บทที่ 5 ความอลหม่านในเทศกาลหยวนเซียว (1/2)
หลี่หลานซินจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ไม่รู้เช่นกันว่าเขาทราบสิ่งที่นางเคยกล่าวได้อย่างไร ในเมื่อวันนี้โม่จ้าวหยวนอยากดวลกับนางผู้ซึ่งเขียนนิยายขึ้นเองกับมือ เช่นนั้นหลี่หลานซินยินดีสั่งสอนพ่อพระเอก ให้รู้สำนึกเสียใจที่คิดพิเรนทร์เอามือแหย่รังแตน
ทั้งสองปะทะสายตากันอยู่ชั่วครู่ เรียกได้ว่าแทบไม่กะพริบ หากเป็นปลากัดต้องมีคนท้องโย้ขึ้นเป็นแน่เชียว ผู้คนซึ่งยืนล้อมวงต่างตั้งหน้าตั้งตารอชมอย่างใจจดใจจ่อ บุรุษผู้หนึ่งโพล่งขึ้นเมื่อพบว่าศึกชิงโคมไฟครานี้ประวิงเวลาไม่เริ่มเสียที
"ตกลงแล้วพวกท่านจะเอาเช่นไร หากไม่ทายก็หลบไป ผู้อื่นเขาจะได้เข้ามาเล่นแทน"
บรรดาชาวบ้านซึ่งกำลังมุงดูอยู่จึงต่างร้องแรกแหกกระเชอ เออออห่อหมกไปตาม ๆ กัน เมื่อเรื่องเริ่มวุ่นวายเถ้าแก่ร้านจึงเอ่ยปรามขึ้น
"เอาล่ะ เอาล่ะ ทุกท่าน ดูเหมือนคุณชายกับคุณหนูผู้นี้ต้องการทายปริศนาโคมไฟจริง ๆ พวกท่านก็รอเขาสักประเดี๋ยวเถิด"
"เถ้าแก่วันนี้ข้าจะเอาโคมไฟแมวน้อยนั่นกลับบ้านให้ได้ ท่านทายมาเลยว่ามีปริศนาใด" หลี่หลานซินเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี นัยน์ตาเขม็งเกร็งไม่คิดละจากคนตัวสูงเบื้องหน้าแม้เพียงกระผีกริ้น
โม่จ้าวหยวนคลี่ยิ้มเยือกเย็นราวต้องการบีบคั้นอีกฝ่าย เขาผินหน้าไปยังปริศนาโคมไฟตัวแรก พลางเหลือบมองหลี่หลานซินอย่างนึกดูแคลน นางเร่งยกมือขึ้นเดี๋ยวนั้นทว่าคำตอบกลับไม่ได้โผล่เข้ามาในมโนความคิดแม้แต่เสี้ยวเดียว หลี่หลานซินแค่ต้องการเอาชนะอีกฝ่ายเท่านั้น
"เถ้าแก่ข้าตอบก่อน" หลี่หลานซินยกมือด้วยความเร็วแสง
ระหว่างกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ชาวบ้านบางรายที่รอฟังคำตอบจากนางก็ให้ต้องร้อนใจขึ้นมาอีกครา
"นี่แม่นาง หากเจ้าคิดยังไม่ออกไฉนไม่ให้คุณชายเขาตอบก่อนเล่า ทำเช่นนี้ตัดหน้ากันชัด ๆ หากเจ้าตอบไม่ได้เสียหน้าขึ้นมาจะว่าอย่างไร"
"เหลวไหล!"
