บท
ตั้งค่า

กุญแจดอกที่ 2 : นักล่าหญิงผู้เหมือนปีศาจ (บทจบ)

สถานที่ที่ทุกคนมารวมกันอีกครั้งหนึ่งคือห้องแคบๆและมืดมิดในส่วนที่ลึกที่สุดของปราสาท มีเพียงบานหน้าต่างยักษ์บานเดียวเท่านั้นที่อยู่ด้านหลังสุด

แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างช่วยทำให้ห้องสว่างขึ้นมาเล็กน้อยและเพราะแสงจันทร์ทำให้ทุกคนเห็นโซ่สีเงินเส้นยักษ์ใหญ่สี่เส้นที่ลงอาคมซ้อนๆกันเอาไว้อย่างแน่นหนาราวกับจะใช้คุมขังนักโทษชายที่มีพลังเวทและอำนาจแกร่งกล้าคนหนึ่ง ปลายโซ่ถูกติดไว้กับกำแพงใต้หน้าต่างบานยักษ์ ห้องทั้งสามด้านถูกทำมาจากหินที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนเท่าที่จะหาได้ หินเหล่านั้นยังถูกลงทับด้วยอาคมชั้นแล้วชั้นเล่าจนยากจะพังทลาย

ห้องนี้ทั้งมืดมิดและหนาวเหน็บในความคิดของทุกคน ยิ่งกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นอับของห้องก็ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นคุก แต่มันก็คงเป็นคุกจริงๆสำหรับคนในตระกูลโซเวียทุกคน มันเป็นห้องเดียวในปราสาทที่คนในตระกูลแห่งโซเวียเกลียดชังและไม่อยากจะเฉียดเข้าใกล้มากที่สุด

ห้องนี้มันคืออดีตอันเลวร้ายของพวกเขา มันจะตอกย้ำทุกครั้งที่คิดถึง เมื่อหลุดพ้นมาแล้วไม่มีใครหรอกที่อยากจะกลับมาที่นี่

กำแพงด้านสุดท้ายที่ติดอยู่กับทางเดินในปราสาทถูกสร้างมาจากกระจกใสที่แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้คนภายนอกสามารถมองเห็นด้านในได้

“นี่มัน...อะไรกัน” เสียงหวานขององค์ราชินีมาอาน่าถามออกมาเมื่อเห็นสภาพห้องจากด้านนอก ที่นี่น่ะหรือที่จะทดสอบ แล้วจะทดสอบอะไร

“ใช่...ที่นี่แหละ” องค์ราชาคาเรียสพูดพลางทอดมองเข้าไปในห้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อความทรงจำอันเลวร้ายยังคงฝังลึกอยู่ในใจ

องค์ราชาเอรีสและเด็กทั้งเจ็ดคนหันไปมองรอบๆอย่างสนใจปล่อยให้ห้องกลับมาเงียบเชียบดังเดิม... ใช่เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน

“แต่ที่นี่มันเงียบมากเลยนะ แถมยังดูอ้างว้างยังไงก็ไม่รู้” เสียงหวานขององค์ราชินีคนเดียวในที่นี่ยังคงคัดค้านแต่องค์ราชาเอรีสได้จับไหล่ราชินีของตนเองเอาไว้แล้วส่ายหน้าราวกับจะปราม

“ใช่...ความหนาวเหน็บและความเจ็บปวดแบบนี้แหละ...ที่คนในตระกูลแห่งโซเวียต้องเจอทุกคน” องค์ราชาแห่งโซเวียยังคงพูดออกมา ดวงตาสีทองคำคู่นั้นยังคงเรียบเฉยทว่าภายใต้ความเรียบเฉยมันกลับซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้มากมาย

สำหรับคนในตระกูลแห่งโซเวียแล้วทุกๆคนล้วนรู้จักความเจ็บปวดและความทรมานของการถูกกักขังและพันธนาการ แต่เหนือสิ่งอื่นใดพวกเขารับรู้ถึงความไร้อิสรภาพดียิ่งกว่าใครในโลก เพราะแบบนั้นอิสรภาพจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของพวกเรา เป็นสิ่งที่พวกเรายอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมัน

แต่ยังไม่ทันที่ใครจะถามอะไรต่อร่างของผู้หญิงสองคนที่ต่างอายุกันก็เดินเข้ามาขัดความคิดของทุกคน สตรีที่เดินเข้ามาคนแรกคือองค์ราชินีวาเนชา ใบหน้าขององค์ราชินีตัวนิ่งสงบผิดกับดวงตาสีชมพูคู่นั้นที่เผยความเศร้าออกมา

คนที่สองที่เดินตามหลังมานั้นเป็นเด็กหญิงหน้าตาสวย ผิวขาวอมชมพูดูน่ารักน่าหยิก ผมสีชมพูถูกปล่อยยาวลงมาถึงกลางหลัง ดวงตาสีทองคำคู่นั้นทอประกายสดใสราวกับหมู่ดาว เมื่อเข้ามาถึงเด็กน้อยก็เคารพผู้สูงศักดิ์จากต่างแดนทั้งสองก่อนจะยิ้มให้ทุกคนซึ่งมันดูน่ารักมาก

“ลูกพวกเธอนี่น่ารักดีแหะ ฉันอยากมีลูกสาวน่ารักๆแบบนี้มาเรียกว่าแม่บ้างจัง ไม่เหมือนไอ้ลูกชายฉันกว่าจะยอมพูดออกมาสักคำต้องหาอะไรมาง้างปากแถมมนุษย์สัมพันธ์ยังติดลบเหมือนพ่ออีก” องค์ราชินีมาอาน่าบ่นถึงลูกชายตนเองแถมยังไปกระทบองค์ราชาเอรีส แต่ดูเหมือนคนถูกว่าก็ไม่สนใจอะไรมากนอกจากส่งสายตามาปรามทั้งที่รู้ว่ามันใช้ไม่ได้ผลกับคนรัก

“ว่าแต่หนูชื่ออะไร” องค์ราชินีมาอาน่าถามพร้อมรอยยิ้มซึ่งเด็กน้อยก็ยิ้มตอบอย่างจริงใจแล้วตอบคำถามนั้น

“หม่อมฉันเซนาเรียส เอน่อนเจ้าหญิงแห่งโซเวีย เรียกสั้นๆว่าเซนก็ได้เพค่ะ” ดวงตาสีทองแม้จะเปล่งประกายและสดใสแต่ก็ยังปนเปไปกับความเศร้า

“หนูเซนหรอ อืม...น่ารักดีนะ” องค์ราชินีมาอาน่าพึมพำขณะเด็กน้อยเดินผ่านไปหาท่านแม่ที่เรียกเธออยู่หน้าประตูกระจก ร่างเล็กๆก้าวมาไม่เท่าไหร่ก็หยุดลงที่หน้าประตูขณะที่ท่านแม่ของเธอก้าวนำเข้าไปแล้ว

เธอไม่อยากเข้าไปเลย... ดวงตาสีทองมองข้างในห้องด้วยความเจ็บปวด อยากร้องไห้ออกมาแต่การร้องไห้มันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นอย่างนั้นหรือ

“เซน...” ท่านพ่อเรียกเสียงเบาก่อนจะก้าวเข้ามาหาคนเป็นลูกที่ยังคงนิ่งไม่หันมามอง

“ถ้าเป็นไปได้...พ่อก็ไม่อยากให้ลูกเข้าไปหรอก” เสียงแผ่วเบาที่ลังเลว่าควรจะพูดออกไปหรือไม่ดังขึ้น เขากลัวว่าคำพูดนี้จะไปตอกย้ำความเจ็บปวดของลูกสาว

“จะต้องทรมานแบบนี้ไปอีกสักกี่ครั้งหรือท่านพ่อ ถึงจะสามารถเป็นแบบท่านยามที่มีท่านแม่อยู่เคียงข้างในเวลานี้” เด็กน้อยถามออกมาเสียงสั่นเพราะภายในห้องนั้นสิ่งที่เธอต้องพบเจอมีแต่ความทรมานที่ไม่สิ้นสุด

เมื่อไหร่กัน...อีกนานเท่าไหร่เธอถึงจะหลุดพ้นจากความทรมานพวกนี้เสียที

“หากโชคดี นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้าย” คำตอบของผู้เป็นพ่อทำเอาเซนาเรียสอยากจะหัวเราะออกมาดังๆพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองหน้า หัวเราะให้กับความน่าสมเพชของตนเอง

โชคดีงั้นหรือ...เธอเคยมีคำนี้ด้วยหรือ

“ท่านพูดเหมือนท่านแม่” พูดจบเด็กหญิงก็เดินเข้าไปหาท่านแม่ที่ยืนรออยู่ด้านใน ท่านพ่อ...สำหรับเธอคงต้องพึ่งปาฏิหาริย์เท่านั้นแล้ว

เด็กหญิงเดินไปหยุดอยู่ที่ที่มีแสงจันทราส่องลงมาพอดีก่อนจะหันหลังให้กับกำแพงด้านหลังแล้วหลับตาลงปล่อยให้ท่านแม่เอาโซ่เส้นยักษ์นั่นมาล่ามข้อเท้าและข้อมือของเธอไว้อย่างแน่นหนา ความหนักของโซ่ที่ถาโถมเข้ามาทำเอาร่างเล็กแทบทรุดลงไปกองกับพื้นหากก็ได้แต่ก้าวไปข้างหน้าตามคำพูดของคนเป็นแม่จนส่ายโซ่ตึง

ท่านแม่ขยับห่างเด็กน้อยไปอีกสองก้าวก่อนจะเรียกสายลมอันคมกริบกรีดเป็นทางยาวไปกับพื้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง

เด็กหญิงค่อยๆเดินกลับไปอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์อีกครั้งหนึ่ง เสียงสายโซ่ที่กระทบไปกับพื้นเย็นๆช่างเสียดแทงเข้าไปในร่างของผู้เป็นพ่อและแม่ ทว่าจะทำอย่างไรได้เมื่อมีแค่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่พวกเขาจะทำให้ลูกคนนี้ได้

เมื่อเด็กหญิงกลับไปนั่งที่เดิมแล้วผู้เป็นมารดาก็เดินเข้าไปหา เธอรู้ว่าทำไมลูกสาวจึงเลือกที่จะนั่งตรงนี้ ที่ๆเซนเลือกนั่งก็เป็นที่ๆคนในตระกูลแห่งโซเวียแทบทุกรุ่นเลือกนั่ง เพราะมันเป็นเพียงที่เดียวเท่านั้นที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าในห้องนี้ไม่ได้มืดและหนาวเหน็บเท่าที่พวกเขาคิด

“แม่ทำให้ลูกได้เท่านี้ละเซน แม่สามารถทำได้แค่นี้จริงๆ” เสียงหวานดังมาขณะดวงตาสีชมพูของคนพูดสั่นระริกราวกับอยากจะร้องไห้ออกมาเสียตรงนั้นเมื่อเห็นท่าทางของคนเป็นลูกสาว แต่คำพูดนั้นราวกับจะตอกย้ำตนเองยิ่งกว่าใคร

พวกเราเป็นพ่อแม่ที่ไม่ได้เรื่องเลยใช่ไหมเซนาเรียส เพียงแค่ลูกสาวที่รักยิ่งกว่าสิ่งใดพวกเราก็ไม่อาจจะช่วยอะไรได้ ไม่อาจทำได้แม้แต่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดสักเพียงนิด สิ่งที่พ่อกับแม่ทำได้คือพันธนาการลูกเอาไว้และได้แต่ยืนมองเท่านั้น ยืนมองลูกกรีดร้องทรมานอย่างเจ็บปวดทั้งที่พ่อกับแม่เจ็บปวดยิ่งกว่าลูกหลายเท่า

“ลูกรู้ท่านแม่...ลูกรู้...” เสียงใสนั้นปลอบท่านแม่ของตน อยากจะพูดว่าไม่เป็นไรแต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้เพราะว่าสิ่งที่กำลังพบเจอนั้นมันช่างทรมานจนไม่อยากจะมีชีวิต

ลูกรู้ท่านแม่ว่าท่านอยากจะช่วยแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี และลูกก็รู้เช่นกันว่าต่อให้อยากช่วยมากแค่ไหนท่านก็ไม่มีวันช่วยได้ ลูกรู้ว่าท่านแม่รัก ลูกรู้ว่าท่านแม่เจ็บ แต่ต่อให้ท่านแม่เจ็บมากกว่านี้ลูกก็ไม่สามารถหายจากความทรมานนี่ไปได้

“บางครั้งนะท่านแม่ ลูกก็ไม่อยากหายใจอีกต่อไป” ไม่อยากจะเกิดมา ไม่อยากมีชีวิตและไม่อยากแม้แต่จะมีลมหายใจ จะอยู่ไปเพื่ออะไร เพื่อรับความทรมานที่ไม่จบสิ้นแบบนี้น่ะหรือ

ราชินีแห่งโซเวียรีบหันหลังให้ร่างเล็กขณะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง เธอไม่สามารถช่วยลูกคนนี้ได้จริงๆ

“โชคดีนะ...ลูกรัก” แม่รักลูกนะเซน ไม่ว่ายังไงก็จะรัก เพราะฉะนั้นได้โปรดอย่าคิดที่จะตาย...และได้โปรดอย่าคิดว่าการถือกำเนิดมาคือความทรมานและเจ็บปวด ได้โปรด...อย่าได้คิดแบบนั้น เพราะแม่เจ็บปวดเหลือเกิน

ร่างบางขององค์ราชินีวาเนชาเดินออกมาจากห้องแต่ไม่ได้พูดความในใจออกไป เพราะเพียงแค่เห็นผู้เป็นลูกเธอก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว

“เอาละ เข้าไปเลยนะเด็กๆ แต่อย่าเดินเข้าไปใกล้เส้นที่ขีดเอาไว้ล่ะ มันอันตราย” องค์ราชาคาเรียสพูดก่อนจะเดินนำเด็กๆทุกคนเข้ามาในห้อง

คนเป็นพ่อเดินเข้าไปหาลูกสาวของตนแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมา เขารู้จักความทรมานนี้ดีเพราะเขาก็เคยรับรู้มันมาก่อน ได้แต่อ้อนวอนโชคชะตา...ขอครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายด้วยเถอะ

องค์ราชาคาเรียสชักมีดที่พกติดตัวไว้เสมอออกมาก่อนจะกรีดลงบนข้อมือจนเกิดแผลเป็นทางยาว เลือดสีแดงฉานไหลออกมาจากปากแผลก่อนจะหยดลงบนพื้นตรงหน้าลูกสาวตัวน้อย ราวกับเป็นสายธารโลหิต กลิ่นคาวของมันกระจายไปทั่วห้องแทบจะในทันที

เลือดสีแดงสดคือตัวแปรสำคัญที่ไม่อาจขาดได้ในการทดสอบครั้งนี้ ผู้เป็นพ่อหันหลังให้ก่อนจะเดินออกมาแล้วปิดประตูลงปล่อยให้เด็กผู้มีรูปดอกกุหลาบสีดำอยู่กับลูกสาวของเขาที่ถูกพันธนาการด้วยโซ่เอาไว้อย่างแน่นหนา

มาอาน่ามองผ่านกระจกเข้าไปด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ร่างเล็กภายใต้แสงจันทร์นั้นช่างเหมือนนางฟ้าตัวน้อยที่ถูกจองจำอิสรภาพทั้งหมด นี่มันการทดสอบอะไรกัน

“กำลังจะเริ่มแล้วมาอาน่า การทดสอบที่แท้จริง” เอรีสพูดออกมา เขาเคยมาที่นี่และเคยเป็นเด็กที่มาเป็นตัวเลือกในการทดสอบของคาเรียสและคาเรียสก็ได้เลือกวาเนชา

“นี่คือความเจ็บปวดและความทรมานที่คนตระกูลนี้แบกรับมาตลอดมาอาน่า” คือความทรมานและความเจ็บปวดที่ถูกถ่ายทอดมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ต่อให้ไม่อยากได้แต่ก็ต้องแบกรับเอาไว้ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงและไม่มีวันปฏิเสธได้ด้วย

“มันคือความเจ็บปวดและความทรมานอย่างที่พวกเราไม่อาจคาดคิด” เพราะว่าไม่เคยเป็นก็เลยไม่เข้าใจความรู้สึกนั่น ความรู้สึกของการถูกกักขังอยู่ในห้องนี้ ความรู้สึกของผู้ถูกพันธนาการอิสรภาพทุกอย่างและความรู้สึกของผู้ที่เรียกร้องอิสรภาพมากกว่าผู้ใด

“เอรีส...” องค์ราชินีมาอาน่าเรียกออกมาอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่คนข้างๆกำลังพยายามบอกเธอ แต่องค์ราชาเอรีสไม่ได้ตอบคำถามอะไรองค์ราชินีของตนอีกทำให้ราชินีมาอาน่าละความสนใจจากคนรักกลับไปยังเด็กหญิงที่ถูกพันธนาการ ในตอนนั้นเองสถานการณ์ในห้องที่แคบและมืดมิดก็เริ่มจะเปลี่ยนไป

“เริ่มแล้ว...”

•.★*... ...*★.•

กลิ่นคาวแบบนี้ สีแดงสดที่สวยงามแบบนี้ ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง สีแดง...สีแดงของโลหิต สวยงามทว่าก็น่ารังเกียจ เซนาเรียสได้แต่มองเลือดสีแดงสดที่อยู่ตรงหน้า ของเหลวสีแดงของผู้เป็นพ่อค่อยๆไหลเข้าหาตัวเธอที่ได้แต่นิ่งงัน

ภายในห้องขังยังคงเงียบสงบเมื่อเด็กทุกคนในห้องยังคงจับจ้องไปทางเด็กหญิงผมชมพูที่ถูกพันธนาการอยู่มุมห้องเพื่อรอดูความเปลี่ยนแปลง

“อึก....” เซนต้องยกมือขึ้นกุมอกแน่น ดวงตาสีทองเบิกกว้างเมื่อสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ดิ้นรนอยู่ภายในร่างกาย ดิ้นรนเพื่อจะได้ออกมาแทนที่เธอและดิ้นรนเพื่อจะได้เป็นอิสระ แม้จะพยายามหยุดยั้ง แม้จะพยายามร่ำร้องเท่าใดก็ไม่มีผล

“ไม่...ได้โปรด...” เสียงหวานของเด็กหญิงเค้นออกมาอย่างยากเย็น เจ็บปวด ทรมานราวกับจะขาดอากาศหายใจ ต้องทำยังไงกันถึงจะพันธนาการแกเอาไว้ได้ตลอดกาล

‘เอาร่างเจ้าให้ข้า...เซน’ เสียงในหัวเริ่มกรีดร้องเสียงดังเมื่อเด็กหญิงยังคงต่อต้าน เซนส่ายหน้าปฏิเสธเสียงนั่นเพื่อกักขังมันเอาไว้สุดชีวิตเช่นกัน แม้จะรู้ว่าสุดท้ายทำอย่างไรมันก็ไร้ประโยชน์สิ้นดี

ร่างกายที่เป็นของเธอเริ่มไม่ฟังตนเองเมื่อสติใกล้จะดับลง เด็กหญิงตัดสินใจจิกเล็บลงกับเนื้อเพื่อใช้ความเจ็บเรียกสติของตนเองให้กลับคืนมา

“ไม่...ไม่ได้” เสียงหวานปฏิเสธพร้อมน้ำตาใสๆที่ไหลนองหน้าเมื่อความเจ็บปวดเริ่มครอบคลุมสติ มันไม่ใช่ความเจ็บปวดจากเล็บที่จิกลงเนื้อแต่เป็นความเจ็บปวดที่ปีศาจในร่างกายสร้างขึ้น

ทรมานหากก็ไม่มีใครช่วยได้ ท่านพ่อ...ท่านแม่...จะร้องเรียกไปทำไมในเมื่อพวกท่านก็ช่วยไม่ได้ แล้วใครจะสามารถหยุดยั้งมันได้หรือว่าจะไม่มีกัน ต่อให้เอื้อมมือไปจนสุดแขน ต่อให้ร่ำร้องตะโกนสักแค่ไหนมันก็ไร้ค่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมันช่างไร้ค่า โชคดีหรือความหวังทั้งสองสิ่งนั้นช่วยเธอไม่ได้

ใช่....ช่วยเธอให้หลุดจากความทรมานนี้ไปไม่ได้เลย

‘ตัดใจเสียเถอะ’ เสียงในหัวยังคงคำรามแต่มันยิ่งทำให้เด็กน้อยร่ำไห้ อึดอัด มืดมิดและหนาวเหน็บ เป็นแบบนี้ทุกครั้งในยามค่ำคืนที่เห็นเลือด ทรมานอย่างนี้ทุกครั้งและจะทรมานในห้องขังนี้จนกว่าทิวาจะมาเยือนอีกครั้งหนึ่ง

เธอเหมือนคนตาบอดที่หวังไขว่คว้าแสงสว่างในความมืดมิดที่ว่างเปล่า หวังเพียงแค่ให้มีมือสักคู่หนึ่งยื่นมาตรงหน้าแล้วกระชากเธอออกจากฝันร้าย

แค่มือสักคู่ก็พอ... ไม่ว่าจะเป็นของใครเธอก็พร้อมจะพลีกายเพื่อปกป้องมือคู่นั้น

“อึก...” ไม่ไหวแล้ว... ต้านไม่ไหวเสียแล้ว แม้จะใช้เล็บจิกลงไปในเนื้อจนเลือดสีแดงฉานไหลซึมแต่ก็ดูเหมือนจะกระชากสติของเธอให้กลับมาไม่ได้

ช่างน่าสมเพช...ทำได้แค่นี้เองนะหรือ ไม่ว่าจะทำยังไงก็น่าสมเพช มันเหมือนตราบาปที่ค่อยตามหลอกหลอน ราวกับจะย้ำเตือนลงในความทรงจำให้ติดตัวไปตลอดชีวิต

จงจำไว้ว่าผู้ที่ครอบครองพลังมากที่สุด ผู้ที่ยืนอยู่สูงกว่าพวกนักล่าคนอื่นมาตลอดอย่างพวกเรากลับไม่เคยควบคุมพลังและอำนาจของตนเองได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยเลยแม้สักรุ่น รวมทั้งตัวเธอด้วย

ดวงตาสีทองของเด็กน้อยค่อยๆหลับลงอย่างสิ้นหวังก่อนร่างเล็กจะทรุดลงไปกองกับพื้น เสียงโซ่ที่กระแทกพื้นดังกังวานไปทั่วห้องอันเงียบเชียบ แก้มของเธอแนบไปกับพื้นแข็งๆที่เย็นเยียบเหมือนกับหัวใจของเธอตอนนี้ ราวกับตอกย้ำว่ามีเพียงเธอเท่านั้นที่อยู่ตรงนี้อย่างเดียวดาย ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถช่วยเธอได้

‘หลับไปซะเด็กน้อย แล้วตื่นขึ้นมาอีกทีตอนรุ่งเช้าของวันใหม่’ เสียงกระซิบนั้นช่างน่าขยะแขยง ตื่นขึ้นมาอีกทีเพื่อดูผลงานที่แกทำไว้ ดูสิ่งมากมายที่แกทำลายไป มันจะต้องเป็นแบบนั้นไปอีกนานแค่ไหน

น้ำตายังไหลลงมาจากดวงตาสีทองไม่ขาดสาย แม้จะรับรู้เสียงนั้นแต่เธอจะทำอะไรได้อีก แกชนะอีกแล้วเจ้าปีศาจ...แกชนะฉัน เด็กหญิงเม้มปากแน่นอย่างเจ็บใจยิ่งกว่าสิ่งใด

ใช่...แกชนะฉันมาตลอด... ขอโทษท่านพ่อ...ขอโทษท่านแม่...ลูกแพ้อีกแล้ว

ความรู้สึกและสัมผัสทั้งห้าจางหายไป สิ่งสุดท้ายที่เข้ามาแทนที่คือความสิ้นหวังและความมืดมิดอันว่างเปล่า...

ฝันร้ายกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง...มันคือฝันร้ายที่กลายเป็นความจริง

•.★*... ...*★.•

ความเงียบกลืนกินพื้นที่ในห้อง เด็กทั้งเจ็ดจับจ้องเด็กหญิงผมชมพูยาวที่นอนกองอยู่กับพื้นไม่วางตา พวกเขาอยากจะเข้าไปแก้สายโซ่สีเงินเส้นยักษ์ให้แต่จิตใต้สำนึกก็ยังคงเตือนพวกเขาว่าอย่าได้เข้าไปใกล้เป็นอันขาด

พวกเขาเห็นตั้งแต่เด็กหญิงผมชมพูทำท่าทรมานและเจ็บปวด ดวงตาสีทองที่เคยสดใสนั้นหม่นหมองและว่างเปล่า ปากบางเล็กๆพึมพำบางอย่างอยู่ตลอดเวลาทว่ามันก็ช่างเบาเสียจนพวกเขาไม่ได้ยิน

น้ำตาไหลอาบแก้มดูน่าสงสารก่อนร่างเล็กๆจะทรุดลงไปท่ามกลางแสงจันทราราวกับนางฟ้าตัวน้อยที่ร่ำร้องอยากจะบินออกไปสู่อิสรภาพ แต่เพียงไม่นานเด็กหญิงผมชมพูก็ขยับตัวอีกครั้ง ท่าทางทรมานในตอนแรกหายไปแล้วราวกับไม่เคยมีมา

พรึบ… เพียงพริบตาเดียวที่จิตสังหารถูกแผ่ออกไปทั่ว เด็กทั้งเจ็ดแตกกระจายกันไปคนละด้าน จิตสังหารนั่นเทียบเท่ากับพวกนักล่าปีศาจชั้นสูงๆเลยก็ว่าได้ สมกับเป็นเด็กที่มีรูปดอกกุหลาบสีขาวซึ่งเป็นคนของตระกูลโซเวีย เด็กที่จะก้าวขึ้นไปเป็นนักล่าลำดับสองแห่งสมาพันธ์นักล่า

“หึๆๆ” เสียงหวานเค้นหัวเราะอย่างน่าขนลุก ร่างเล็กใช้มือสองข้างยันตัวลุกขึ้นจากพื้นและเมื่อได้มองเด็กหญิงผมชมพูเต็มๆตาอีกครั้งหนึ่งพวกเขาถึงได้รู้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่เด็กหญิงที่เจอกันตอนแรก

ร่างเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาทุกคนชวนให้รู้สึกหวาดผวาและน่าหวั่นเกรง ดวงตาสีทองคำที่เคยทอประกายสดใสบัดนี้เย็นเยียบและเปี่ยมไปด้วยอำนาจอันคมกริบ บนใบหน้าสวยราวนางฟ้าถูกประดับด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นราวกับนางพญาที่เป็นใหญ่ยิ่งกว่าใคร

ทรงอำนาจ เยือกเย็นทว่าน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจตนใด...

“ในที่สุด” เสียงหัวเราะทำเอาทุกคนขนลุก มือเล็กเอื้อมไปแตะเลือดอันเย็นชืดของผู้เป็นพ่อ รอยยิ้มเย็นชายังคงไม่จางหายไปจากใบหน้าราวกับพึ่งพอใจหนักหนาเมื่อได้เห็นเลือด ดวงตาสีทองกวาดมองเด็กทั้งเจ็ดที่อยู่ในห้อง

“ช่างโง่เง่านัก” เสียงใสเปล่งออกมาก่อนดวงตาสีทองจะมองผ่านไปยังองค์ราชาและองค์ราชินีที่อยู่ด้านหลังราวกับจะบอกว่าคนโง่ที่มันพูดถึงเป็นใคร

“เด็กพวกนี้มันไร้ประโยชน์” ร่างเล็กค่อยๆก้าวเดินออกจากตำแหน่งเดิม ผมสีชมพูสะบัดไปตามการก้าวเดิน เสียงสายโซ่กระทบพื้นดังไปตลอดทางในห้องอันมืดมิด ความหนักของสายโซ่ที่ข้อมือและข้อเท้าดูจะไม่มีผลต่อเด็กน้อยอีกแล้ว ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากเทพธิดาที่สูงค่ากลับแปรเปลี่ยนไปเป็นจ้าวแห่งปีศาจร้ายที่รู้จักเพียงการเข่นฆ่าเท่านั้น

“เด็กพวกนี้มีไว้ให้ข้าขยี้เท่านั้นแหละ” สิ้นเสียงร่างเล็กก็หายวับไปกับตา เด็กทั้งเจ็ดตื่นตัวขึ้นมาทันทีแต่ก่อนที่พวกเขาจะทันก้าวไปไหนร่างเล็กของเด็กหญิงผมชมพูก็มาปรากฏตรงหน้าเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด ดวงตาสีทองคำลุกวาวเพราะต้องการฆ่า เล็บที่มือข้างขวาด้านถนัดถูกกางออกจนยาวเฟื้อยและคมกริบพร้อมที่จะฉีกกระชากทุกอย่างที่ขวางหน้า

เคร้ง!!

ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างในห้องก็หยุดลงทันที ปีศาจในร่างเด็กน้อยคำรามลั่นในเมื่อมันไม่สามารถสังหารเด็กหญิงตรงหน้าได้เพราะสายโซ่เส้นยักษ์ที่พันธนาการทั้งข้อมือและข้อเท้าของมันเอาไว้

เด็กหญิงที่เพิ่งรอดจากการโดนฆ่ารีบวิ่งออกมาจากตรงนั้นด้วยความกลัวพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก เด็กหญิงผมชมพูที่กลับกลายเป็นปีศาจพยายามกระชากทั้งข้อมือและข้อเท้าให้หลุดออกมาจากพันธนาการของสายโซ่อย่างบ้าคลั่ง

“เจ้ามนุษย์สมควรตาย” มันสบถไปมาหลายทีเมื่อรับรู้ว่าสายโซ่ลงอาคมเอาไว้อย่างแน่นหนา สะกดไม่ให้มันสามารถใช้เวทมนตร์ได้แถมดูดพลังมันไปอีก

ร่างเล็กกัดฟันอย่างแค้นเคือง พลังของมันยังไม่ตื่นสมบูรณ์ ถ้าตื่นสมบูรณ์สายโซ่กระจอกแค่นี้ไม่คณามือมันหรอก

เคร้งๆ... เด็กหญิงยังคงกระชากโซ่อย่างบ้าคลั่งเหมือนทุกๆครั้งที่ถูกจองจำในห้องนี้ เลือดสีแดงสดไหลตามข้อมือและข้อเท้าที่ครูดไปกับโซ่แข็งๆหากความเจ็บนั่นไม่ได้ทำให้ความบ้าคลั่งหยุดลงแม้แต่น้อย

ดวงตาสีทองยังวาววับอย่างกระหายในการเข่นฆ่าแม้จะรู้ว่ายิ่งดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการมากเท่าไหร่เลือดก็จะยิ่งไหลออกมามากเท่านั้น ใบหน้าสวยเรียบนิ่งดูเย็นชาและสูงศักดิ์ไปพร้อมๆกัน ทั้งใบหน้าและแววตาไม่ฉายแววเจ็บปวดออกมาเลยสักนิด

เลือดหยดแล้วหยดเล่าไหลรินจากบาดแผลที่ขยายวงกว้างขึ้นทุกที ของเหลวสีแดงทะลักออกมาจากข้อมือก่อนจะไหลออกมาจรดศอกจากนั้นหยดลงบนพื้นอันเย็นเยียบหยดแล้วหยดเล่าโดยที่เจ้าของไม่สนใจ

สีแดงก่ำของมันช่างตัดกับสีผิวขาวซีดของเด็กน้อยในยามนี้ยิ่งนัก ราวกับปีศาจร้ายที่ชโลมด้วยเลือดของตนเอง

ไม่มีใครหยุดยั้งได้อีกแล้ว...

ประตูกระจกถูกเปิดออกอีกครั้งหนึ่งเพื่อเรียกเด็กทั้งเจ็ดคนออกมาเพราะถึงตอนนี้ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้อีก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel