บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 วัดต้าฝู

แม้ว่าศัตรูอันดับหนึ่งของเฉินเจียวเจียวคือหลินชิงเหมย แต่คนที่นางไม่อาจจะเพิกเฉยได้ก็คือหลี่ไท่หยาง การแต่งงานในครั้งนี้แม้จะดูเหมือนนางคือฝ่ายป่ายปีนขึ้นที่สูงได้แต่งเข้าราชวงศ์ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นหลี่ไท่หยางต่างหากที่ได้ประโยชน์ในครั้งนี้ ผิงกั๋วกงเฉินคังผู้เป็นบิดาของนางเป็นถึงแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนมีกองกำลังในมือหลายแสนนาย

ส่วนสกุลหลินที่เป็นบ้านเดิมของมารดาก็มีท่านลุงที่ยามนี้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝ่ายขวา การได้เกี่ยวดองกับนางย่อมทำให้มีคนหนุนหลังเขาในราชสำนักมากขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความคิดจะแย่งชิงราชบัลลังก์ก็ตามที แต่หากเกิดเหตุพลิกผันอันใดขึ้น ในฐานะอ๋องที่มีกองกำลังหนุนหลังและมีขุมอำนาจในราชสำนักคอยคุ้มครอง ย่อมสามารถอยู่รอดปลอดภัยมากกว่าอ๋องคนอื่นๆ

แคว้นต้าเยียนแห่งนี้มีหลี่ไท่หลงเป็นองค์รัชทายาท ยามนี้ฝ่าบาทมักจะมีราชโองการให้องค์รัชทายาทออกว่าราชการแทนในท้องพระโรงอยู่บ่อยครั้ง ก่อนที่นางจะถูกสามีสั่งโบยแล้วแท้งบุตรจนตาย องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงก็ได้ครอบครองราชบัลลังก์อย่างมั่นคงแล้ว ท่านอ๋องหลายคนในยามนั้นล้วนถูกกำจัดมีเพียงไม่กี่คนที่ได้รอดชีวิตและหนึ่งในนั้นก็มีโซ่วอ๋องหลี่ไท่หยางที่ออกหน้าเป็นคนสนับสนุนองค์รัชทายาทอย่างเต็มกำลัง

ยามนั้นนางในฐานะพระชายาเอกก็ลงมือเกลี้ยกล่อมผู้เป็นสามีอยู่หลายครั้ง กว่าเขาจะยอมสนับสนุนองค์รัชทายาท การที่เขาสามารถรับหลินชิงเหมยเข้าจวนอ๋องและมอบตำแหน่งพระชายารองก็เพราะเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่นางกับสามีทำร่วมกัน ขอเพียงโซ่วอ๋องไม่เข้าร่วมการแย่งชิงบัลลังก์กับองค์รัชทายาท นางก็จะยินดีให้เขารับหลินชิงเหมยเข้าจวน

ยามนั้นองค์รัชทายาทปราดเปรื่องสักเพียงใดนางที่เข้าออกวังหลวงอยู่บ่อยครั้งย่อมรู้ดี ส่วนโซ่วอ๋องผู้เป็นสามีของนางนั้นโง่เขลามากเพียงใดนางเองก็รู้ดีเช่นกัน หากจะให้เขางัดข้อกับองค์รัชทายาทก็คงเปรียบเสมือนการเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง จวนผิงกั๋วกงของนางและจวนสกุลหลินล้วนถูกจัดเข้าเป็นพวกเดียวกับโซ่วอ๋องแล้ว หากเกิดขัดแย้งกันขึ้นมาคนที่นางรักรวมทั้งตัวนางเองอาจจะต้องสูญเสียชีวิตเพราะความโง่เขลาของหลี่ไท่หยาง

คิดไม่ถึงว่านางในช่วงชีวิตก่อนนั้นใช้ความคิดและความพยายามแทบตายเพื่อให้ตนเอง จวนอ๋องและสกุลเดิมสามารถอยู่รอดปลอดภัยต่อวังวนการแย่งชิงอำนาจได้ แต่สุดท้ายนางก็ยังต้องตายเพราะความโง่เขลาและหูเบาของสามีอยู่ดี ส่วนนางในยามนั้นเป็นเพราะประเมินความสามารถของตนเองสูงจนเกินไป ถูกหลินชิงเหมยเล่นงานอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แถมเพลี่ยงพล้ำครั้งเดียวก็ต้องสังเวยด้วยชีวิตของตนเองและลูกในท้องเสียแล้ว

ยามนี้เมื่อได้มีโอกาสย้อนกลับมาอีกครั้งสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของนางก็คือการแต่งงานกับหลี่ไท่หยางคือข้อผิดพลาดมากที่สุดในชีวิต เพียงแต่การหมั้นหมายในครั้งนี้มารดาของนางคือคนจัดการหมั้นหมายให้นางตั้งแต่เด็กคงยากที่จะล้มเลิกหรือขอถอนหมั้นได้ มีเพียงทำให้หลี่ไท่หยางเป็นคนขอถอนหมั้นเองเท่านั้นการแต่งงานนี้จึงจะไม่เกิดขึ้น

เพียงแต่นางในฐานะคุณหนูใหญ่จากจวนผิงกั๋วกงหากถูกถอนหมั้นขึ้นมาย่อมจะกลายเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ ไม่เพียงนางที่วันหน้าอาจจะไม่ได้แต่งงานออกเรือนได้อีก แม้แต่พี่สาวน้องสาวในสกุลก็อาจจะได้รับผลกระทบ แม้ว่านางจะเป็นคนเห็นแก่ตัวมากเพียงใดแต่ก็ไม่อาจจะทำให้เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ต้องได้รับผลกระทบต่อการกระทำของนางได้ พวกนางเคยแต่งงานและออกเรือนไปอย่างมีความสุขเช่นไรชีวิตนี้ของพวกนางก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ส่วนตัวของนางเองคงจะต้องคิดหาวิธีที่ทำให้ตนเองสามารถยกเลิกการหมั้นหมายโดยไม่กระทบต่อชื่อเสียงของตนเองและทำลายชีวิตของผู้อื่นด้วย

“วัดต้าฝู” อยู่ๆ เฉินเจียวเจียวก็โพล่งคำนี้ออกมาทำให้ทั้งตงผิงและตงชิงก็ต่างหันมาให้ความสนใจต่อนาง

“คุณหนูเอ่ยถึงวัดต้าฝูทำไมหรือเจ้าคะ หรือว่าอยากจะไปไหว้พระที่นั่น” เมื่อสาวใช้เอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ส่ายหน้า

นางจำได้ว่าในกาลก่อนหลินชิงเหมยมักจะเอ่ยถึงความหลังที่วัดต้าฝูเพื่อเรียกร้องความสนใจจากสามีอยู่บ่อยครั้ง วัดต้าฝูคือวัดที่เต๋อเฟยทรงมีศรัทธาต่อที่นั่นอย่างแรงกล้า การที่พระนางได้เข้าวังและดำรงยศขั้นเฟยได้เป็นเพราะพระนางเคยขอพรที่วัดแห่งนี้ หลี่ไท่หยางก็คือผลจากการขอพรที่นั่นเช่นกัน แม้ว่าต่อมาพระนางจะไม่สะดวกที่จะออกมากราบไหว้พระที่วัดอีกแต่ก็มักจะส่งหลี่ไท่หยางไปกราบไหว้และจุดตะเกียงอายุยืนที่นั่นให้พระนางเป็นประจำ จึงทำให้สถานที่แห่งนั้นคือสถานที่นัดพบกันระหว่างหลี่ไท่หยางและหลินชิงเหมย พวกเขาพบกันที่นั่นอยู่บ่อยครั้งจนเกิดเป็นความรักมั่นที่มีต่อกันในกาลต่อมา เพียงแต่ ‘พวกเขาพบกันที่นั่นตั้งแต่ตอนไหนกันเล่า’ เฉินเจียวเจียวได้แต่ครุ่นคิดจนหัวคิ้วแทบจะชนกันอยู่แล้ว

“หากคุณหนูอยากจะไปไหว้พระก็ขอติดตามฮูหยินใหญ่ไปสิเจ้าคะ วันพรุ่งนี้ฮูหยินจะไปไหว้พระที่วัดต้าฝูพอดี” คำพูดของตงชิงทำให้เฉินเจียวเจียวหันไปมองนางในทันที

“ท่านแม่ก็จะไปไหว้พระที่นั่นเช่นนั้นหรือ”

“เจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นพวกเราไปหาท่านแม่กัน วันพรุ่งนี้ข้าอยากติดตามนางไปที่วัดแห่งนั้นด้วย” แม้ว่าจะไม่รู้ว่าพวกเขาได้พบกันที่นั่นแล้วหรือยัง หรือหากได้พบกันที่นั่นจริงนางจะทำเช่นไรแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะออกไปดูลาดเลาด้วยตนเองก่อน สถานที่นัดพบกันของพวกเขานางควรจะมีคนของนางอยู่ที่นั่นแม้ไม่อาจจะเรียกได้ว่าจับชู้แต่ถ้าหากสามารถทำให้ผู้อื่นรู้ได้ว่าโซ่วอ๋องกับญาติผู้น้องลักลอบนัดพบกันก็น่าจะเป็นหนทางที่ดีสำหรับนาง

เรือนของเฉียวซื่อผู้เป็นมารดาเลี้ยงอยู่ไม่ไกลจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเท่าใดนักเดินเพียงไม่นานก็ถึงแล้ว ในฐานะฮูหยินใหญ่ของจวนเรือนของเฉียวซื่อจึงมีขนาดใหญ่กว่าเรือนของผู้อื่น เพียงแต่ยามที่บิดาของนางไม่อยู่เรือนหลังใหญ่แห่งนี้ก็ดูเงียบเหงามากทีเดียว เฉินเจียวเจียวจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดว่าเพราะเหตุใดเฉียวซื่อจึงมักจะไปอยู่พูดคุยกับนางที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าอยู่บ่อยครั้ง

“เจียวเจียวเหตุใดวันนี้จึงได้มาหาแม่ได้” เฉียวซื่อเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่สาวใช้เชิญเฉินเจียวเจียวเข้าไปในเรือนแล้ว

“ข้าได้ยินมาว่าท่านแม่จะไปไหว้พระ ข้าก็เลยอยากจะติดตามท่านแม่ไปด้วยเจ้าค่ะ” เฉินเจียวเจียวระบุความต้องการของตนเองอย่างไม่อ้อมค้อมแถมนั่งลงยังเก้าอี้ข้างกายเฉียวซื่อแล้วรับน้ำชาที่แม่เลี้ยงเป็นผู้รินใส่ถ้วยให้ขึ้นมาจิบแล้วส่งยิ้มให้อย่างสนิทชิดเชื้อ

“ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้ข้ายังหลงคิดว่าเจ้าอยากจะมาพูดคุยกับข้าเพราะกตัญญูเสียอีก” คำพูดหยอกเย้าของเฉียวซื่อทำให้เฉินเจียวเจียวยิ้มออกมา

“หากท่านอยากให้มีคนกตัญญู ท่านพ่อมาคราวหน้าท่านก็พยายามให้มากหน่อยสิเจ้าคะ พี่ใหญ่กับข้าเฝ้ารอให้ท่านคลอดน้องชายตัวน้อยๆ มาให้พวกข้าอยู่นะเจ้าคะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็ยกด้ามพัดขึ้นมาเคาะที่มือของลูกเลี้ยงของตนเบาๆ

“เจ้านี่นะช่างพูดขึ้นมาได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ เป็นเพียงเด็กสาวมาแนะนำให้ข้าใช้ความพยายามอันใดกัน” เฉียวซื่อเอ่ยออกมาอย่างขวยเขินทำให้เฉินเจียวเจียวอดหัวเราะออกมาไม่ได้

“ข้าหมายถึงให้ท่านแม่พยายามเอาอกเอาใจท่านพ่อให้มากหน่อย จดหมายที่พี่ใหญ่เขียนมาเขาบอกกับข้าว่าอยู่ที่โน่นท่านพ่อไม่มีแม้แต่สาวใช้อุ่นเตียง นี่ไม่เพราะคำนึงถึงความรู้สึกท่านแม่หรอกหรือเจ้าคะ หากท่านพ่อกลับมาท่านก็พยายามดูแลเขาให้มากสักหน่อยชดเชยที่ท่านพ่ออุตส่าห์ไว้หน้าให้ท่านนะเจ้าคะ” คำพูดของเฉินเจียวเจียวทำให้เฉียวซื่อยิ้มออกมาอย่างขัดเขิน

“สรุปว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อขอติดตามเข้าไปไหว้พระใช่หรือไม่ หากอยากให้ข้าช่วยไปขออนุญาตจากท่านย่าของเจ้าให้เจ้าก็ควรเลิกเอ่ยวาจาเช่นนี้ได้แล้ว”

“ย่อมต้องอยากไปสิเจ้าคะ ท่านแม่ท่านอย่าลืมไปพูดกับท่านย่าให้ข้านะเจ้าคะ” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้เฉียวซื่อก็พยักหน้าพลางส่งยิ้มให้นาง

“เรื่องนี้ย่อมได้อยู่แล้ว” เมื่อเฉียวซื่อยอมรับปากเฉินเจียวเจียวก็ไม่คิดจะเอ่ยวาจาหยอกเย้ามารดาเลี้ยงอีก

เฉียวซื่อเป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาหลังจากมารดาแท้ๆ ของเฉินเจียวเจียวจากไปหลายปีแล้ว ยามนี้เฉียวซื่อมีอายุเพียงยี่สิบต้นๆ เพียงเท่านั้นนับว่ามีอายุห่างจากบิดาของนางพอสมควร เมื่อแต่งเข้ามาก็ไม่ค่อยได้อยู่ร่วมกับบิดาเท่าใดนักจวบจนป่านนี้นางจึงยังไม่ได้ตั้งครรภ์เสียที

ส่วนบิดาของนางนั้นก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่แต่กับกองทัพไม่ค่อยจะสนใจเรื่องอิสตรีเท่าใดนัก ที่นางพูดล้วนเป็นความจริงบิดาและท่านอารองของนางไม่มีสตรีข้างกายเลยสักคน ไม่เหมือนกับท่านอาสามของนางที่พาอนุผู้งดงามติดตามไปปรนนิบัติด้วย แต่จะเป็นเพราะว่าเห็นแก่หน้าของเฉียวซื่ออย่างที่เฉินเจียวเจียวเอ่ยออกมาหรือว่าเป็นเพราะว่าเขาไม่มีเวลาให้สตรีก็สุดรู้ แต่หากใช้คำว่าเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของเฉียวซื่อย่อมทำให้คนฟังรู้สึกดีกว่ามิใช่หรือ นางในฐานะบุตรสาวย่อมจะต้องช่วยเหลือบิดาเอาหน้าจากมารดาเลี้ยงอยู่แล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel