บทที่ 9 คอยอยู่หน้าบ้านทุกวันเลย
ผ่านไปสิบวันไคเฉิงยังคงทำตัวหมางเมินเช่นเดิม แท้จริงแล้วเจ้าตัวอยากจะถามใจจะขาด ทุกวันนางไปที่ใด ไปหาใคร ไปทำอะไรมา สุดท้ายก็ได้แต่คิดมากไปเองไม่กล้าถามหนิงหลันอยู่ดี
ทุก ๆ สามวันหนิงหลันจะออกไปข้างนอกตอนกลางวันเสมอ ในใจไคเฉิงกลับคิดว่าพักนี้การนัดพบกันระหว่างภรรยากับฮั่วจินบ่อยครั้งขึ้นเรื่อย ๆ เขาเริ่มเป็นกังวลว่านางกำลังตีตัวออกหาก แต่เมื่อคิดได้ตนมีสิทธิ์อะไรไปรั้งไว้ ในเมื่อก็รู้กันดีว่ารั่วเอินเกิดขึ้นมาเพราะอะไร ทั้งเขาและนางต่างก็มิได้เต็มใจแต่แรก
“ฝากท่านดูลูกสักประเดี๋ยวนะ ข้าออกไปธุระไม่นานจะรีบกลับ” วันนี้จะมีการตรวจความเรียบร้อยของบ้านหลังใหม่ นางจำเป็นต้องไปดูด้วยตัวเอง ครั้นจะเอาลูกไปด้วยแดดก็แรงเกินไปกลัวรั่วเอินจะไม่สบาย
“อืม เจ้าไปเถอะ”
“เอินเอินเจ้าอยู่กับพ่อก่อนนะ ประเดี๋ยวแม่กลับ” ก่อนไปมิวายหยอกล้อเจ้าก้อนน้อยเสียหน่อย หลังจากได้กินอาหารเสริมและนมผงที่ชงให้กินทุกวัน เจ้าก้อนของนางดูมีเรี่ยวแรงมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากโข
“แอ้” เด็กน้อยตอบรับพลางหัวเราะคิกคักเมื่อถูกฟัดข้างแก้ม แม้จะมีน้ำลายเปรอะเปื้อนย้อยจากปากลงไปถึงคาง สำหรับหนิงหลันแล้วช่างน่ารักน่าชังไม่เปลี่ยน
หลังจากใช้เวลาไปกับการฟัดเจ้าก้อนน้อยนานเกินไป ทำให้หนิงหลันต้องเร่งรีบออกจากบ้านให้เร็ว ด้วยใกล้ถึงเวลาที่นัดกันไว้กับช่างและท่านลุงเหลียง โดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามีคนคอยมองตามไม่ห่าง
“เอินเอินแม่เจ้าไปที่ใดกันนะ” ไคเฉิงอุ้มบุตรสาวเดินตามไปถึงประตูรั้วหน้าบ้าน พร้อมกันนั้นก็ยังชะเง้อคอยาวมองตามหลังภรรยาไม่วางตา
“แอ้”
ยามภรรยาต้องออกไปข้างนอกให้เขาอยู่บ้านดูแลลูก ไคเฉิงมักจะอุ้มบุตรสาวตามไปถึงหน้าบ้าน แล้วชะเง้อคอมองหนิงหลันจนอีกฝ่ายเดินหายไปลับตา ยามนางกลับมาถึงแม้อยากถามแต่ก็ไม่กล้า กลัวภรรยาจะตอบกลับหน้าหงาย ไม่ให้ยุ่งเรื่องส่วนตัว
นานวันเข้าทำให้ไคเฉิงเริ่มไม่แน่ใจ การที่เขาและนางอยู่ด้วยกันนั่นเป็นเพราะหน้าที่และเพื่อรักษาหน้าตา สำหรับหนิงหลันนั้นอาจจะใช่ แต่สำหรับเขาในตอนนี้มันอาจจะมากกว่านั้นเสียแล้ว
ทุกวันนี้เขายอมรับว่าอีกฝ่ายดูแลตนเองดีมาก ดีเสียจนเขาเองก็คาดไม่ถึง ในบางครั้งเผลอคิดไปว่าจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่นให้ลูกได้หรือไม่
“ไคเฉิง ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”
“เรื่องอะไรหรือ” ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งหลุดจากภวังค์
“เราแยกบ้านกันดีไหม” บ้านใหม่ก็สร้างเสร็จแล้ว เหลือแค่คำตอบจากสามีเท่านั้นก็พร้อมย้ายเข้าอยู่ได้เลย
“จะแยกบ้านตอนนี้เจ้าไม่ห่วงรั่วเอินบ้างหรือ นางยังเล็กยังต้องการพ่อแม่ จะรีบหย่ากันไปไย” จากเดิมคิดว่าจะกลายเป็นครอบครัวกันจริง ๆ แต่กลับไม่คิดว่าภรรยาจะมาขอหย่ากันเช่นนี้
“ข้าหมายถึงแยกออกจากบ้านใหญ่ต่างหากเล่า คิดอะไรของท่านกัน” หนิงหลันเกือบจะหลุดขำออกมาอยู่แล้ว ใบหน้าเหลอหลานั่นมันอะไรกัน แล้วเขาเอาความคิดเรื่องหย่ามาจากไหน
“ขะ ข้า” ไคเฉิงพูดไม่ออก เขายอมรับว่าตกใจมากเกินไปถึงขั้นไม่คิดไตร่ตรองคำพูดของนางให้ดี กลายเป็นว่าทึกทักคิดไปเองเสียได้
“ว่าอย่างไร ท่านเห็นด้วยกับความคิดของข้าหรือไม่ ถ้าเราอยู่แบบนี้ต่อไปจะยิ่งลำบาก โดยเฉพาะอนาคตลูก”
“ถ้าแยกบ้านแล้วเราจะไปอยู่ที่ใด ข้าเองก็ยังมีสภาพเป็นเช่นนี้ จะพาลูกออกไปลำบากได้หรือ อย่างน้อยอยู่ที่นี่รอให้เอินเอินโตสักหน่อย พอให้นางอยู่บ้านคนเดียวได้ไม่ดีกว่าหรือ” ชายหนุ่มมองไปที่ขาของตนเอง ลำพังแค่จะเดินยังลำบาก หากแยกบ้านในตอนนี้มีแต่จะพาลูกเมียลำบาก อยู่ที่นี่ต่อไปอย่างน้อยก็ยังมีที่ให้ซุกหัวนอน
“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วง แค่ท่านเชื่อใจ ข้าไม่มีทางปล่อยท่านกับลูกลำบาก”
“คำนั้นมันควรเป็นข้าต้องพูดไม่ใช่หรือ” แล้วไยถึงได้สลับหน้าที่กันเช่นนี้ นั่นหมายความว่าเขาเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ไม่ได้เรื่องน่ะสิ
“ท่านไม่ต้องน้อยใจไปหรอก เอาไว้ขาท่านหายดีเมื่อไรข้าจะใช้งานให้หนักเชียว”
“ไม่ต้องปลอบใจข้า ป่านนี้รักษาไม่ทันแล้วถึงจะมีทางรักษาจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าหมอ ข้าก็เป็นได้แค่คนไร้ค่า”
“ไร้ค่าอะไรกัน ดูพ่อเจ้าสิเอินเอินพูดจาไม่น่ารักเลยเนอะ” หญิงสาวไม่ได้สนใจคำน้อยใจของสามีแต่อย่างใด ถึงอย่างไรสักวันขาเขาก็ต้องหายอยู่ดี นางนี่แหละจะรักษาให้เอง
“แอ้”
“น่ารักอะไรของเจ้า ข้าเป็นบุรุษใช้คำนี้ได้ที่ไหนกัน” ไคเฉิงไม่เคยรู้สึกประหม่าเช่นนี้มาก่อน ชายหนุ่มนั่งหันหลังให้สองแม่ลูก ไม่อยากให้พวกนางเห็นใบหน้าที่กำลังแดงก่ำในตอนนี้ ก่อนจะหันหน้าเข้ามุมแอบยิ้มเขินอยู่ผู้เดียว
ไคเฉิงเฝ้ามองสองแม่ลูกหยอกล้อกันหัวเราะคิกคัก เกือบเดือนแล้วหนิงหลันนางเปลี่ยนตนเองไปมาก ดูแลลูกและเขามิได้ขาดตกบกพร่อง แม้ก่อนหน้าจะไม่ได้เป็นเช่นนี้ก็ตาม ทุกวันนี้เขารู้สึกว่าทุกอย่างมันดีขึ้นมาก หนิงหลันอาจจะเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืนก็จริง ทว่าไคเฉิงบอกกับตนเองว่าเขาจะไม่หาเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงนั้น ขอเพียงให้นางเปลี่ยนไปในทางที่ดีก็พอแล้ว
ตกดึกคืนนั้นระหว่างที่ทุกคนหลับสนิท มีเพียงไคเฉิงเท่านั้นที่นอนกัดผ้าทนความเจ็บปวด ปวดลึกเข้าไปจนถึงกระดูก อากาศในตอนดึกเย็นมากเท่าไรความเจ็บปวดนั้นก็ยิ่งทวีคูณเป็นเท่าตัว
ยามค่ำคืนบางครั้งแทบจะหลับไม่เต็มตื่น ยิ่งคืนไหนอากาศเย็นมาก ๆ ความเจ็บปวดนั่นทำเขาเจ็บเจียนตาย ชั่ววูบหนึ่งเคยคิดจะตัดขาตนเองทิ้งไปให้รู้แล้วรู้รอด
สุดท้ายแล้วทนนอนกัดผ้าต่อไปไม่ไหว จำใจต้องลุกออกมานั่งอยู่ด้านนอก ด้วยกลัวว่าจะหลุดร้องออกมา รบกวนการนอนของบุตรสาวและภรรยาเสียเปล่า ๆ หลายครั้งที่คิดจะตายไปเสีย แต่พอคิดถึงหน้าลูกเขากลับทำไม่ลง
“ท่านเป็นอะไร เหตุใดออกมานั่งตากลมเย็นเช่นนี้”
“ข้าทำเจ้าตื่น ขอโทษที” ชายหนุ่มสะดุ้งตกใจเขาหรืออุตส่าห์ทำตัวให้เงียบที่สุด แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาจนได้
“ไม่เลย ยามนี้อากาศหนาวเข้าไปข้างในเถอะ กินนี่ซะสิ เวลาข้าหิว ๆ ข้าก็ชอบตื่นมากลางดึกเช่นกัน อิ่มท้องแล้วจะช่วยให้หลับสบาย” เพราะช่วงนี้หัวหมุนกับการสร้างบ้านใหม่ทำให้ลืมเรื่องอาการบาดเจ็บไปเสียสนิท
“อืม ขอบใจ” ถึงจะไม่หิวแต่อีกฝ่ายมีน้ำใจเขาเองไม่ควรขัด ชายหนุ่มรับกล้วยหอมผลใหญ่ที่ภรรยาปอกเปลือกให้อย่างดีส่งเข้าปาก เขากินมันจนหมดพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น คนไร้ค่าอย่างไรก็ไร้ค่าสินะ รังแต่จะเป็นภาระคนอื่น
“ข้าไปนอนก่อนนะ ท่านอย่าอยู่ตรงนี้นานนักล่ะ กินอิ่มแล้วก็เข้าไปนอนตรงนี้มันหนาวเดี๋ยวจะไม่สบาย” หลังจากยื่นกล้วยสองลูกให้สามีหนิงหลันจึงแยกตัวกลับเข้าไปนอนต่อ ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งอยู่ที่เดิมตามลำพัง
ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับ ก่อนกลับมานั่งทอดอารมณ์พร้อมกับกินกล้วยทั้งลูกนั่นจนหมด หลังจากจมอยู่กับความคิดตนเองอยู่นานสองนาน ไตร่ตรองให้ดีตนนั้นมีความคิดตื้นเขินเกินไป มันเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น ต่อไปนี้เขาจะไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นอีกแล้ว หากเมื่อตนอ่อนแอไร้ค่าแล้วลูกเมียจะเป็นเช่นไร
เมื่อคิดได้ความผ่อนคลายเข้ามาแทนที่ ชายหนุ่มจึงกลับเข้าบ้านล้มตัวนอนข้างบุตรสาว เขาคิดว่าคืนนี้อย่างไรอาการปวดคงไม่หายไปง่าย ๆ ทว่าครู่เดียวเท่านั้นอาการเจ็บปวดทั้งหมดกลับค่อย ๆ หายไป ช่างน่าตกใจนัก อีกทั้งตัวเขายังเบาสบายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
คืนนั้นทั้งคืนไคเฉิงหลับสบายเสียจนตื่นสาย ออกไปทำงานที่รับจ้างไว้ไม่ทัน พานทำให้นางรั่วซิวก่นด่าไม่มีชิ้นดี เสียงแหลมยังก่นด่าตามหลังบุตรชายไม่หยุด ทุกคนในบ้านได้แต่ยกมือขึ้นปิดหูด้วยความรำคาญ
นั่นคือข้อสองที่หนิงหลันจะทดไว้ในใจ
“ทั้งบ้านทำงานเป็นแค่คนเดียวหรืออย่างไร” คล้อยหลังแม่สามีจากไป หนิงหลันยืนเท้าสะเอวบ่นงึมงำเพียงคนเดียว คอยดูเถอะแยกบ้านเมื่อไรได้เห็นดีกัน
