กุญแจดอกที่ 2 : นักล่าหญิงผู้เหมือนปีศาจ (บทต้น)
ปีศาจคือศัตรู คือทุกสิ่งทุกอย่างของความชั่วร้ายและคือสิ่งที่พวกเราต้องไล่ล่า
ทว่าสิ่งที่พวกเราหวาดกลัวยิ่งกว่าปีศาจ...
กลับเป็นตัวของพวกเราเอง...
•.★*... ...*★.•
ดอกกุหลาบสีขาว แลดูบริสุทธิ์และงดงาม แต่ฉากหลังของดอกไม้ที่แสนสวยงามนั้นกลับเต็มไปด้วยหนามแหลมคมที่พร้อมจะทิ่มแทงทุกคนและทุกสิ่งที่เข้ามาใกล้
พวกเราที่เกิดมาพร้อมรูปดอกกุหลาบสีขาวก็ล้วนเป็นเช่นนั้น ทุกคนต่างมองพวกเราอย่างชื่นชมและบูชาในพลังเวทที่พวกเราได้รับมาตั้งแต่เกิด พลังเวทที่สามารถใช้ได้ทุกธาตุ ทว่าเบื้องหลังที่สวยงามของพวกเรากลับไม่แตกต่างจากดอกกุกลาบขาวที่งดงามนั่น เพราะยิ่งมีพลังมากเท่าไหร่ พวกเรา...ก็ยิ่งหวาดกลัวตนเองมากขึ้นเท่านั้น
พวกเราซึ่งเกิดมาพร้อมรูปดอกกุหลาบสีขาวจะต้องเติบโตขึ้นเป็นนักล่า และสิ่งที่พวกเราต้องไล่ล่าคือเด็กผู้เกิดมาพร้อมดอกกุหลาบสีม่วง เพราะยามที่พวกเขาโตขึ้นคนพวกนี้จะกลับกลายเป็นปีศาจร้ายที่หันกลับมาทำลายทุกคน นั่นคือชีวิตที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก ไม่ว่าพวกเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม
แต่ยิ่งพวกเรามีอำนาจและพลังมากเท่าไหร่ปีศาจที่หลับอยู่ในส่วนลึกของร่างกายก็จะยิ่งมีอำนาจมากขึ้นเท่านั้น พวกเรากลัวว่าสักวันมันจะมีอำนาจเกิดกว่าที่พวกเราจะควบคุมได้ และถ้าวันนั้นมาถึง พวกเราก็จะกลับกลายไปเป็นปีศาจเสียเอง...กลับกลายไปเป็นสิ่งที่พวกเราไล่ล่ามาโดยตลอด
ใช่...ปีศาจคือศัตรู คือทุกสิ่งของความชั่วร้ายที่นักล่าอย่างเราต้องไล่ล่า แต่สิ่งที่พวกเราหวาดกลัวยิ่งกว่าปีศาจกลับเป็นตัวของพวกเราเอง...
แต่ในประวัติศาสตร์อันยาวนานมีส่วนน้อยที่นักล่าจะกลับกลายเป็นปีศาจ นั่นทำให้รูปดอกกุหลาบสีขาวที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด สำหรับคนบางคนแล้วมันถือเป็นของขวัญล้ำค่าจากฟากฟ้าที่ประทานมาให้พวกเขา
ยกเว้นตระกูลของราชวงศ์แห่งโซเวีย เพราะสำหรับพวกเขาแล้วรูปดอกกุหลาบสีขาวที่พวกเขาได้รับกลับเป็นเสมือนตราบาปที่ทรมานพวกเขาอย่างแสนสาหัส เป็นตราบาปที่ตามหลอกหลอนรุ่นแล้วรุ่นเล่าอย่างไม่มีวันจบสิ้น ในเมื่อพวกเขาทุกรุ่นต่างมีอำนาจและพลังที่แข็งแกร่งมากจนไม่อาจจะสะกดปีศาจในตัวไว้ได้ตลอดเวลา
ในเวลากลางคืนยามใดที่ได้เห็นหรือสัมผัสเลือด ปีศาจที่อยู่ภายในกายก็จะร่ำร้องแล้วผลักพวกเราเข้าไปอยู่ด้านใน ก่อนมันจะดันตัวเองออกมาแทนที่เพื่อจะเข่นฆ่าและทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า
พวกเราต้องทรมานขณะมองดูปีศาจที่เข้ายึดครองร่างอย่างทำอะไรไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงแค่อ้อนวอน...อ้อนวอนขอให้มันหยุดมืออยู่ภายในโดยที่รู้ว่าต่อให้คุกเข่าอ้อนวอนแค่ไหนพวกมันก็ไม่มีวันที่จะรามือ
มีเพียงตระกูลเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยพวกเราได้ นั่นคือตระกูลของราชวงศ์แห่งดาร์กเซส ซึ่งเป็นเพียงตระกูลเดียวในโลกที่เกิดมาพร้อมรูปดอกกุหลาบสีดำ
ในแต่ละครั้งที่คนในราชวงศ์แห่งโซเวียเกิดมาก็จะมีเพียงคนๆเดียวเท่านั้นในตระกูลดาร์กเซสที่จะหยุดปีศาจร้ายในร่างได้ ราวกับว่าคนหนึ่งในราชวงศ์แห่งดาร์กเซสจะเกิดมาเพื่อคนหนึ่งในราชวงศ์แห่งโซเวีย เหมือนกับพวกเขาเกิดมาเพื่อกันและกัน และมันก็เป็นแบบนั้นเรื่อยมา...
