ตอนที่ 2 ต้องเงินเท่านั้น
[Talk เตชิน]
“ใช่ค่ะฉันรีเจกงานคุณ ค่ะ เหตุผลฉันส่งให้ทางอีเมลแล้วนะคะ เพราะว่าถ้าพูดตรงนี้คงจะไม่เหมาะ รบกวนแก้แล้วส่งให้ทันภายในวันศุกร์ที่จะถึงนี่ด้วยนะคะ เพราะบอสของฉันต้องบินไปภูเก็ต”
ยัยเลขาตัดสายสนทนาที่กำลังทำให้เธอหัวเสียจนต้องเดินไปมาอยู่หน้าโต๊ะทำงานของผม มือเรียวยกขึ้นมากุมขมับตัวเองทั้งสองมือแล้วลูบไปมาก่อนจะหันมาหัวเสียใส่ผมแบบสุดๆ
เธอน่ากลัวจริงๆ เวลาทำงาน ยิ่งบุคลิกหยิ่งยโสนั่น ผมละอยากจะจับตีก้นซะให้เข็ด ก้นงอนๆ นั่นถ้าได้จับกดคลานเข่าและจับน้องชายของผมสอดเข้าไป เอ๊ย ไม่ใช่แล้ว ผมสลัดความคิดของตัวเองทิ้งทันทีที่เธอเดินทำหน้าถมึงทึงเข้ามาหา
“นี่บอสคะ บอสปล่อยผ่านโฆษณาตัวนั้นได้ไงคะ ถ้าฉันไม่มาไล่ดูอีกรอบแล้วหลุดเผยแพร่ออกไปทั้งอย่างั้น บริษัทเราจะถูกมองแย่แค่ไหนคุณรู้บ้างมั้ย”
ยัยนี่วีนเหมือนเป็นเจ้าของบริษัทเลยแฮะ แต่ก็จริงของเธอ ถ้าไม่งั้น…
“ผม…” ผมไม่รู้จะเถียงเธอได้ยังไง
“พระเจ้า บ้าบอคอแตก ทำโฆษณาให้บริษัทอสังหาฯ แต่ไม่ยอมศึกษาเรื่องทิศ แล้วมาเรียกตัวเองว่ามือโปร”
เธอหัวเสียไม่หยุดหลังจากที่รีเจกงาน บริษัทแห่งหนึ่งไป เหตุผลก็หนักอยู่พอสมควรและยัยนี่เป็นประเภทไม่ปล่อยผ่าน ส่วนผมก็ได้เธอตามล้างตามเช็ดให้หลายๆ เรื่อง เธอทำให้งานของผมออกมาดีเสมอ และนั่นก็เหมือนเป็นเหตุผลหลักที่ผมต้องยอมเธอ อย่างที่บอก ผมยอมรับว่าเธอเก่ง แต่บางทีก็อดมันเขี้ยวไม่ได้ ยัยเด็กคนนี้
“ใจเย็นๆ ก่อนคุณกรวรีย์”
ผมพยายามโน้มน้าวคนตัวเล็ก ที่หน้าอกหน้าใจของเธอ อึก...จะว่าไงดีล่ะ มันใหญ่เกินพอดีไปมาก
ที่เธอกำลังโมโหเป็นบ้าเป็นหลังกับการทำงานที่ไม่ถูกใจ ความเข้มงวดของเธอนำพาบริษัทให้แข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย รวมถึงนำพาผมให้มายืนจุดนี้ได้อย่างเป็นต่อ
แต่ปากเธอก็...
