยความเกลียดชังทุกครั้งที่เผลอหรือนอนหลับ จนผมชักจะเริ่มหลอนขึ้นมาแล้ว จึงเหลือบมองเวลาในจอโน้ตบุ๊ก สี่ทุ่มกว่าแล้ว
ไม่รู้ว่าเจ้านนท์ น้องชายผมหลับแล้วหรือยัง ไปนอนห้องมันดีกว่า อยู่คนเดียวแล้วหลอนนอนไม่พอ พรุ่งนี้ก็คิดนิยายไม่ออกกันพอดี
นึกได้ดังนี้ ผมก็รีบเก็บโน้ตบุ๊กของตัวเองไว้ แล้วเดินออกไปเคาะห้องน้องชายที่อยู่ข้างกันทันที “นนท์ หลับหรือยัง”
“ยัง” เสียงห้าวตอบกลับมา รออยู่ครู่หนึ่งอีกฝ่ายถึงได้เปิดประตูห้องออกมาถาม
“มีอะไรเหรอ” ร่างสูงใหญ่ไม่ใส่เสื้อยืนอยู่หลังประตูขมวดคิ้วมองกันด้วยท่าทางสงสัย
เด็กนี่เกิดทีหลังผมถึงสามปี แต่กลับสูงแซงหน้ากันไปตั้งเยอะ รูปร่างหรือก็ดูดี ดูสูงเพรียวกว่า ทั้งที่กินเยอะกว่ากันเสียอีก ตัวผมสูงร้อยเจ็ดสิบสามเซนติเมตร กลับสูงแค่ติ่งหูอีกฝ่ายเท่านั้นและอวบอิ่มกว่าด้วย ทั้งๆ ที่กินไปแค่นิดเดียวเอง
ผมคิดอย่างอิจฉารูปร่างหน้าตาของน้องชาย ก่อนจะเอ่ยตอบคำถาม “พี่อยากจะมาขอนอนด้วยนะ ช่วงนี้ฝันแปลกๆ หลอนๆ ยังไงไม่รู้”
พลางเกาหัวยิ้มแห้งๆ บอกอย่างขัดเขิน ผมเป็นพี่นะครับ แต่กลับต้องมาขอนอนกับน้อง เพียงเพราะเสียงประหลาดที่ตามมารังควาน จึงอดที่จะเขินอายไม่ได้
“ขวัญอ่อนจริง” เด็กน้อยว่าให้กัน ก่อนจะเดินกลับไปขึ้นเตียงนอนเอกเขนกอยู่บนนั้น ด้วยท่วงท่าสบายใจ
ภายในห้องนอนของเจ้านนท์ มีของตกแต่งไม่เยอะ เมื่อเดินเข้าประตูมาก็จะเห็นตู้เสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายมือ ถัดมาตรงมุมห้องก็เป็นที่วางกีตาร์ตัวโปรดของอีกฝ่าย แล้วก็เป็นโต๊ะเขียนหนังสือตั้งชิดริมหน้าต่างบานสไลด์ ตรงกลางเป็นเตียงนอนที่ทำจากไม้ขนาดหกฟุต
เตียงนี้เป็นเตียงที่เราเคยนอนด้วยกันตอนเด็กๆ น่ะครับ จึงมีขนาดใหญ่ เป็นไม้จริงทั้งหลังอีกต่างหาก พ่อทำเองอีกด้วย
“ทำไงได้ ฝันซ้ำๆ แต่เรื่องเดียวมันน่าหลอนไหมล่ะ” ผมพูดอย่างจนใจ ทั้งปีนขึ้นเตียงไปนอนห่มผ้าด้วยท่าทางเรียบร้อยอย่างกับผ้าพับไว้
“ฝันว่าอะไรล่ะ? เล่าให้ฟังซิ” เด็กน้อยเท้าศอก ยกหัวตะแคงตัว หันหน้ามาหากัน เพื่อฟังคำตอบอย่างใคร่รู้
“ฝันว่ามีคนมายืนรุมสาปแช่งฉันน่ะสิ” ผมตอบอย่างไม่สบอารณ์ เมื่อนึกถึงฝันของตัวเอง
“แค่นี้? ” เจ้านนท์ขมวดคิ้วมองกันด้วยท่าทีมึนงงแกมสงสัย
“อือ” ผมพยักหน้าให้อีกฝ่ายทีหนึ่งด้วยความเซ็ง
แล้วก็เห็นว่า คนตรงหน้ามีท่าทีประหลาดใจ ทั้งเอ่ย “มันน่าหลอนตรงไหนเนี่ย”
“ก็หลอนตรงที่ฝันบ่อยๆ นี่ล่ะ” ผมส่งค้อนให้คนถามด้วยความขัดเคือง ทั้งแอบคิดว่าให้คนในใจไปด้วย แกไม่มาเป็นฉัน แกไม่เข้าใจหรอก มีคนมายืนจ้องตอนนอน ใครจะไม่หลอนกัน
“แล้วพี่ไปทำอะไรให้ใครเขาโกรธล่ะ เขาถึงได้มาแช่งเอาได้” เด็กน้อยถามต่ออย่างสงสัย แล้วหรี่ตามองคล้ายจะจับผิด “ไม่ใช่ว่า ไปทำสาวที่ไหนท้องแล้วไม่ยอมรับนะ เขาเลยมาแช่งเอาน่ะ”
“แกสิไปทำสาวท้อง ฉันอยู่แต่เย้า เฝ้าแต่เรือนโว้ย!” ผมว่าให้เด็กน้อยด้วยความขุ่นเคือง เพราะตัวผมนั้นอยู่แต่บ้านตลอดไม่ค่อยได้ออกไปไหน นอกจากตลาด
แต่จะว่าไปก็แปลก ไม่ค่อยได้ออกไปไหนแท้ๆ แต่กลับมีคนมาสาปแช่งเสียได้...ผมนึกอย่างแปลกใจ ทั้งไม่เข้าใจ
แล้วก็เห็นว่าคนเหยียดมุมปากใส่กันทีหนึ่งอย่างไม่เชื่อถือ ทั้งเอ่ย “จะไปรู้ไหมล่ะ ไม่ได้อยู่ด้วยตลอดเวลานี่”
ได้ยินอย่างนี้ ผมยิ่งโมโหหนัก จึงประกาศบอกอย่างเป็นทางการ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมาสงสัยในเรื่องนี้อีก “รู้ไว้ซะ ว่าพี่ชายแกน่ะ ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ ไม่มีทางไปทำใครเขาท้อง แน่นอน”
ผมลอยหน้าลอยตาบอกเจ้านนท์ด้วยท่าทางจริงจัง ทั้งภาคภูมิใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง อายุย่างยี่สิบห้าแล้ว แต่ยังบริสุทธิ์อยู่เลย...QAQ
ก่อนจะเอ่ยต่อให้คนตรงหน้าได้คิดตาม “ถ้าฉันไปทำใครเขาท้องจริง เขาคงไม่มาแช่งฉันให้เสียเวลาหรอก แต่มาฆ่าฉันเลยไม่สะใจกว่าเหรอ”
“อืม ก็จริงของพี่นะ” เจ้านนท์พยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย แต่ไม่วายถามอีกครั้ง “ว่าแต่ เขามาแช่งพี่ว่าไงอ่ะ? ”
“ขอให้โดนกับตัวเอง ขอให้โดนกับตัวเองอย่างนี้ แต่จะโดนด้วยเรื่องอะไร นี่ ...ฉันก็คิดไม่ออกเหมือนกัน” ผมตอบอย่างไม่รู้จริงๆ ว่ามาแช่งกันด้วยเรื่องอะไร เพราะอย่างที่บอกว่าผมไม่ค่อยได้ออกไปไหน
เล่าจบก็เห็นว่าเด็กน้อยขมวดคิ้วแน่น คล้ายกับว่ากำลังครุ่นคิดแทนกันอยู่อย่างน่าเอ็นดู
“ช่างเถอะ ไม่ต้องคิดแล้ว ขนาดฉันยังคิดไม่ออก แล้วแกจะไปคิดออกได้ยังไง” ผมบอกให้เจ้านนท์เลิกคิด เพราะขนาดผมผู้ถูกแช่ง คิดมาหลายรอบแล้วก็ยังคิดไม่ออกเลย พลางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวไว้ ทั้งตะแคงตัวหันหน้าหนีจากอีกฝ่ายด้วย เพื่อไม่ให้คนมาชวนคุยอีก ก่อนจะได้ยินเสียงปิดไฟและรู้สึกหนักที่ตัว
“นะ นอนดีๆ สิ จะมากอดทำไมเนี่ย” ผมว่าให้คนที่เข้ามากอดและเอาขามาวางพาดบนตัวผม
เนื่องจากทั้งเนื้อทั้งตัวอีกฝ่าย ใส่แค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเท่านั้น แม้จะมีผ้าห่มขวางกั้นก็เถอะ แต่ผมก็อดที่จะตะขิดตะขวงใจไม่ได้ ยิ่งตรงบั้นท้ายคล้ายมีสิ่งดุนดัน ผมยิ่งอึดอัดไม่คุ้นชิน อีกอย่าง เตียงก็ไม่ใช่ว่าจะเล็กคับแคบเสียหน่อย จนต้องมานอนเบียดกันอย่างนี้
ทว่า เหมือนเจ้านนท์จะไม่ได้สนใจคำพูดของผมเลยแม้แต่น้อย เพราะคนยังคงกอดแน่นเหมือนเดิมไม่ยอมปล่อย ทั้งเอ่ย “ว่าแต่ พี่ไม่ได้ไปหักอกใครเขาแน่นะ”
“จะ จะไปหักอกใครเขาได้ ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ไม่ค่อยได้คุยกับใครสักคน” ผมตอบอย่างวาบหวิว ที่โดนอีกฝ่ายกระชับกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะบอกอีกครั้ง “ปะ ไปนอนดีๆ สิ หนัก”
“ไม่อ่ะ ผมไม่ได้นอนกอดพี่นานแล้ว ขอกอดหน่อยไม่ได้หรือไง” เด็กน้อยงอแงด้วยน้ำเสียงห้วนๆ กวนประสาท แม้จะเป็นอย่างนี้ ผมกลับรู้สึกเหมือนว่าคนกำลังน้อยใจอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ตอนนี้ตัวคนซุกหน้าเข้ากับแผ่นหลังของผมและกระชับกอดแน่น หลังจากที่ผมพยายามปัดมือถีบขาเจ้านนท์ออก ผมจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยไปด้วยความสงสาร เพราะจำได้ดีว่าตอนแยกห้องนอนกันวันแรก อีกฝ่ายทั้งโกรธและน้อยใจให้กันมากเพียงใด
เอาเถอะ ถือเสียว่าชดเชยให้ก็แล้วกัน ... ผมคิดอย่างเห็นใจในท้ายที่สุด แล้วก็เคลิ้มหลับไปในเวลาไม่นาน

