3 สาวน้อยข้างบ้าน
บ้านที่ผมอยู่เป็นทาวน์เฮาส์สองชั้น หลายหลังติดกัน เป็นหมู่บ้านจัดสรรขนาดไม่ใหญ่มาก มีสามห้องนอน สองห้องน้ำ แยกเป็นชั้นบนล่างอย่างละห้อง หนึ่งห้องครัวและหนึ่งห้องรับแขก มีพื้นที่จอดรถภายในบ้านได้หนึ่งคัน ข้างกำแพงผมก็ทำเป็นสวนครัวเล็กๆ หน้าบ้านมีต้นมะยม และชุดโต๊ะม้าหินอ่อน ตั้งวางอยู่หนึ่งชุด
หลังจากจัดเก็บงานบ้านเรียบร้อยแล้ว ผมก็ไม่มีอย่างอื่นทำอีก จึงนึกถึงนิยายที่คิดพล็อตค้างไว้
“จะเขียนต่อดีไหมว้า” ผมพึมพำด้วยความลังเล เพราะกลัวว่าตัวเองจะได้ยินเสียงนั้นอีก
“เว้นไว้สักวันก็แล้วกัน แล้วจะทำอะไรดีล่ะ” พลางคิดว่าจะกลับไปอ่านนิยายดีไหม แต่อีกใจก็กลัวว่าจะอ่านจนติดลมแล้วจะไม่อยากกลับมาเขียนนิยายของตัวเอง
ขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดว่าจะทำอะไรอยู่นั้น เสียงเรียกชื่อตัวเองก็ดังมาจากหน้าบ้าน ผมจึงรีบออกไปดู แล้วก็เห็นว่าเป็นจีนสาวน้อยข้างบ้านวัยสิบแปดย่างสิบเก้ามายืนชะเง้อหากันอยู่
“มีอะไรเหรอ” ผมถามอีกฝ่ายเมื่อเดินเข้าไปใกล้
“พี่ลันเขียนนิยายไหมวันนี้” จีนถามพลางเดินมานั่งหลบแดดตอนสิบเอ็ดโมงกว่าที่โต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นมะยมหน้าบ้าน
“ว่าจะไม่เขียนน่ะ” ผมทำหน้าเซ็งๆ ใส่คนถาม พลางเดินไปนั่งลงยังม้านั่งอีกตัวตรงข้ามกัน
“ทำไมล่ะ? ” สาวน้อยทำหน้างุนงง เมื่อเห็นสีหน้าผม
ด้วยผมเขียนนิยายแทบจะทุกวันน่ะครับ ไม่ใช่ว่าพลังงานล้นเหลืออะไรหรอกครับ แค่ผมต้องการเงินนะครับ ผมอยากมีอาชีพที่ยืนได้ด้วยขาตัวเองเร็วๆ และที่สำคัญคือผมกำลังสนุกด้วย แต่ตอนนี้กลับรู้สึกไม่สนุกแล้ว เพราะเสียงสาปแช่งที่ตามหลอกหลอน
“คิดไม่ออก แล้วก็มีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อยนะ” ผมตอบทั้งถอนหายใจ
“ไม่สบายใจเรื่องอะไร เล่าให้หนูฟังได้นะ ส่วนนิยายก็ค่อยๆ คิดเดี๋ยวมันก็คิดออกเองแหละ” คนตรงข้ามมองกันอย่างห่วงใยทั้งปลอบใจด้วย
“พี่ฝันว่ามีคนมาแช่งพี่น่ะสิ และบางทีที่กำลังคิดเรื่องนิยายอยู่เพลินๆ ก็จะมีเสียงสาปแช่งลอยเข้าหูมาให้ได้ยินเหมือนกัน ที่สำคัญคือแช่งแบบเดียวกันด้วยขอให้โดนกับตัวเอง” ผมเล่าให้คนตรงหน้าฟังอย่างไม่ปกปิด
ต้องบอกก่อนว่าผมกับจีนสนิทกันมาก ด้วยอยู่บ้านติดกัน และชอบอ่านนิยายเหมือนๆ กัน ทั้งเธอยังเป็นคนแนะนำให้ผมเขียนนิยายด้วย