“บอสก็เหมือนกันค่ะ เอาแต่เอ้อระเหยลอยชาย วันๆ ทำดึงหน้าดึงใส่คนนั้นคนนี้ ถ้าไม่มีฉันวันไหนคุณจะรู้สึก”
เป็นแบบนี้แหละครับ เธอกระฟัดกระเฟียดสะบัดก้นงอนๆ นั่น ออกจากห้องทำงานผมไป หลังจากที่วีนอย่างสาแก่ใจ
เชื่อมั้ยว่าผมต้องทนกับสภาพแบบนี้มาถึงสามปี แล้วมันก็จริงของเธอทุกอย่าง ถ้าไม่มีเธอคนแบบผมที่วันๆ เอาแต่ดึงหน้าตึงไร้อารมณ์คงไม่ผ่านเกณฑ์ของคุณพ่อแล้วขึ้นรับตำแหน่งได้ ผมเลยต้องยอมเธอเสมอเรื่อยมา
แต่ยัยนี่นับวันยิ่งเอาแต่ใจกับผมเหมือนเธอกำลังเล่นสนุก แล้วหัวใจของผมมันก็เริ่มหวั่นไหวกับใบหน้าสวยๆ ที่ทำหน้าถมึงทึงใส่ผมเสมอ
จนคนในออฟฟิศแซวผมกันว่าเธอเป็นเมียในที่ทำงานของผม
ชีวิตผมก็ไม่เคยยอมใครจนมาเจอยัยเด็กบ้านี่ และทุกครั้งผมก็ไม่เคยเถียงชนะเธอเลย
[Talk กรวรีย์]
“โอ๊ะ โอ ทำไมทำหน้าหงิกออกมาจากห้องพี่เตอย่างนั้นละตั้งโอ๋ งานไม่ถูกใจอีกแล้วหรอ”
ไตรภพน้องชายของบอสที่รออยู่หน้าห้องเอ่ยแซวใบหน้างอๆ ของฉันที่เดินออกมาจากห้องเจ้านายไม่ได้เรื่องคนนั้น ถ้าเป็นเรื่องงานละก็ฉันแก้นิสัยเอาจริงเอาจังของตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ
เฮ้ออ
ฉันถอนหายใจใส่หน้าเขาแรงๆ แล้วมองอย่างเอือมระอา หมอนี่อยากจะพูดอะไรกันแน่ทำยังกะไม่รู้นิสัยพี่ชายตัวเอง ไอ้ท่าทางเจ้าชู้กะลิ้มกะเหลี่ยนั่นถ้าเป็นสาวๆคงใจเต้น แต่นี่เป็นฉันไง ฉันคือตั้งโอ๋ เลยไม่ได้มีความตื่นเต้นใดๆทั้งสิ้น
“คุณไตรภพคะ คุณมีธุระอะไรกับบอสของฉันหรือเปล่าคะ ฉันว่าคุณน่าจะมีงานทำเยอะมากพอ อย่าเสียเวลามานั่งสังเกต พฤติกรรมของเลขาหน้าห้องแบบฉันเลยค่ะ”
ฉันมองเขาอย่างเรียบเฉยเพราะพึ่งหัวเสียกับงานมา อีกอย่างพวกเราก็สนิทกันพอสมควร ฉันจึงสามารถค่อนขอดเขาได้โดยไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิด
“อ๊าววซ์ เจ็บจี๊ดเลยคำพูดคำจากับท่าทางหยิ่งยโสนั่น ทำเอาผมตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำอีก”
เขาทำท่าทางทีเล่นทีจริงใส่ฉันไม่ได้ดูอารมณ์กันบ้างเลย
ฉันอยากจบบทสนทนางี่เง่านี่เพราะมีงานรอที่ต้องทำเยอะมากจึงรีบเดินห่างออกมา
“วันศุกร์นี้ผมไปภูเก็ตกับพี่เตไม่ได้นะครับ ผมจะมาบอกคุณให้หาคนอื่นไปแทน”
เขาพูดหลังจากที่ฉันคล้อยหลังออกมา
“ได้ไงกันคะ คุณรู้มั้ยว่าโปรเจกนี้ใหญ่แค่ไหน”
ฉันหูผึ่ง ตกใจจนตาเบิกโพลง หน้าซีดถึงขีดสุด เลือดความรักบริษัทพลุ่งพล่านและรีบเดินไปหาเจ้าของคำพูดนั่นทันที ถ้าจับไหล่เขาเขย่าได้ก็คงทำไปแล้ว แต่ติดที่ว่ามันไม่เหมาะไม่ควร
“พอดีติดงานแต่งเพื่อนอ่ะ มันพึ่งมาบอกเอง ยังไงผมก็ต้องไปงานแต่ง”
เขาทำสีหน้ารู้สึกผิดและมองมา แต่นั่นมันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาสักนิด ฉันยังคงเลือกที่จะตำหนิเขาต่อ
“เฮ้ย ได้ไงกันคะ ถ้าไปคนเดียวบอสไม่ไหวแน่คะ คนอย่างเขา...”
ใช่เขามักประหม่าจนต้องดึงหน้าตึงใส่ทุกคนบุคลิกของเขานั่นก็แค่ทำออกมาให้คนกลัวเท่านั้น ถ้ามีคนอยู่ช่วยเขาคงไหว แต่ถ้าไม่มีคุณไตรภพ การคุยงานครั้งนี้…
“นั่นแหละครับตั้งโอ๋ ผมจะมาบอกคุณไว้ให้คุณบินไปแทนผม”
คำพูดนี้มันน่าตกใจเสียยิ่งกว่าที่ได้ยินก่อนหน้านั้นอีก ฉันมองเขาด้วยแววตาจะเรียกว่าสงสัยทั้งยังไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะมาโยนภาระให้ลูกน้องแบบนี้ ไอ้หมอนี่กำลังโยนกันเห็นๆ ใบหน้าสวยๆ เริ่มขมวดเป็นปม ปากกำลังจะอ้าออกไปปฏิเสธ
เสียงเปิดประตุห้องทำงานใหญ่ก็ดังขึ้น
“เสียงดังอะไรกันน่ะ ทำตัวเป็นเด็กกันจังนะ”
คนตัวใหญ่ที่สุดเดินมาพร้อมกับท่าทีสุขุมใบหน้าเรียบเฉยจนกลบเกลื่อนความไม่เอาไหนของตัวเองได้อย่างไร้ที่ติ
'หมอนี่ยังมีหน้ามาดึงหน้าตึงใส่อีก'
“พี่เต ผมมาบอกว่าวันศุกร์บินไปกับพี่ไม่ได้แล้ว ให้ตั้งโอ๋ไปแทนได้มั้ยครับ”
ผู้เป็นน้องชายพูดหน้าตาเฉยแม้น้ำเสียงจะไม่ได้ออกคำสั่งแต่ดูเหมือนคาดหวังและโยนภาระมาให้ฉันเต็มๆ
“อ้าว ได้ไงกันคะ ยังไม่ได้ถามฉันเลย”
“เอ้าแล้วนายทำไมไม่ไปล่ะเจ้าไตร”
ผู้เป็นพี่ชายถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าดูไม่สะทกสะท้านกับเหตุการณ์ที่เข้าขั้นวิกฤตนี่สักนิด เป็นพวกไร้ความรับผิดชอบของจริง
“พอดีติดงานแต่งงานเพื่อนสนิทน่ะครับ”
เขาพูดหน้าทะเล้นแล้วหันมามองฉัน
ฉันเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงและยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นมากัดเล็บ ใช่! ฉันเป็นพวกชอบกัดเล็บเวลามีเรื่องเครียดๆ
“ยัยดุจดาวไงคะ บอสพายัยดุจดาวไปด้วยได้มั้ยคะ เดี๋ยวฉันเตรียมความพร้อมทุกอย่างให้เอง” ใช่นั่นเป็นทางออก
“ไม่ได้หรอก รายนั้น คราวก่อนหยิบเอกสารผิดเข้าห้องประชุมอยู่เลย”
เตชินทำท่าทางเอือมระอา ใบหน้าหล่อเหลาเหยขึ้นมาทันทีเมื่อฉันเสนอชื่อยัยดุจดาว
“แต่ว่าฉัน…” ฉันกำลังครุ่นคิดคิดแล้วเขาเอ่ยขึ้นมานิ่งๆ
"คืนละแสน ค่าเดินทางไปต่างจังหวัดของคุณ"
พระเจ้าไอ้หมอนี่รู้จุดอ่อนของฉันจริงๆ ด้วย สิ่งเดียวที่ฉันยอมให้คนแบบเขาได้คือเงิน
ดวงตาฉันเป็นประกายทันที แล้วสองพี่น้องก็กระหยิ่มยิ้มย่องใส่กัน
“พูดแล้วห้ามคืนคำนะคะ แล้วฉันจะกินอาหารทะเลแพงๆ ให้หนำใจเลย”
พูดแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน เพื่อมาทำงานที่ค้างต่อ
ใครจะคิดว่าการไปภูเก็ตครั้งนี้จะเปลี่ยนชีวิตคนอย่างฉันไปอย่างสิ้นเชิง
"..."