เจียงห่ายกวงตะเบ็งเสียงแข็งกร้าว เขาจ้องชายผู้นั้นเขม็ง ปริศนายังไม่ทันได้คลี่คลาย ทว่ากลับมีเสียงโหวกเหวกวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน
ขณะเดียวกัน ไม่ไกลจากบริเวณนี้เท่าใดนัก กลับมีฝูงชนกำลังวิ่งหน้าตื่นราวผึ้งแตกรังมุ่งหน้ามาทิศทางนี้ บ้างล้มลุกคลุกคลาน เปื้อนดินเปื้อนฝุ่นกันจ้าละหวั่น ผู้คนที่ยืนอยู่หน้าร้านโคมไฟถึงกับต้องเหลียวมองตามทิศทางของเสียงซึ่งดังเข้ามาเดี๋ยวนั้น
ความอลหม่านบังเกิดขึ้นแล้ว เมื่อคนทั้งหลายเริ่มเบียดเสียดกันเข้ามา หลี่หลานซินและจูจื่ออี๋ต่างถอยร่นไปยังเบื้องหลัง พวกนางไม่ทันระวังจึงทำให้กอดกันกลมล้มกลิ้งลงบนพื้น โคมไฟด้านหลังเมื่อถูกกระทบเข้า ฐานที่ค้ำยันเลยไม่มั่นคงพลันเอียงกระเท่เร่ เกิดการเผาไหม้ขึ้นทันควัน เสียงอึงอลกรีดร้องดังไปทั่วสารทิศ ส่งผลให้รู้สึกบาดแก้วหู สตรีทั้งสองยกมือแนบข้างศีรษะใบหน้าเหยเก อยากลุกทว่ากลับลุกไม่ไหว จึงทำได้เพียงกลิ้งไปกลิ้งมาเพื่อหลบหลีกฝ่าเท้าไม่ให้ย้ำลงมาบนกายของตน
ทั้งโม่จ้าวหยวนและเจียงห่ายกวงเบิกตากว้างตะลึงลาน พวกเขากระวีกระวาดแหวกผ่านฝูงชนออกมา ทว่าควันสีเข้มกลับลอยโขมงโฉงเฉงบดบังทัศนียภาพเสียจนเลือนราง ต่างฝ่ายต่างควานมือสะเปะสะปะ และแล้วพวกเขาก็เอื้อมคว้าไปยังฝั่งซึ่งคิดว่าหญิงสาวที่ตนพามาด้วยยังคงอยู่ ทั้งโม่จ้าวหยวนและเจียงห่ายกวงจึงออกแรงดึงแขนของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น พลันจูงมือออกวิ่งไปคนละทิศในทันที
ข้างหน้ามีการก่อจลาจลปล้นสะดมผู้คนที่ออกมาเที่ยวงานเทศกาลหยวนเซียว ไม่เพียงเท่านั้น พวกโจรกลับมิได้ทำการปล้นอย่างเดียว ยังเที่ยวจับตัวของเหล่าสตรีเพื่อไปกระทำมิดีมิร้าย
โจรภูเขาเหล่านี้ไม่รู้ดีชั่วกล้ากระทั่งลงจากเขา บุกรุกพื้นที่ชุมชน แม้แต่ทางการก็ไม่อาจสกัดกั้นพวกมันเอาไว้ได้ พวกเขาซึ่งแยกกันไปคนละทางต่างถูกโจรบางกลุ่มไล่ล่า ซ้ำร้ายพวกมันยังมีอาวุธครบมือ วิ่งไปก็ต้องหลบคมดาบคมเกาทัณฑ์ไปด้วย
"เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ...คุณชายโม่" เสียงสตรีหอบเหนื่อย นางหยุดวิ่งกะทันหัน เวลานี้นางรู้สึกแขนขาอ่อนแรงแทบไม่อาจขยับ
ชายหนุ่มได้ยินเสียงเรียกพลันสติหลุดทันที เขาไม่ใช่คุณชายโม่ เจ้าของร่างสูงเหลียวมองเบื้องหลังของตนเนิบช้าด้วยหัวใจเต้นระรัว เมื่อทั้งสองสบประสานดวงตาเข้าด้วยกันต่างฝ่ายต่างผงะขึ้นมาเดี๋ยวนั้น
"คุณหนูจื่ออี๋ นี่เจ้า..."