“ยังไง” สาวน้อยตรงหน้ายกสองมือขึ้นมาเท้าคางรอฟังอย่างตั้งใจ
ผมจึงเล่าให้อีกฝ่ายฟัง เช่นเดียวกับที่เล่ากับน้องชายฟัง เพียงแต่จะละเอียดกว่า เพราะว่ามันเกี่ยวเนื่องกับตอนที่ผมกำลังคิดเรื่องนิยายอยู่
“ไม่ใช่ว่านายเอกนิยายของพี่ มาแช่งพี่นะ” คนตรงหน้าพูดด้วยท่าทางขบขัน หลังฟังผมเล่าจบ
“อ่านแนวทะลุมิติเยอะเกินไปไหมเราน่ะ” ผมว่าให้คนที่คิดโยงไปถึงนิยายแนวที่กำลังฮิตอยู่ในตอนนี้ ด้วยความเซ็งจัดยิ่งกว่าเดิม
“แหะๆ ล้อเล่นน่ะ เห็นพี่ซีเรียสก็อยากให้พี่อารมณ์ดีเท่านั้นเอง” จีนแก้ตัว ก่อนจะทำสีหน้าครุ่นคิด ทั้งเคาะนิ้วลงบนโต๊ะด้วยท่าทางจริงจัง ทั้งพึมพำไปด้วย “ปกติคนจะแช่งกัน ก็มีแต่แช่งให้ตายโหงตายห่านี่นา”
สาวน้อยตั้งข้อสังเกต แต่เมื่อพูดมาแล้ว คนก็คล้ายกับนึกขึ้นได้จึงส่งยิ้มแห้งๆ มาให้ผมทีหนึ่ง
“หนูไม่ได้แช่งพี่นะ หนูแค่พูดไปตามที่รู้สึกเท่านั้น” จีนแก้ตัวด้วยรอยยิ้มขัดเขิน ผมจึงพยักหน้าให้อย่างเข้าใจ
เพราะถ้าพูดถึงคำสาปแช่งก็มีแต่ถ้อยคำรุนแรงทั้งนั้น ไม่มีทางมาบอกแค่ว่าขอให้โดนกับตัวเองอย่างนี้หรอก หรือเราเผลอไปแช่งใครไว้ เขาเลยมาแช่งกลับ ผมคิดอย่างไม่แน่ใจในตอนท้าย
“ช่างเถอะ เลิกคิดเถอะ คิดไม่ออกหรอก” ผมบอกคนที่กำลังครุ่นคิดแทนกันไม่ให้ใส่ใจ เพราะตนเองก็คิดมาหลายรอบแล้วยังคิดไม่ออกเลย จึงไม่อยากให้เปลืองสมองไปด้วยอีกคน ทั้งเอ่ยถามเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย “ว่าแต่เราเถอะ มาหาพี่มีธุระอะไร มายืมนิยายเหรอ”
“ไม่ได้มายืมนิยาย แค่จะมาชวนพี่ไปเดินเล่นที่ห้างเฉยๆ ฉลองสอบเสร็จน่ะ” สาวน้อยเอ่ยชวนด้วยท่าทางเรื่อยเปื่อย เนื่องจากเธอเพิ่งจะสอบจบชั้นม.หกผ่านไปเมื่อวันก่อน ก่อนที่จะเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง
"ไม่ชวนแม่ไปล่ะ? " ผมถามด้วยความสงสงสัย เพราะน้าใจแม่ของจีนก็ทำงานเย็บผ้าอยู่บ้านทั้งวัน
"แม่เขาเหนื่อยนะ ขี้เกียจด้วย เลยให้หนูมาชวนพี่" สาวน้อยเอ่ยด้วยใบหน้ายับย่น
ครอบครัวของเราทั้งสองรู้จักและสนิทสนมกันมาหลายปีแล้วน่ะครับ น้าทั้งสองรู้จักนิสัยใจคอของผมเป็นอย่างดี รู้ว่าผมไม่ทำตัวเกเรและออกนอกลู่นอกทางเลยสักครั้ง และที่สำคัญคือผมไม่เคยคิดกับลูกสาวของพวกเขาเป็นอย่างอื่นเลย นอกจากน้องสาวเท่านั้น แม้ว่าน้าทวนพ่อของจีนจะอยากให้คิดก็ตามที นั่นจึงทำให้พวกท่านไว้วางใจในตัวผม ยอมให้พวกเราออกไปออกข้างด้วยกันอย่างไม่สงสัย อีกอย่างสถานที่ที่เราไปก็เป็นที่ชุมชนคนพลุกพล่านทั้งนั้น จึงไม่ห่วงกังวลมาก
เห็นอยู่บ้านติดกันอย่างนี้ พวกเราก็ไม่เคยก้าวเข้าบ้านของอีกฝ่าย ตอนที่ไม่มีบุคคลที่สามอยู่เลยนะครับ ส่วนใหญ่ก็มานั่งคุยกันอยู่ใต้ต้นมะยมหน้าบ้านเหมือนอย่างในตอนนี้ นี่แหละครับ
“อือ เอาสิ” ผมตอบรับทันที เพราะอย่างไรก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ถือเสียว่าไปเดินเล่นฆ่าเวลาก็แล้วกัน แถมขากลับยังแวะไปซื้อของที่ตลาดสดซึ่งอยู่ใกล้ห้างได้อีกด้วย
เนื่องจากว่าวันนี้ต้องทำกับข้าวเยอะกว่าปกติน่ะครับ ดังนั้นไปตลาดใหญ่ จะได้ของถูกกว่า และครบกว่าเป็นผลพลอยได้พอดี
หลังจากล็อกบ้านเรียบร้อยแล้ว ผมก็ขับมอเตอร์ไซค์คู่กายไปกับจีนทันที
เมื่อพาสาวน้อย ไปเดินเล่นกินขนม ในห้างจนเหนื่อยแล้ว ผมก็มาที่ตลาดสด เพื่อมาซื้อของไปทำกับข้าว
เลี้ยงลูกน้องทีไรกินแต่เหล้ากันทุกที ... ผมนึกบ่นด้วยความเป็นห่วงพ่อ ที่ชอบกินของมึนเมาแข่งกับวัยรุ่นอยู่ ทั้งๆ ที่อายุก็ห้าสิบกว่าแล้ว แต่ก็ได้แค่บ่นในใจเท่านั้นแหละครับ เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมเลิก
ดังนั้นผมจึงคิดจะทำกุ้งแช่น้ำปลาเป็นกับแกล้มให้อย่างหนึ่งและย่างไส้หมู ลิ้นหมูอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตัวย่างหมูนี้เป็นได้ทั้งกับแกล้มและกับข้าวซึ่งกินคู่กับข้าวเหนียวไปด้วยได้พอดี
เห็นเมนูแล้วคงจะสงสัยใช่ไหมครับ ความจริงแล้วครอบครัวผมมีต้นกำเนิดมาจากภาคอีสานน่ะครับ
ขณะที่กำลังเลือกซื้อของอยู่นั้นเจ้านนท์ก็โทรมา
(พี่อยู่ไหนน่ะ) ต้นสายถามเสียงห้วน คล้ายกับว่าไม่พอใจอย่างไรอย่างนั้น แต่จะไม่พอใจด้วยเรื่องอะไร อันนี้ผมก็ไม่รู้จริงๆ
“อยู่ตลาด เอาอะไรไหม จะซื้อไปให้” ด้วยวันนี้เจ้านนท์ไปเก็บงานนะครับ จึงกลับบ้านเร็วได้
(ไม่เอา) อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดีกว่าเมื่อสักครู่นี้ ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนบอกผมให้รีบกลับบ้านเร็วๆ
“อือ จะกลับแล้ว ไม่เอาอะไรแน่นะ” ผมถามย้ำ
(ไม่เอา) หลังจากย้ำชัดแล้ว ทางนั้นก็วางสายไป
“พี่นนท์โทรมาเหรอ” สาวน้อยข้างตัวเอ่ยถามด้วยท่าทีใคร่รู้
“อือ” ผมพยักหน้าให้อีกฝ่าย แล้วก็เห็นว่าคนยกยิ้มมุมปากด้วยท่าทางทะเล้นแล้วเอ่ย
“ตกลงพี่นนท์นี่เป็นน้องพี่ แฟนพี่หรือพ่อพี่กันแน่เนี่ย โทรเช็กตลอด” สาวน้อยหยอกเย้าด้วยท่าทางกรุ้มกริ่มแววตาเป็นประกาย เนื่องจากออกมาข้างนอกด้วยกันทีไร เป็นได้เห็นเจ้านนท์โทรตามทุกที
ถ้าเป็นคนอื่นฟังอาจจะดูแปลกๆ นะครับ แต่เพราะผมรู้ว่าเธอคนนี้เป็นสาววายขั้นสุด จึงไม่แปลกใจกับคำพูดอีกฝ่ายแล้ว เนื่องจากจีนรู้ว่าผมและนนท์ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ ดังนั้นธอจึงชอบมโนว่าน้องชายชอบผมอยู่เรื่อย
แต่เพราะเคยโดนผมว่าให้ว่าคิดมาก อินกับนิยายชายรักชาย ที่อ่านมากเกินไป จนมองคนอื่นเป็นอย่างนั้นไปเสียหมด หลังจากนั้นมา จีนเลยมีคำว่าน้องกับพ่อเพิ่มขึ้นมา เพื่อไม่ให้โดนว่าให้อีก ซึ่งผมก็ได้แต่ยอมให้กับความมโนของสาวน้อยคนนี้จริงๆ
อ้อ ขอบอกเพิ่มเติมนะครับ ว่าที่ผมมาเขียนนิยายชายรักชายได้ ก็เพราะสาวน้อยคนเดิมนี่แหละ
หลังจากที่อีกฝ่ายแนะนำให้ลองเขียนนิยายดู ผมก็มาเขียนนิยายชายหญิงเรื่องหนึ่ง ซึ่งแทบจะไม่มีคนอ่านเลย ผมจึงจะเลิกเขียน เห็นอย่างนี้จีนเลยแนะนำให้ลองเขียนนิยายวายดู ทั้งยังพาไปซื้อนิยายชายรักชายอีกตั้งหลายเล่มแน่ะครับ และตั้งแต่นั้นมาผมจึงอ่านแต่นิยายวาย เพื่อเป็นแนวทางในการเขียนของตัวเอง
“พี่น้องกันนี่แหละ” ผมถอนหายใจทั้งส่ายหน้าให้คนชอบมโน ก่อนจะเอ่ยกำชับ “อย่าไปพูดอย่างนี้ให้ไอ้นนท์ได้ยินเชียว เดี๋ยวเขาจะพาลเกลียดขี้หน้าเอา”
เมื่อพูดจบ สาวน้อยก็ทำท่าค้อนปะหลับปะเหลือกใส่กันทีหนึ่งแล้วเอ่ย “ฮึ ทำอย่างกับทุกวันนี้พี่นนท์เขาชอบขี้หน้าหนูนักนี่!”
“แล้วเราไปทำอะไรให้พี่เขาไม่พอใจล่ะ? ” ผมถามด้วยความอยากรู้ เนื่องจากทั้งสองคน ไม่ค่อยจะได้เจอหน้าและพูดจากัน แต่กลับทำเหมือนไม่ถูกกันเสียอย่างนั้น พลางคิดว่าให้คนข้างตัว ไม่ใช่ว่าเผลอไปมโนใส่อีกฝ่ายนะ เขาเลยเกลียดเอาน่ะ
“แค่สนิทกับพี่ พี่นนท์เขาก็ไม่ชอบหนูแล้ว!” สาวน้อยกระแทกเสียงตอบ ก่อนจะเดินหนีไปซื้อลูกชิ้นกิน โดยไม่สนใจกันอีก
"ว่าแล้วเชียว! " ผมว่าให้คนที่เดินหนีไปด้วยความขบขัน หลังเห็นท่าทีของอีกฝ่าย ที่คล้ายจะเป็นจริง ตามที่นึกไปเมื่อสักครู่ ทั้งส่ายหน้าให้อย่างระอาระคนเอ็นดูคนชอบมโน
ก่อนจะเดินไปซื้อของในส่วนของตัวเอง ไม่สนใจสาวน้อยแสนงอนด้วยเช่นกัน ซื้อของเสร็จก็กลับมาบ้านทันที โดยมีจีนนั่งซ้อนท้าย ถือของพะรุงพะรังมาด้วยเช่นตอนขาไป
