บทที่ 5 อิ่มทั้งพ่อทั้งลูก [1]
ไคเฉิงกลับบ้านมาพร้อมกับความผิดหวัง กับดักที่เขาวางไว้ไม่มีสัตว์มาติดเลยสักตัว นั่นหมายความว่าเขาจะไม่มีรายได้เข้าบ้านเลย ข้าวในถังก็คงจะกินได้แค่อีกมื้อเดียว จะห่วงก็แต่บุตรสาวจะให้กินแค่น้ำต้มข้าวอย่างเดียวไปตลอดก็คงไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าจะอดตายเสียมากกว่า
ช่างเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง แม้แต่น้ำต้มข้าวยังหาให้ลูกไม่ได้ ครั้นจะไปหยิบยืมเงินผู้อื่นก็ไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร หนี้เก่าก็ยังไม่มีปัญญาใช้คืน จะมีหน้าไปยืมอีกได้อย่างไร
ชายหนุ่มเดินขากะเผลกกลับบ้านด้วยความสิ้นหวัง รู้สึกน้อยใจต่ำใจต่อโชคชะตา หากไม่เพราะอุบัติเหตุตกจากต้นไม้ในระหว่างหาของป่า ด้วยไม่มีเงินรักษาจึงกลายเป็นชายขาพิการตั้งแต่นั้นมา ยามต้องลมหนาวปวดไปถึงกระดูก หรือแม้แต่ยามเดินลงแรงมากไปก็มิได้ งานที่เคยรับจ้างได้ทุกอย่างทุกวันนี้ทำได้เพียงถางหญ้าตัดฟืน หรืองานเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ต้องออกแรงมาก
เมื่อกลับมาถึงบ้านชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ เขาวางไม้ค้ำยันไว้ข้างประตูเรือน ก่อนจะค่อย ๆ ย่างเท้าเข้าไปบ้าน เตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องถูกต่อว่าอย่างเช่นเคย ได้แต่บอกตนเองให้อดทนเพื่อลูกน้อย เลิกรากันตอนนี้เขาที่เป็นเช่นนี้แล้วจะดูแลรั่วเอินได้อย่างไร
อย่างน้อยถ้าเขามีข้อต่อรองที่ดีให้นาง หนิงหลันก็ยังสามารถอยู่ดูแลลูกยามที่ต้องออกไปทำงานได้ ส่วนคนอื่นในบ้านยิ่งไม่ต้องพูดถึง ท่านแม่ลั่นวาจาไว้แล้วว่าหากเป็นลูกของหนิงหลันนางจะไม่ยุ่งเกี่ยวเด็ดขาด
“ท่านกลับมาแล้วหรือ ได้อะไรมาบ้าง หิวไหมกินข้าวก่อนสิ เย็นแล้วจะไม่อร่อย” หนิงหลันยกถ้วยข้าวต้มที่นางตักจนพูนชามวางไว้บนโต๊ะกลาง เสร็จแล้วจึงกลับไปป้อนนมลูกต่อไม่ได้สนใจสามีอีก
“เจ้าไปเอาของพวกนี้มาจากที่ใด” ไคเฉิงแปลกใจไม่น้อย นอกจากไม่บ่นด่าหยาบคายเหมือนเก่า นางยังมีน้ำใจแบ่งปันอาหารให้ผู้อื่น ที่สำคัญหนิงหลันดูแลบุตรสาวหรือ เขาตาฝาดไปหรือไม่
“ข้าเอาเครื่องประดับไปขาย”
“ไว้ข้าหาเงินได้แล้วจะซื้อมาคืนเจ้า”
“ไม่ต้อง ท่านรีบกินข้าวเถอะ” เครื่องประดับอะไรนั่นไม่มีหรอก นางก็แค่พูดไปเรื่อยเท่านั้น บ้านจนขนาดนี้ยังจะมีอะไรให้ขายได้อีกหรือ
“อืม” คำพูดของหนิงหลันไม่ได้เข้าหูเขาเลยแม้แต่นิด คิดแต่เพียงว่าต้องหาเงินมาซื้อคืน แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน คงจะแพงน่าดูถึงได้สามารถซื้อของพวกนี้ได้อย่างไม่นึกเสียดาย
ข้าวต้มชามนี้มิใช่มีแต่เพียงน้ำและเม็ดข้าวน้อยนิดเหมือนเช่นเคย แต่นี่ข้าวเต็มเม็ดพูนชามและธัญพืชอีกหลายอย่าง รวมไปถึงรสชาติก็ยังอร่อยมากถูกใจเขาอีกด้วย ชายหนุ่มเอาแต่นั่งนิ่งมองชาวข้าวของตนเอง ไม่ยอมตักมันเข้าปาก
กว่าเดือนได้แล้วกระมังที่ไม่ได้กินข้าวเต็มเม็ดเช่นนี้ จะสงสารก็แต่บุตรสาวนางยังเล็กเกินไปที่จะกินของพวกนี้ได้ ไคเฉิงคิดจะขอข้าวจากหนิงหลันสักหนึ่งกำมือเพื่อนำไปต้มให้เละ จะได้ป้อนให้รั่วเอินได้ ทว่ายังไม่ได้เอ่ยปาก เขากลับเห็นว่าภรรยากำลังป้อนบางอย่างให้บุตรสาว ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ที่แน่ใจคือนางชอบมันมาก
“นั่นเจ้าทำอะไรน่ะ” ชายหนุ่มรีบคว้ามือภรรยาไว้ทัน ก่อนที่นางจะป้อนบางอย่างหน้าตาไม่น่าชมเท่าใดนัก หน้าตาราวกับเอาดินผสมน้ำอย่างไรอย่างนั้น เด็กตัวแค่นี้กินอย่างอื่นได้แล้วหรือ คิดจะฆ่าลูกตัวเองให้ตายเลยหรือไร เขาไม่น่าหลงคิดว่าหนิงหลันปรับตัวดีขึ้นเลย
“อาหารเสริมเจ้าค่ะ มันคือข้าวที่ถูกบดหยาบ ๆ เอามาต้มผสมตับ รั่วเอินโตพอจะกินของพวกนี้ได้แล้ว ขืนให้กินแค่นมกับน้ำต้มข้าวลูกได้ขาดสารอาหารกันพอดี” หนิงหลันเข้าใจดีทั้งนางและเขาต่างก็เป็นพ่อแม่มือใหม่ ทั้งยังไม่มีผู้ใหญ่คอยให้คำแนะนำ แต่ถึงมีคนเหล่านั้นพวกเขาก็มิได้มาสนใจไยดีอยู่แล้ว เท่ากับว่าทั้งสองไม่มีที่พึ่งพิงให้คำปรึกษา
“นางกินอาหารพวกนี้ได้แล้วหรือ ข้าก็คิดว่ากินได้แต่นมและน้ำต้มข้าวเสียอีก”
“ได้สิเจ้าคะ ท่านดูนี่สิ ฟันนางขึ้นตั้งสามซี่แหนะ อีกหน่อยก็กินเหมือนผู้ใหญ่ได้แล้ว” ดูเหมือนว่าอาหารเสริมจะถูกปากเจ้าก้อนไม่น้อย ตักให้เท่าไรรั่วเอินก็กินหมด มิหนำซ้ำเจ้าเด็กน้อยยังทำท่าฟึดฟัดเพราะมารดาป้อนไม่ทันใจเอาเสียเลย
“ข้าเข้าใจแล้ว” เมื่อรู้ที่มาที่ไปแล้วว่าปลอดภัยไม่เป็นอันตรายต่อบุตรสาว เพียงเท่านี้เขาก็วางใจ จึงหันมาสนใจอาหารตรงหน้าตนเองบ้าง
ไคเฉิงตักข้าวคำแรกเข้าปากก็ถึงกับตาโต มันอร่อยกลมกล่อมอย่างไม่มีที่ติ หนิงหลันนางทำอาหารเป็นตั้งแต่เมื่อใด มันอร่อยเสียจนเขาหยุดกินไม่ได้เลย ระหว่างกินข้าวส่วนของตนเองเขายังคอยมองภรรยาป้อนข้าวบุตรสาวเป็นระยะ จะจดจำเอาไว้เป็นตัวอย่าง ยามที่ตนต้องป้อนให้รั่วเอินจะได้ทำเป็น
หลังจากกินอิ่มไคเฉิงคิดจะออกไปวางกับดักสัตว์อีกครั้ง อย่างน้อยได้ไก่ป่าสักตัวก็ยังดี เครื่องประดับที่หนิงหลันเอาไปขายได้เงินมา ก็ไม่รู้ว่าจะหาเงินไปจนถึงเมื่อไรถึงจะพอ คงต้องขยันทำงานให้มากขึ้นเสียแล้วไม่เช่นนั้นแม้แต่เงินซื้อข้าวก็จะไม่มี
