บทที่ 8 ของเหลือ [2]
หนิงหลันคร้านจะบังคับ ในเมื่อไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน ตอนนี้นางหิวจนตาลายหมดแล้ว ขอกินเติมพลังก่อนก็แล้วกัน
ไคเฉิงยอมรับข้าวโพดมาแต่โดยดี เพียงแค่กัดเข้าไปคำแรกกลิ่นหอมอ่อน ๆ ยังคงอบอวลอยู่ในปาก รสชาติหวานอร่อยกว่าข้าวโพดที่เคยกินมา เค็มนิด ๆ หอมเหมือนนม นางทำอย่างไรทำให้ข้าวโพดมีกลิ่นเหมือนนมได้อย่างไร
ข้าวโพดฝักใหญ่หมดไปอย่างรวดเร็ว เขายังอยากจะกินมันอีกกินเท่าไรก็ไม่รู้สึกเบื่อ ชายหนุ่มเฝ้ามองภรรยาไปอย่างเงียบ ๆ พลางพิจารณาพฤติกรรมที่ผ่านมา นางเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเพียงชั่วข้ามคืน อะไรทำให้หนิงหลันเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้นกัน
เขาจะคาดหวังได้หรือไม่ คาดหวังให้นางรักลูกบ้างนอกนั้นไม่ขออะไรแล้ว...
“ไคเฉิง หลังจากนี้ท่านมีธุระจะไปที่ใดหรือไม่”
“ไม่มีอะไรแล้ว”
“เช่นนั้นข้าฝากท่านดูลูกสักหน่อย พอดีข้ามีธุระต้องไปทำน่ะ” ช่วงกลางวันนางจะหาดูที่สำหรับสร้างบ้านใหม่ การจะแยกบ้านก็ต้องเตรียมที่อยู่ให้พร้อมก่อน เอาไว้ทุกอย่างเข้าที่นางถึงจะบอกเขาเรื่องแยกบ้าน
“เจ้าจะไปที่ใด” เมื่อคิดว่าภรรยากำลังจะไปหาบุรุษผู้นั้น จึงคิดได้ว่าสิ่งที่เขามองว่านางเปลี่ยนไปมันกลับไม่ใช่ นางยังคงเป็นเหมือนเดิม ก็แน่ล่ะ ใครมันจะไปสนใจคนพิการเช่นเขากัน
“ข้าจะไปเดินรอบหมู่บ้านสักหน่อย ไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับ”
“ก็ตามใจ”
ชายหนุ่มตอบกลับไปเพียงเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็เอาแต่นั่งเงียบสนใจเพียงบุตรสาว หนิงหลันเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วหายใจอีก เมื่อครู่บรรยากาศยังดีอยู่เลย แล้วไฉนถึงได้อึมครึมขึ้นมาเช่นนี้เล่า
หนิงหลันรีบเร่งออกจากบ้านเพราะเกรงว่าไปแล้วจะไม่พบผู้นำหมู่บ้าน ก่อนอื่นนางจะฝากท่านลุงเหลียงเอาเครื่องประดับไปขาย เมื่อได้เงินมาจากนั้นค่อยขอซื้อที่และสร้างบ้านหลังเล็กสักหลังไปก่อน เกรงว่าหากมากเกินไปจะเกิดข้อสงสัยเรื่องที่มาที่ไปของเงิน พานจะนำพาเรื่องปวดหัวมาให้ตนเสียเปล่า ๆ
หลังจากนำเครื่องประดับไปฝากขายเสร็จแล้ว หญิงสาวจึงถือโอกาสถามถึงที่ดินว่าง หากมีที่เหมาะสมและถูกใจ จะได้ขอซื้อและเตรียมการสร้างบ้านไปด้วยเลย เพื่อไม่ให้เสียเวลา
“ท่านลุงเรื่องที่ข้าฝากท่านเอาเครื่องประดับไปขาย รวมไปถึงเรื่องซื้อที่ วานท่านลุงอย่าเพิ่งบอกใครได้หรือไม่ รวมถึงไคเฉิงด้วยเจ้าค่ะ”
“ถ้าเขารู้จะไม่ดีใจกว่าหรือ เหตุใดต้องปิดบัง” ผู้นำเหลียงไม่เข้าใจ สามีภรรยามีอะไรต้องปิดบังกัน
“ท่านลุงก็รู้แม่สามีและคนในบ้านเป็นเช่นไร คือข้ายังไม่ได้ปรึกษาเขาเรื่องจะขอแยกบ้านเจ้าค่ะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วงข้าไม่บอกใครแน่นอน มีอะไรให้ช่วยมาหาข้าได้ตลอด” กิตติศัพท์นางรั่วซิวเป็นเช่นไรคนในหมู่บ้านรู้ดี โขกสับไคเฉิงราวกับไม่ใช่ลูกเห็นแล้วก็ได้แต่สงสาร แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้ทุกเรื่อง การขอแยกบ้านครั้งนี้เขาสนับสนุนเต็มที่
“ขอบคุณท่านลุงเหลียงมากนะเจ้าคะ ที่คอยเป็นธุระให้”
“ไม่เป็นไร ไคเฉิงน่ะนิสัยดี มีน้ำใจช่วยงานข้าก็หลายอย่าง เขาก็เหมือนลูกหลานข้าคนหนึ่ง เห็นเจ้ากลับใจได้ลุงก็ดีใจ” ผู้นำหมู่บ้านยินดีมากหากว่าหนิงหลันจะกลับตัวเป็นภรรยาและแม่ที่ดี เขาเห็นไคเฉิงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก หาความสุขสบายไม่ได้เลย เมื่อก่อนมีบิดาคอยปกป้อง ยามสิ้นบิดาไปก็ไร้ที่ให้พึ่งพิง
“เจ้าค่ะท่านลุง
นอกจากฝากเครื่องประดับไปขายแล้ว หนิงหลันยังไหว้วานให้ผู้นำหมู่บ้านช่วยเป็นธุระและหาช่างสร้างบ้านให้นางอีกด้วย นางไม่สามารถทำเรื่องพวกนี้ด้วยตนเอง จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยต้องระวังไม่ให้เรื่องนี้ไปถึงหูแม่สามี
น่าเสียดายที่ต้องคอยโกหกเรื่องนำสมบัติเก่าไปขาย ทั้งที่คลังสมบัติในห้วงมิติมีมากมายใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมดแท้ ๆ กลับไม่สามารถเอาออกมาใช้ได้ตามใจ ดีที่หนิงหลันคนก่อนมีนิสัยเห็นแก่ตัวอยากได้อยากมี ทำให้ผู้คนเข้าใจนางผิด คิดว่าเก็บเงินและของมีค่าไว้คนเดียว ทั้งที่จริงแล้วนางไม่มีอะไรเลยนอกจากอาภรณ์สวยงามที่สวมใส่ในตอนนี้
หลังจากจัดการธุระเสร็จ หนิงหลันจึงแวะเข้าไปเก็บผักผลไม้จากห้วงมิติ เมื่อได้ของครบจึงตรงกลับบ้านทันที
ทว่าคนที่คอยท่าอยู่บ้านเอาแต่บึ้งตึงใส่กัน ถามคำตอบคำ ทั้งที่ตนรีบไปรีบกลับบ้านตรงตามเวลา หนิงหลันไม่เข้าใจเลยว่าตนเองไปทำอะไรผิดไว้กันแน่ อุตส่าห์จะปรึกษาเรื่องแยกบ้านเสียหน่อย
เขาเป็นเช่นนี้เมื่อไรจะได้พูดกัน
ตกกลางดึกคนที่บอกว่าจะกินข้าวแค่มื้อเดียวแอบย่องออกไปด้านนอก หนิงหลันเห็นว่าสามีมีท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ด้วยความสงสัยนางจึงแอบย่องตามหลัง แต่เมื่อเห็นว่าอะไรเป็นอะไรนางก็เกือบหลุดหัวเราะออกมา
“จะทิ้งได้อย่างไรเสียดายของ” ไคเฉิงบ่นพึมพำเป็นการใหญ่ อาหารที่ภรรยาทำไว้เขากวาดเกลี้ยงจนหมดหม้อ เกรงว่าถึงยามเช้าแล้วนางจะเอาไปทิ้งจริง นอกจากเสียดายแล้วเขายอมรับว่าฝีมือการทำอาหารของหนิงหลันดีที่สุดที่เคยได้กินมา ของอร่อยเช่นนี้ใครจะบ้าให้นางเอาไปทิ้งกัน
