บท
ตั้งค่า

2 ครอบครัวของผม

เช้าของวันใหม่ผมก็ตื่นขึ้นมาด้วยความสดใส เพราะไม่ได้ฝันอะไรเลย ช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ ได้นอนเต็มอิ่มสักที ผมคิดด้วยความดีใจทั้งตั้งข้อสังเกตไปด้วย

หรือว่าพวกที่มาแช่งผม เห็นว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยมันเลยไม่กล้ามา ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ดีสินะ อย่างน้อยก็ยังได้รู้วิธีหลบหลีกจากฝันบ้าๆ นี้ด้วยการมานอนกับเจ้านนท์

แต่การมานอนกับไอ้เด็กนี่ก็มีข้อเสียอีกละ ถูกคนนอนกอดทั้งคืนเลย ... ผมบ่นให้น้องชายในใจ พลางขยับตัวออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายด้วยความเมื่อยขบ แล้วลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาและลงมาทำกับข้าว

ครอบครัวผมอยู่ด้วยกันสามคนคือผมกับพ่อแล้วก็น้อง ส่วนแม่ของผมนั้น ท่านได้จากไปตั้งแต่ผมเรียนอยู่ม.ห้าแล้ว หลังจากจบ ม.หก ผมก็เลือกที่จะทำงานในร้านสะดวกซื้อไปด้วย เรียนปวส.ภาคค่ำไปด้วย เพราะสงสารพ่อที่ต้องทำงานคนเดียว เพื่อหาเงินมาเลี้ยงเราสองคน

แต่ใครจะไปคาดคิดว่าการทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย จะทำให้ผมวูบหมดสติจนต้องเข้าโรงพยาบาล นี่จึงทำให้พ่อโมโหมาก ท่านจึงสั่งให้ผมเลิกทำงาน แล้วมาตั้งใจเรียนอย่างเดียว ส่วนเวลาว่าง ก็ให้ดูแลบ้านทำหน้าที่แทนแม่ที่จากไป

ตั้งแต่นั้นมาผมจึงเป็นคนรับผิดชอบงานบ้านทั้งหมด และแม้ว่าจะเรียนจบแล้ว พ่อก็ไม่ยอมให้ผมไปทำงานที่ไหนอีก ด้วยเหตุผลที่ว่า ท่านไม่อยากสูญเสียผมไปเหมือนกับแม่ ซึ่งแม่ได้จากไปด้วยอาการวูบหมดสติอย่างนี้เหมือนกัน เพียงแต่แม่มีโรคประจำตัวอื่นๆ ด้วยหลายโรค ส่วนผมกลับมีแค่โรคโลหิตจาง กับอาการอ่อนเพลียสะสมจากการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ เพราะต้องทำงานกะกลางคืน และกินอาหารไม่ตรงเวลาเท่านั้น กระนั้นท่านก็ไม่วางใจอยู่ดี

ดังนั้น ผมจึงได้แต่ทำตามคำสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ ด้วยรู้ดีว่าพ่อเป็นห่วงจริงๆถึงได้ห้ามอย่างนี้ และนี่ก็คือสาเหตุ ว่าทำไมผมถึงไม่ค่อยได้ออกไปไหน

หลังจากเรียนจบมา ผมก็บ้าอ่านนิยายมาก ด้วยไม่มีอะไรทำ ก่อนจะผันตัวมาเป็นนักเขียนนิยาย ตามที่สาวน้อยข้างบ้าน ที่ชอบมายืมนิยายผมไปอ่านบ่อยๆ แนะนำและคะยั้นคะยอให้ลองเขียนดู เพราะเธอเห็นว่าผมอ่านนิยายมาเยอะและมีเวลาว่างมากน่ะครับ จนทำให้ผมมีรายได้น้อยๆ เป็นของตัวเองอย่างภาคภูมิใจในทุกวันนี้

ซึ่งเรื่องเขียนนิยายนี้ผมไม่เคยบอกใครในบ้านเลย ไม่ใช่ว่าผมอายที่มีรายได้น้อยหรอกนะครับ แต่ผมอายที่เขียนฉาก X มากเกินไปต่างหากล่ะ ฮ่าๆ ๆ

ผมคิดและอมยิ้มอยู่คนเดียว เมื่อนึกถึงนิยายของตัวเอง

“อารมณ์ดีจังเลยนะ”

เสียงเจ้านนท์พูดขึ้น ก่อนที่ตัวคนจะเดินเข้ามายืนอยู่ข้างกัน คาดว่า อีกฝ่ายคงจะเห็นอาการกลั้นยิ้มขำขันของผมเมื่อครู่นี้เป็นแน่ ถึงได้เอ่ยทักเช่นนี้

“อืม เมื่อคืนไม่ฝันว่ามีคนมาแช่งแล้ว” ผมรับสมอ้าง ทั้งหันมาส่งยิ้มให้น้องชาย

“เพราะผมนอนกอดพี่แน่เลย พวกที่มาแช่งมันเลยกลัว” อีกฝ่ายเข้าข้างตัวเอง พลางยืนจ้องผมตาแป๋วอยู่อย่างนั้น

“จะว่าตัวเองเป็นคนดี ผีเลยกลัวว่างั้น? ” ผมแขวะคนข้างกันด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะหันไปผัดกับข้าวต่อด้วย

“แล้วไม่ใช่หรือไง? ” เด็กน้อยยอกย้อนเหมือนกับกำลังทวงบุญคุณอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ผมจึงหันหน้าไปหา แล้วตอบกลับด้วยความหมั่นไส้หนักยิ่งกว่าเดิม “ใช่สิคร้าบบบ น้องชายของพี่เป็นคนดีม๊ากมาก ดีจนผีกลัว... ขอบคุณน้องมากเลยนะครับ ที่เสียสละตัวเองนอนกอดพี่ไว้ไม่ให้ผีมันมาแช่งพี่ได้ งั้นต่อไปพี่คงต้องรบกวนฝากตัวเองให้น้องรักดูแลอีกสักระยะนะครับ”

สุดท้าย ก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณคนข้างๆ ไปด้วยความซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้

“ด้วยความยินดีคร้าบบ” คนหลงตัวเองตอบรับคำฝากตัวด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะกางแขนออก แล้วเข้ามาสวมกอดผมจากทางด้านข้าง จนผมขนลุกชันขึ้นมาด้วยความจั้กจี้

จะไม่ให้จั้กจี้ได้อย่างไร พวกเราโตๆ กันแล้วนะครับ ไม่ใช่เด็กน้อยสักหน่อย ที่จะมากอดออดอ้อนกันอย่างนี้... ผมคิดอย่างไม่คุ้นชิน ก่อนที่จะได้ยินเจ้านนท์พูดอีกครั้งด้วยท่าทางจริงจัง

"กอดนี้สำหรับตอนกลางวันนะครับ เผื่อพวกนั้นจะได้ไม่กล้ามารบกวนพี่" เจ้านนท์ที่เอาคางเกยไหล่ผมอยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม

"ขะ ขะ ขนลุก" ผมขืนตัวออกจากอ้อมกอดของเจ้านนท์ พร้อมกับว่าให้อีกฝ่ายอย่างอดไม่ไหว ที่มากระซิบที่ข้างหูและกอดผมอย่างไม่มีท่าทีว่าจะปล่อย “เลิกเล่นได้แล้ว รีบยกกับข้าวไปได้แล้วเดี๋ยวก็ไปทำงานสายหรอก”

“จะรีบไปไหน ไม่มีใครมาว่าสักหน่อย” เด็กน้อยกระเง้ากระงอด ทั้งปล่อยมือที่กอดกันอยู่ออกเหมือนคนไม่เต็มใจอย่างไรอย่างนั้น

ครอบครัวเรา ทำเกี่ยวกับรับเหมาตกแต่งภายในน่ะครับ เป็นงานอิสระดั่งเช่นงานรับจ้างทั่วไป ที่แล้วแต่ใครจะมาว่าจ้าง ดังนั้น จึงไม่เร่งรีบกับเวลาทำงานเหมือนเช่นคนอื่นๆ แค่วางแผนงานให้เป็นระบบ เป็นขั้น เป็นตอนได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะครับ นอกเสียจากว่าผู้ว่าจ้างจะเปลี่ยนแบบหรือไม่จ่ายเงิน อันนี้ล่ะ ถึงจะเป็นปัญหาแบบสุดๆ

จนเมื่อทำกับข้าวอย่างสุดท้ายเสร็จ ผมกับน้องชายก็ช่วยกันยกกับข้าวออกมาที่โต๊ะกินข้าวตรงกลางบ้าน ใกล้กับโซฟารับแขกติดประตู แล้วก็เห็นว่าพ่อของพวกเรามานั่งดูข่าวรออยู่ที่โซฟารับแขกก่อนแล้ว

“ดูข่าวนี้สิ พี่น้องทะเลาะกันเพราะแย่งมรดก ช่างน่าสังเวชใจจริงๆ ขนาดเป็นพี่น้องคลานตามกันมาแท้ๆ” พ่อถอนหายใจแล้วส่ายหน้าให้กับข่าวในจอทีวี ก่อนจะหันหน้ามามองเราสองคนแล้วยิ้มเอ่ยด้วยสีหน้าดีใจไม่ปกปิด “ดีที่ลูกๆ ของพ่อรักและสนิทสนมกันอย่างกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ ไม่มีปัญหาทะเลาะกันเลยสักครั้ง พ่อล่ะดีใจจริงๆ”

อ้อ ลืมบอกไปว่าผมกับเจ้านนท์ ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ หรอกนะครับ แม่ของผมที่จากไปและพ่อที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้ทั้งคู่เคยผ่านการหย่าร้างมาก่อน แล้วมาพบรักกันและอยู่ด้วยกันในภายหลังจึงเกิดเป็นครอบครัวที่อบอุ่นนี้ขึ้นมา พ่อกับแม่ก็ไม่เคยลำเอียงลูกฉันลูกเธอเลยสักครั้ง ทั้งคู่ปฏิบัติต่อลูกของอีกฝ่ายดุจดั่งลูกของตัวเอง จึงทำให้ผมกับเจ้านนท์รักกันดุจดั่งพี่น้องคลานตามกันมาจริงๆ น่ะครับ

“นั่นเป็นเพราะว่าพ่อกับแม่สอนพวกเรามาดีไงครับ” ผมบอกอย่างเอาใจ พร้อมทั้งนั่งลงประจำที่ของตัวเองรวมทั้งเจ้านนท์ด้วย

“เสียดายก็แต่ ลันน่าจะเป็นผู้หญิง จะได้จับไอ้นนท์ใส่พานยกให้ อย่างนี้พ่อจะได้สบายใจ ที่ลันมีคนดูแล จะว่าพ่อเห็นแก่ตัวก็ได้ เพราะพ่อไม่อยากได้คนอื่นมาเป็นลูกสะใภ้ และก็ไม่อยากให้ลันไปเป็นเขยคนอื่นด้วย พ่อกลัวว่าเขาจะไม่ดีกับลูกชายของพ่อ” พ่อเอ่ยทั้งถอนหายใจ พลางทำหน้าเสียดายให้เห็นเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้มรับดั่งเช่นทุกครั้ง

“ว่าแต่เมื่อคืนใครเป็นอะไรเหรอ” จู่ๆ พ่อก็เปลี่ยนเรื่องคล้ายกับว่านึกขึ้นได้

“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่นอนไม่หลับเลยไปชวนน้องคุยเล่นเท่านั้น” ผมรีบแย่งเจ้านนท์ตอบ ด้วยไม่ต้องการให้พ่อรับรู้ว่าตัวเองถูกตามสาปแช่งอยู่

“แน่นะ? ” พ่อถามย้ำเหมือนไม่วางใจ ทั้งมองหน้าผมไปด้วย

ผมจึงพยักหน้าให้ ทั้งตอบกลับด้วยเพื่อยืนยัน “ครับ”

เมื่อเห็นว่าผมไม่มีเรื่องใดปิดบังจริงๆพ่อจึงหันไปคุยกับลูกชายอีกคนต่อ “วันนี้แกพาไอ้ปอกับไอ้ปลาไปเก็บงานที่บ้านคุณเอ๋นะ แล้วก็ถ่ายรูปมาด้วย จะได้ทำเรื่องเบิกเงินงวดสุดท้าย”

“ครับ” คนถูกสั่งงานเอ่ยตอบรับ

ส่วนผมก็นั่งฟังทั้งสองคนคุยเรื่องงานกันอย่างเซ็งๆ เพราะผมไม่ได้ไปทำงานด้วย ตอนนี้พ่อกำลังสอนงานให้เจ้านนท์อย่างจริงจัง หลังจากที่อีกฝ่ายเรียนจบปวส.แล้ว นั่นทำให้ผมอดอิจฉาน้องไม่ได้ ที่ได้ไปทำงานช่วยพ่อ

“อย่าน้อยใจไปเลย ที่พ่อไม่ให้เราไปทำงานที่ไหนก็เพราะพ่อเป็นห่วงลันนะ อีกอย่างที่ลันทำอยู่ทุกวันนี้พ่อก็ดีใจมากแล้ว ดูสิตื่นมามีคนทำกับข้าวอร่อยๆ ให้กิน บ้านช่องหรือก็สะอาดสะอ้าน ถ้าลันยังต้องไปทำงานกับพ่ออีกก็เหนื่อยแย่สิ ” พ่อหันมาอธิบายยืดยาว คงกลัวว่าผมจะน้อยใจล่ะมั้ง

“ครับ” ผมฉีกยิ้มให้อย่างไม่เป็นไรจริงๆ เพราะผมมีอาชีพของตัวเองแล้วคือนักเขียน

แม้รายได้ตอนนี้จะยังไม่พอซื้อลูกอมก็เถอะ แต่ก็ดีกว่าไม่มีอาชีพเลย ไม่แน่ว่าสักวันงานของผมอาจจะดังเปรี้ยงปร้างขึ้นมาก็ได้ ...ผมนึกปลอบใจตัวเองในตอนท้าย

“จริงสิ วันนี้ลันทำกับข้าวเยอะหน่อยนะ พ่อจะออกเงินค่าแรงให้คนงานและจะเลี้ยงพวกเขาสักหน่อย” พ่อพูดกับผมอีกครั้งเหมือนนึกขึ้นได้ พลางยื่นเงินให้ด้วย

“ยังมีอยู่เลยครับ” ผมรีบบอก ด้วยทุกเดือนพ่อจะโอนเงินเข้าบัญชีผมไว้เป็นค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว อันที่จริงจะว่าค่าใช้จ่ายก็ไม่ถูกเพราะพ่อโอนให้เยอะมาก แทบจะทุกบาททุกสตางค์ ที่หามาได้ คล้ายๆ กับว่าต้องการสร้างหลักประกันให้ผมได้สบายใจ ไม่ให้คิดมากอย่างไรอย่างนั้น ดังนั้น ผมจึงไม่เคยน้อยใจเลยสักครั้ง มีแต่ต้องเก็บและใช้สอยอย่างประหยัดเท่านั้น

“ไม่เป็นไร เผื่อลันจะใช้จะได้ไม่ต้องไปกดออกมา” เมื่อพ่อพูดมาอย่างนี้ผมก็ต้องรับเงินมาแล้วล่ะครับ

“ครับ” ผมตอบรับพร้อมกับเก็บเงินใส่กระเป๋ากางเกงให้เรียบร้อย

หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ สองพ่อลูกก็ออกไปทำงาน ทิ้งให้ผมอยู่บ้านคนเดียวเหมือนอย่างเคย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel