ตอนที่ 3 หัวโบราณ
บนเครื่องบินชั้นธุรกิจของสายการบินชื่อดังการเดินทางแสนราบเรียบของหญิงสาวและเจ้าของบริษัทเป็นไปอย่างราบเรียบไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ ตั้งโอ๋จัดการทุกอย่างให้เจ้านายตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้กระทั่งการเตรียมตั๋วเครื่องบินและที่พักทุกอย่างอยู่ในความดูแลของเลขาคนงามอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่อง
เพราะเป็นการบินของสองพี่น้องเจ้าของบริษัท เธอก็เลยได้มาในที่นั่งชั้นธุรกิจหรูหรา 'เอาเถอะก็ไม่ได้แย่ พักสายตาหน่อยละกัน' เมื่อคนงามเริ่มคล้อยตามบรรยากาศการบินและเริ่มง่วง ศีรษะของเธอก็เอนไปซบร่างใหญ่ที่กำลังนั่งหน้าตึงอยู่ เขากำลังเลื่อนไอแพตดูบางอย่างอยู่เมื่อถูกกระทบที่ไหล่เลยอดเงยหน้าขึ้นมามองไม่ได้
“อยากได้หมอนกับผ้าห่มมั้ย กรวรีย์”
เสียงกระซิบแสนสุขุมกับใบหน้าที่ราวกับว่าไม่อาจจะมีผู้ใดได้เห็นความอ่อนโยนนี้มองเจ้าของร่างเล็กที่กำลังเอนศีรษะมาซบที่ไหล่ของเขาอย่างเอ็นดู น้ำเสียของเขาที่เอ่ยถามก็ดูใจดีและอ่อนโยนผิดปกติ
แต่ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับตั้งโอ๋ เพราะตอนนี้ความง่วงกำลังเล่นงานเธอจนไม่สามารถจับสังเกตน้ำเสียงและใบหน้านั่นได้
“ค่ะ ถ้าได้ก็ดี”
เธอพูดแล้วก็เอียงหัวซบไหล่เขาอย่างไม่สงวนท่าทีเพราะง่วงจัดบวกกับแอร์เย็นๆ มันทำให้ง่วงมากขึ้นไปอีก ไหนจะเมื่อคืนที่ต้องเคลียร์งานก่อนจะบินจนแทบไม่ได้นอน ผ้าห่มที่สั่งคุณแอร์คนสวยไปยังมาไม่ถึงด้วยซ้ำ คนงามก็หลับคาที่นั่งโดยหัวไปพิงอยู่กับไหล่ของเจ้านาย
'ช่างเถอะ ไม่ไหวแล้ว' หลับตาลงแล้วหลับไปซะดื้อๆ รู้สึกยุกยิกนิดหน่อย เหมือนเขาจะจัดท่าทางให้เธอนอนสบายขึ้น
"อื้อ∼"
เสียงครางออกมาเบาๆ พร้อมกับขยับตัว เมื่อใบหูแนบไปกับแผงอกแกร่ง เสียงหัวใจของชายหนุ่มก็เต้นดังขึ้นมาอย่างประหลาด มันดังจนอีกฝ่ายได้ยิน แต่ฝ่ายนั้นก็ง่วงเกินกว่าที่จะมาสนใจด้วยสิ
แล้วเมื่อได้ยินเสียงแว่วๆ ของแอร์โฮสเตสสายการบินประกาศว่าเครื่องกำลังจะลงจอดดวงตาคู่สวยของเลขาสาวก็เริ่มปรือตื่นขึ้นมาช้าๆ เปลือกตายังหนักอึ้งแต่ก็ต้องฝืนเพราะมีภารกิจอีกมากมายรออยู่ ฝ่ายคนที่ให้นอนซบอกไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา เมื่อเห็นดวงตาคู่สวยของเธอช้อนมองเขาก็ทำได้แค่เพียงหลบสายตาของเธอเท่านั้น
คนงามแหงนศีรษะตัวเองขึ้นและมองหน้าเขา ท่าทางงัวเงียแล้วขยี้ตาเบาๆ ผมเผ้าเริ่มรุงรัง
“ฉันรบกวนบอสสินะคะ”
“ไม่เป็นไรเมื่อคืนคุณทำงานดึกนี่ผมเข้าใจ”
เขาพูดด้วยท่าทีนิ่งเฉยเหมือนกำลังเก็บอาการอยู่ 'หรือว่าเราแอบนอนน้ำลายหกใส่เขานะ' คนงามรีบเอามือขึ้นมาลูบที่ริมฝีปากบางของตัวเอง
“นี่ คุณไม่ได้นอนน้ำลายยืดไม่ต้องห่วง”
ฟู่ เสียงเป่าปากของกรวรีย์ดังขึ้นมาอย่างโล่งอก
“แล้วก็เลิกใช้นิ้วโป้งลูบริมฝีปากกับกัดเล็บได้แล้วนะ มันทำให้คนที่มอง…”
เขากำลังจะพูดคำหนึ่งขึ้นมาแต่ก็หยุดชะงัก เธอเอียงคอมองเขาด้วยผมเผ้าที่รุงรัง จริงอยู่ที่ว่าบุคลิกของเธอดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่กรวรีย์เป็นคนที่เวลาเครียดหรือประหม่ามักจะระบายออกมาโดยการลูบไปที่ปากหรือกัดเล็บ นั่นเป็นสิ่งที่เตชินมองเห็นมาตลอดสามปี
“คนมองทำไมคะ” ลูบริมฝีปากอีกครั้งแล้วเขาก็จับมือเล็กของเธอยกขึ้นก่อนที่มือจะแตะไปที่ริมฝีปาก
“บอกว่าอย่าทำไง” น้ำเสียงที่เค้นลอดไรฟันออกมาอย่างดุดันทำเอาเธอต้องเอียงคอมอง 'แล้วเขาจะมาใส่อารมณ์ทำไมก่อน'
“โอเคไม่ทำก็ได้ อะไรของบอสคะเนี่ย”
จริงๆ แล้วถ้ากรวรีย์จะเถียงจนชนะก็ได้ แต่ดูเขาอารมณ์บูดจังเหมือนอัดอั้นอะไรสักอย่าง เธอไม่อยากทำลายบรรยากาศโดยการเริ่มชวนทะเลาะตั้งแต่ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง
'ครั้งนี้ฉันยอมคุณก็ได้' คิดในใจแล้วลดมือของตัวเองลง ท่าทางเหมือนอัดอั้นของเขาก็เริ่มคลายลงพร้อมกับเป่าปากออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะปรับสีหน้ามาทำหน้าตึงเหมือนเดิม
ถึงที่พักก็สองทุ่มแล้วพวกเขาก็แยกย้ายกันเข้าที่พักสุดหรู
'พระเจ้าพวกคนรวยนี่จ่ายค่าห้องทีหนึ่งเท่ากับเงินเดือนฉันสองสามเดือนเลยหรือเปล่า' ได้แต่คิดในใจแล้วทิ้งตัวลงอาบอาบน้ำแสนหรูหราที่ถูกตีฟองนุ่มละมุนรออยู่
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ภายในใจของเลขาสาวคิดว่า เป็นรูมเซอร์วิสที่สั่งอาหารไป คนตัวเล็กพาตัวเองเดินไปเปิดห้องพร้อมกับชุดนอนตัวบาง แต่ก็ต้องตกใจเพราะไม่ใช่รูมเซอร์วิส แต่เป็นชายร่างใหญ่ ผู้มีใบหน้าคมคายหล่อเหลาแต่บึ้งตึงตลอดเวลา
“ผมจะมาถามว่าคุณอยากไปนั่งทานอะไรริมทะเลมั้ย อะ เอ่อ”
"..."
“เห็นคุณบอกว่าอยากทานอาหารทะเล”
ใช่เธอคิดได้ว่าพูดแบบนั้นไป 'แต่ว่าวันนี้เลยหรือ เราอยู่อีกตั้งสองคืนนะ' คิดแค่นั้นก็กลับมาปั้นหน้าหยิ่งยโสกอดอกพูดอย่างมั่นใจ
“ฉันสั่งรูมเซอร์วิสมาแล้วค่ะ กะว่าจะทานที่ห้อง”
“แต่คุณบอกว่าอยากกินอาหารทะเลอร่อยๆ ไม่ใช่เหรอ นี่ผมก็หาดูให้ตลอดเลยนะ ว่ากันว่าร้านนี้…”
ท่าทางกระตือรือร้นและตื่นเต้นของเขาแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดขัดกับบุคลิกประจำวันที่เขาพยายามแสร้งทำตลอด มุมแบบนี้บางทีกรวรีย์ก็ได้เห็นบ่อยๆ เพราะพวกเขาต้องอยู่ร่วมกันตลอดสามปี แม้จะเป็นมุมที่นานๆ เห็นทีแต่มันก็ดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก
“นี่อุตส่าห์หาดูให้เลยหรือคะ กะเอาใจเต็มที่เลยสิ”
“อืม กะ ก็…ก็นะ แล้ว...”
“บอสไม่ต้องห่วงค่ะ ไม่ต้องเอาใจฉันหรอก ยังไงฉันก็ทำงานให้คุณอย่างดีแน่นอน”
เป็นฝ่ายหญิงสาวที่ชิงตัดหน้าพูดเรื่องผลประโยชน์ขึ้นมาเสียก่อนเล่นเอาคนที่หวังดีอยากมาชวนเธอถึงกับหน้าถอดสีและเริ่มหงุดหงิด
“ไม่ใช่แบบนั้น”
ฝ่ายหญิงสาวเริ่มฉงนกับท่าทีของเขามากขึ้น แต่ก็ไม่อยากให้เสียน้ำใจเลยเอ่ยปัดอย่างให้มันจบๆ ไปซะ
“ค่ะๆ งั้นรอฉันแต่งตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันยกเลิกรูมเซอร์วิส แต่ถ้ายกเลิกไม่ได้ก็เบิกบิลเหมือนเดิมนะคะ”
“ได้ครับ”
แววตาดีใจฉายแววออกมาจากดวงตาของผู้ชายที่ไร้อารมณ์แบบเขา หลังจากที่สาวเจ้าหันหลังกลับไปแต่งตัว
ชุดกระโปรงยาวพลิ้วสีขาว สวมทับบอดี้สูทที่เตรียมตัวมาอย่างดี ถึงจะมาทำงานแต่เลขาสาวอย่างเธอก็คิดว่าคงมีเวลามาเดินชายหาดแบบนี้แน่ๆ ใบหน้าฉาบด้วยเครื่องสำอางอย่างเร่งรีบแต่แม้ว่าจะเร่งรีบเธอก็ยังดูสวยไร้ที่ติ
ร่างสูงโปร่งยืนรอคนงามอยู่ที่ลอบบี้ พวกเขาเลือกที่จะไปแท็กซี่มากกว่าขับรถเช่าของโรงแรม เพราะอาจจะมีการดื่มบ้างตามประสาการพักผ่อนของพนักงานบริษัทหรือแม้กระทั่งประธานแบบเขา
“ไกลมั้ยคะ”
“ไม่ไกลครับอยู่ริมทะเล มีบาร์ให้นั่งดื่มด้วย”
“นี่ เวลาอยู่กันสองคนไม่ต้องทำคิ้วขมวดค่ะ”
มือเรียวจิ้มไปที่คิ้วที่ถูกขมวดเป็นปมราวกับเงื่อนพิรอด เขาจับมือน้อยๆ ของเธอก่อนที่เธอจะจิ้มถึงหว่างคิ้ว แล้วมองที่ใบหน้าสวยด้วยสายตาที่ไม่พอใจมากนัก
“นี่ อย่าเล่นแบบนี้สิ” เขาพูดด้วยเสียงดุ
“จ้า จ้า ขอโทษ ต่อไปจะไม่แตะต้องแล้ว พ่อคุณชายผิวทองคำ”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย คุณเป็นผู้หญิงนะ มาทำแบบนี้กับผู้ชายมันไม่ดี”
หญิงสาวหัวเราะร่วนกับความคิดแบบหัวโบราณของเขา จริงอยู่ว่าถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นเธอคงไม่กล้าทำแบบนี้ แต่นี่เป็นบอสของเธอที่ใช้เวลาทำงานร่วมกันมาถึงสามปี ความสนิทใจมันมีมากกว่าคนอื่นอยู่มากโข
“หลุดออกมาจากยุคดึกดำบรรพ์หรือไงคะ สมัยนี้เขาไม่มานั่งหวงตัวกันแล้วมั้ย” เธอเอ่ยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง และสีหน้าเรียบเฉย
“ใช่สิ คุณมันสวยแล้วก็คงเก่งเรื่องพวกนั้น” เอ่ยเสียงเย็นและใบหน้าที่แอบผิดหวังกับคำพูดของเธอ
“จ้า จ้า พ่อคนหัวโบราณ ฉันไม่เคยเห็นคุณมีแฟนเลยสักคน ระวังนะคะถึงเวลาแต่งงานมาจริงๆ จะทำไม่เป็นเอา”
รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาถอดสีไปซะแล้ว จริงอยู่ที่เขาไม่เคยคบใครเป็นแฟน แต่พูดว่าทำไม่เป็นตรงนี้น่าจะแรงเกินไปจริงๆ หญิงสาวรู้สึกตัวแล้วจึงรีบอ้าปากพูดสิ่งที่คิดว่าควรพูด
“บอส ฉัน…”
เลขาสาวทำสีหน้าสำนึกผิดและกำลังจะขอโทษที่ทำให้บรรยากาศเสีย
“ไม่เป็นไร ผมรู้ตัวดี”
ก่อนจะได้เอ่ยคำใดออกมากันแท็กซี่ก็พาพวกเขามาส่งถึงที่หมายเสียแล้ว