•.★*... ...*★.•
วันนี้พระราชวังแห่งโซเวียที่เคยเงียบสงบกลับต้องตอนรับพระราชอัคตุกะจากประเทศข้างเคียง รถลากที่เทียบเพกาซัสได้จอดลงบนพื้นในวังโซเวียอย่างนุ่มนวลตั้งแต่เช้าก่อนบุรุษผมดำทรงอำนาจจะก้าวลงมาจากรถเป็นคนแรก ดวงตาสีนิลคู่นั้นสงบนิ่งทว่าคมกริบ ไอสังหารบางๆที่ล้อมรอบร่างสูงอยู่นั้นขับให้บุรุษคนนี้ดูน่ายำเกรงขึ้น
สตรีคนที่สองที่ก้าวลงจากรถม้าแม้จะดูยิ้มแย้มแต่ก็ไม่ละทิ้งความสูงศักดิ์อย่างราชนิกุลไว้ ดวงตาสีนิลกวาดไปมองตรงนู้นทีตรงนี้ทีทำให้เส้นผมสีดำยาวสะบัดไปตามแรงหันหน้าของเจ้าตัว
สองคนที่เพิ่งลงมาจากรถคือคนสำคัญมากที่สุดในดาร์ดเซส องค์ราชาเอรีส เดริอัสกับองค์ราชินีมาอาน่า เดริอัสแห่งดาร์ดเซส แต่ไม่นานเด็กอายุห้าขวบเจ็ดคนก็เดินตามลงมาจากรถ
ดวงตาสีนิลขององค์ราชินีหันไปมองเด็กรุ่นลูกที่มีทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย แต่ละคนต่างเรียบร้อยและสง่างามสมกับที่เป็นคนในตระกูลของราชวงศ์แห่งดาร์ดเซส ซึ่งคนที่นี้รู้ดีว่ากลุ่มคนตรงหน้าทั้งหมดคือผู้ที่เกิดมาพร้อมกับรูปดอกกุหลาบสีดำ
“วันนี้แล้วสินะ” องค์ราชาเอรีสพึมพำเบาๆกับพระองค์เองแต่มีหรือจะรอดหูขององค์ราชินีที่ยืนอยู่ข้างๆไปได้ ซึ่งมาอาน่าก็ยิ้มออกมาพลางพยักหน้าให้
“ใช่...วันนี้แล้ว อยากรู้จังเลยว่าเด็กคนไหนจะได้เป็นผู้ถูกเลือก” เสียงหวานพูดอย่างตื่นเต้นผิดกับเอรีสที่ค้านขึ้นมาในใจ
มาครั้งนี้มันไม่ได้สนุกอย่างที่คิดหรอกนะมาอาน่า มาครั้งนี้เธอจะได้เห็นถึงความเจ็บปวดของคนในตระกูลราชวงศ์แห่งโซเวีย และพอถึงตอนนั้นเธออาจจะไม่อยากจะรับรู้ถึงมันอีก
•.★*... ...*★.•
ภายในราชวังแห่งโซเวียอันยิ่งใหญ่ ของทุกอย่างในนี้ล้วนแต่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามและหรูหราซึ่งแน่นอนว่าของแต่ละชิ้นล้วนมีราคาแพงลิบลิ่วจนแม้แต่คนร่ำรวยหลายคนยังไม่อาจหามาครอบครอง เหล่าผู้มาเยือนจากดาร์ดเซสเดินตามทางที่ปูไปด้วยกระเบื้องขัดเงาวับแล้วทับด้วยพรมแดงเนื้อดีมาจนถึงห้องโถงใหญ่ซึ่งมีหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรีรออยู่ก่อนแล้ว
บุรุษคนแรกมีเรือนผมสีทองยาวมัดไว้ด้านหลัง ดวงตาสีทองคู่นั้นดูทรงอำนาจจนสามารถสะกดทุกคนเอาไว้กับที่ได้ ทว่าใครจะรู้ว่าภายใต้ท่าทางทรงอำนาจนั้นมันกลับซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้มากมาย
สตรีคนข้างๆก็ดูสง่างามไม่แพ้กัน ผมสีชมพูยาวถูกรวบไว้ข้างหลังเป็นอย่างดี ดวงตาสีชมพูที่ทอดมองทุกอย่างคู่นั้นยังคงอ่อนโยนไม่เปลี่ยน การแต่งกายของเธอบ่งบอกถึงความสุภาพเรียบร้อย แต่ภายใต้ท่าทางแบบนั้นเธอคนนี้เคยเป็นถึงนักล่าอันดับหนึ่งผู้มีรูปดอกกุหลาบสีดำมาก่อน และอดีตนักล่าอันดับสองก็ไม่ใช่ใครนอกจากคนที่ยืนอยู่ข้างๆเธอในเวลานี้ องค์ราชาคาเรียส เอน่อนกับองค์ราชินีวาเนชา เอน่อนแห่งโซเวีย
“ไม่เจอกันนานเลยนะ” องค์ราชาคาเรียสทักออกมาเป็นคนแรกทำให้องค์ราชินีมาอาน่าพยักหน้าพร้อมยิ้มให้
“แล้วลูกชายของพวกนายไปไหนล่ะ” องค์ราชาคาเรียสยังคงถามพลางหันไปมองรอบๆเพื่อหาลูกของเพื่อนสองคนตรงหน้า
“บอกว่าติดงาน แต่จะมาตอนเย็น” เสียงคนเป็นแม่ของเด็กชายผู้ไม่อยู่บ่น เพราะยังไงการทดสอบก็จะเริ่มหลังทิวากรลาลับจากขอบฟ้าอยู่แล้ว ไอ้ลูกคนนั้นก็เลยบอกว่าจะไปล่าปีศาจเสียก่อนค่อยกลับมาตอนดึก
“งานอะไรหรือคะ” องค์ราชินีวาเนชาถามด้วยความอยากรู้ ทั้งที่ยังเป็นเด็กน้อยไม่ต่างจากเด็กทุกคนในห้องนี้แต่กลับมีงานรัดตัว
“ล่าปีศาจ” คำตอบขององค์ราชินีมาอาน่าทำเอาทุกคนในห้องเงียบสนิท อันที่จริงผู้เกิดมาพร้อมรูปดอกกุหลาบสีดำสามารถใช้ได้ทุกธาตุเหมือนผู้เกิดมาพร้อมรูปดอกกุหลาบขาว แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องเติบโตขึ้นเพื่อเป็นนักล่าและไม่ต้องหวาดกลัวตนเองแม้จะมีพลังและอำนาจมากแค่ไหนก็ตาม
เพราะแบบนี้มันถึงทำให้พวกเราอิจฉา...ทั้งที่มีพลังและอำนาจมากมายเหมือนกันหากพวกเราก็ยังต้องอยู่อย่างหวาดกลัว ผิดกับพวกคนที่เกิดมาพร้อมรูปดอกกุหลาบสีดำ มันทำเอาพวกเราอดคิดไม่ได้ว่าผู้เกิดมาพร้อมรูปดอกกุหลาบสีดำนี่แหละที่เป็นของขวัญอันล้ำค่าจากฟากฟ้าจริงๆ พวกเราเฝ้ามองพวกเขาที่ใช้ชีวิตได้อย่างเสรีโดยที่รู้ว่าพวกเราไม่มีวันทำแบบนั้นได้...แม้สักครั้งในชีวิต
“อันดับอะไรละ” คาเรียสเอ่ยถามออกมาอีกเหมือนชวนคุยและพยายามลบร่องลอยความเจ็บปวดในใจออกไป เรื่องพวกนี้เขายอมรับมันมาได้ตั้งนานแล้ว แต่คงไม่ผิดใช่ไหมที่ยังคงเจ็บเมื่อนึกถึง
“สิบสอง” คำพูดที่หลุดออกมาจากปากองค์ราชาแห่งดาร์กเซสทำเอาคนถามผิวปากเพราะตำแหน่งนั้นเป็นตำแหน่งที่ใหญ่จริงๆ เด็กขนาดนั้นแต่สามารถก้าวขึ้นมาอยู่เหนือนักล่ามากมายได้ พลังขององค์ชายแห่งดาร์กเซสไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ใช่แล้ว...พลังไม่ธรรมดา และความโหดเหี้ยมเองก็คงไม่ธรรมดาด้วยเหมือนกัน เพราะนักล่าลำดับต้นๆ ไม่มีใครหรอกที่ไม่โหดเหี้ยมไร้ความปรานี
“กะเอาอันดับสามเลยหรือไง” เสียงเพื่อนรักแซว ที่เขาไม่บอกว่ากะจะเอาตำแหน่งอันดับหนึ่งหรืออันดับสองเพราะว่าอันดับสองจะถูกเก็บไว้ให้คนในตระกูลโซเวียที่มีพลังและอำนาจเหนือใคร หรือก็คือคนในตระกูลโซเวียที่เกิดมาพร้อมรูปดอกกุหลาบสีขาวคือเด็กพิเศษที่จะยืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของนักล่าผู้มีรูปดอกกุหลาบสีขาวนั่นเอง
ส่วนนักล่าอันดับหนึ่งจะถูกเก็บไว้ให้เด็กผู้มีรูปดอกกุหลาบสีดำซึ่งเป็นคนที่สามารถควบคุมปีศาจในร่างของนักล่าลำดับสองได้
อย่างในกรณีนี้ที่คนในตระกูลแห่งโซเวียเกิดมาเป็นผู้หญิง ถ้าเด็กในตระกูลผู้ครอบครองรูปดอกกุหลาบสีดำที่สามารถสยบปีศาจร้ายได้เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ทั้งคู่จะต้องกลายมาเป็นเพื่อนสนิทที่แยกจากกันไม่ได้ไปตลอดชีวิต แต่ถ้าหากเด็กคนนั้นเป็นผู้ชายทั้งสองก็ต้องหมั้นกันและต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดกาล
“ไม่รู้สิ...ในเมื่อเบื้องบนถนัดการกลั่นแกล้ง” มันเป็นคำตอบขององค์ราชาเอรีสแต่ไม่ต้องบอกทุกคนก็สามารถรับรู้ได้ว่าในอนาคตเด็กชายคนนั้นจะต้องสามารถคว้าตำแหน่งนักล่าอันดับสามมาได้อย่างแน่นอน ในเมื่อทุกคนต่างก็เล่าลือถึงความร้ายกาจและความโหดเหี้ยมของเจ้าชายรัชทายาทแห่งดาร์กเซส แถมเพิ่งออกล่าได้เพียงแค่สามวันเจ้าตัวก็คว้าตำแหน่งนักล่าอันดับสิบสองมาได้เสียแล้ว
เจ้าชายผู้เป็นความหวังของดรากเซส เก่งกาจถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ให้ประชาชนนึกเทิดทูนได้ยังไง
“เอาละ...พวกนายไปพักผ่อนก่อนเถอะ เดินทางมาไกลๆคงจะเหนื่อย ยังไงงานก็เริ่มตอนกลางคืนอยู่แล้ว” องค์ราชาคาเรียสเอ่ยออกมาก่อนจะหันไปสั่งพวกนางกำนัลให้รองรับแขก
•.★*... ...*★.•
พระอาทิตย์สีส้มในยามที่ใกล้ลาลับขอบฟ้าช่างสวยเหมือนภาพวาด ท้องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีส้มบ่งบอกเวลายามเย็นที่ใกล้จะค่ำก็ดูงกงาม ทว่าแม้จะสวยแค่ไหนเธอก็เกลียดมัน...เกลียดมันเหลือเกิน เกลียดแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะมันหมายถึงยามราตรีที่กำลังจะมาเยือนและยามราตรีก็คือตัวพันธนาการอิสระภาพทั้งหมดของเธอ
เด็กน้อยผมสีชมพูยาวที่นั่งอยู่ในห้องนอนของตนเองคิดพลางทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ทอดมองออกไปไกลแสนไกล ทอดมองไปในที่ที่เธอไม่เคยมีสิทธิก้าวออกไปเหยียบแม้แต่ครั้งเดียว
ช่างน่าอิจฉาคนที่มีอิสระทั้งในยามกลางวันและกลางคืนเสียจริง คิดมาถึงตรงนี้มือเล็กๆก็ยกขึ้นแตะไหล่ซ้ายที่มีรูปดอกกุหลาบสีขาว มันคือสิ่งที่ผู้คนมากมายยกย่องและกล่าวขานว่ามันคือสมบัติอันล้ำค่าจากฟากฟ้า ทว่าสำหรับเด็กน้อยแล้วสิ่งนี้กลับเป็นทั้งตราบาปและเป็นตัวพันธนาการอิสรภาพทั้งชีวิตของเธอ ต่อให้อยากหนีแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้ในเมื่อมันจะติดตัวเธอไปชั่วชีวิต
เกาะๆ...เสียงเคาะประตูตามมารยาทดังขึ้นขัดความคิดทั้งมวลของเด็กน้อย
“แม่เข้าไปนะเซน” เสียงหวานของท่านแม่ดังมาก่อนประตูจะถูกเปิดออก ผู้มาใหม่มองเด็กน้อยที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างด้วยแววตาอ่อนโยน เด็กคนนี้คือเซนาเรียส เอน่อนเจ้าหญิงแห่งโซเวีย ซึ่งทุกคนที่สนิทต่างก็เรียกเด็กหญิงสั้นๆว่าเซน
“วันนี้แล้วนะลูก ถ้าลูกโชคดีลูกคงจะได้เป็นอิสระ” เสียงหวานของผู้เป็นแม่เอ่ยปลอบเด็กน้อยพลางลูบผมสีชมพูโดยไม่รู้เลยว่าเด็กหญิงขมขื่นกับคำพูดนั้นมากเพียงใด
“แต่ถ้าโชคร้ายลูกคงถูกขังอยู่แบบนี้ตลอดไปใช่ไหม” เสียงหวานของเด็กน้อยถาม ไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกจากปากผู้เป็นแม่ทว่าความเงียบนั้นมันคือคำตอบให้เด็กน้อยได้ดียิ่งกว่าคำพูดใด สิ่งที่เด็กน้อยพูดมาถูกต้องทั้งหมด
“ในชีวิตลูก...แค่ต้องการเพียงอิสรภาพอย่างที่ท่านพ่อได้รับเมื่อมีท่านแม่อยู่ข้างๆ... เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ในเมื่อลูก...สามารถวาดฝันได้แค่นั้นจริงๆ” เสียงใสของเด็กน้อยเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มทำให้องค์ราชินีวาเนชานิ่งเงียบไป
เธอไม่รู้ว่าควรจะสรรหาคำไหนมาปลอบลูกสาวตัวน้อยของเธอดี ความเจ็บปวดที่ลูกคนนี้กำลังแบกรับ มันคือความเจ็บปวดที่คนในตระกูลแห่งโซเวียแบกรับมารุ่นแล้วรุ่นเล่าและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
“ลูกรัก อดทนอีกนิดเถิด ขอเพียงลูกอดทนมากกว่าใครๆ ขอเพียงแค่ไล่ตามความหวังอย่างไม่ย่อท้อ สักวันลูกจะได้รับมันเอง” สำหรับคนที่เกิดมาในตระกูลโซเวียแล้วอิสรภาพคือทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขา ในเมื่อมันคือสิ่งที่คนตระกูลนี้โหยหามาตลอด
เด็กหญิงเพียงแค่เหยียดยิ้มออกมาวูบหนึ่งราวกับจะเยาะเย้ยตนเอง ท่านแม่...เธอน่ะหวังมานานแล้ว...หวังจนความหวังนั้นริบหรี่ลงเรื่อยๆ...หวังจนไม่อยากจะหวังมันอีกต่อไป ปรารถนาจนเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะเมื่อเอื้อมมือออกไปสิ่งที่ไขว่คว้าเอาไว้ได้กลับมีเพียงความว่างเปล่า หรือว่าลูกกำลังปรารถนาในสิ่งที่ไม่มีวันจะเป็นจริงกัน
“ขอแค่ได้ออกไปนอกรั่ววังยามกลางคืนได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวสิ่งใด แม้ไม่ใช่อิสรภาพที่สมบูรณ์แต่ตอนนี้ขอเพียงแค่นั้นก็ยังดี...” ใช่...ขอเพียงแค่นั้นเอง เพราะทุกครั้งที่กลับกลายเป็นปีศาจมันช่างทรมานเหลือเกิน ดวงตาสีทองทอดมองไปยังฟากฟ้าที่พระอาทิตย์ใกล้จะหายไปเต็มที เด็กน้อยนั่งเหม่อมองฝูงนกกาที่พากันบินกลับรัง
“ท่านแม่ลูกอิจฉานก...แม้ไม่ต้องมีพลังแกร่งกล้าแต่ก็มีปีกเพียงคู่เดียวเท่านั้นที่จะสามารถพาเราไปได้ทุกที่โดยที่ไม่มีใครหรืออะไรขวางกั้น ลูกจึงอิจฉาพวกมัน...อิจฉาพวกมันมาตลอด...” นกที่บินอยู่บนฟากฟ้าช่างสวยงาม...
มีคนเคยบอกว่าทุกคนมีปีกของตนเองที่สามารถท่องไปในโลกกว้างอย่างอิสระ ถ้าหากนกพวกนั้นคือคนที่สามารถโผบินขึ้นไปไขว่คว้าความฝันของตนได้ และนกที่อยู่ด้านล่างซึ่งกำลังหัดบินคือผู้ที่พยายามกางปีกบินไปหาความฝันแล้วละก็... เธอคงเป็นเพียงนกที่มีปีกแต่ไม่สามารถบินขึ้นไปได้ สิ่งที่ทำได้คือมองนกพวกนั้นกางปีกออกจนสุดและบินขึ้นไปเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองปรารถนาโดยที่เธอได้เพียงแค่มองอยู่บนพื้นดินตลอดไปก็เท่านั้นเอง...
เพียงไม่นานท้องฟ้าสีแดงก็กลับกลายเป็นดำมืดเมื่อราตรีกาลมาเยือน หมู่ดาวมากมายพากันออกมาแต่งแต้มท้องฟ้าให้ดูสดใส ดวงจันทราค่อยๆเผยโฉมอวดความงดงามของมันท่ามกลางความมืดมิดบนท้องนภาซึ่งเธอก็สามารถดูมันได้แค่ในรั้ววังเท่านั้น อยากรู้เสียจริงว่าการมองดาวที่อื่นจะอ้างว้างเหมือนกับดูดาวอยู่ที่นี่หรือเปล่า
องค์ราชินีวาเนชามองออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะหันกลับมามองลูกสาวคนเดียวของเธอ มีหรืออย่างเธอจะไม่เข้าใจความปรารถนาของลูกน้อย เธอเข้าใจซ้ำยังอยากช่วยลูก แต่เธอทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ต่างหาก เธอเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ
“ได้เวลาแล้วเซน” เมื่อผู้เป็นแม่เอ่ยเรียก เด็กหญิงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตามแม่ของเธอออกไปจากห้อง ทิ้งทั้งภาพของหมู่ดาวและดวงจันทราบนท้องฟ้าอันมืดมิดไว้ด้านหลังอย่างเงียบงัน
เธอเกลียดเลือด...เกลียดเลือดสีแดงฉาน ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ปลุกปีศาจร้ายในตัวเธอให้ดิ้นรนออกมาสู่โลกภายนอก แต่เหนือสิ่งอื่นใดเธอเกลียดรูปดอกกุหลาบสีขาวและพลังของตนเอง หากไม่มีมันเธอก็คงไม่ต้องทรมานและถูกกักขังอยู่แบบนี้
การถูกพันธนาการมันช่างทรมานเหลือเกิน... ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเพียงแค่เกิดมามีพลังและอำนาจมากมายจนไม่อาจควบคุมปีศาจร้ายในยามกลางคืนเมื่อเห็นเลือดได้ ถ้าหากสามารถเลือกได้ เธอก็ไม่อยากจะเกิดมาเป็นแบบนี้หรอก
เพราะแบบนี้เธอจึงเกลียดตนเองและเฝ้าถามว่าเธอเกิดมาเพื่ออะไร
ใช่...จะเกิดมาแล้วมีลมหายใจไปเพื่ออะไรกัน
