ตอนที่ 9 เล่าเรื่องแหวนมิติ
ลี่หลินรู้สึกตัวช่วงประมาณใกล้ฟ้าสาง อาการเย็นขึ้นเรื่อยๆ จนนางรู้สึกหนาวจึงกระชับผ้าห่มเข้าหาตัว
ในใจพาลนึกห่างหลี่ซือที่สวมเสื้อตัวบางขนาดนั้นจะไม่ป่วยไข้เอาหรือ นางจึงลุกขึ้นจากเตียงตั้งใจว่าจะไปแอบดูเขาสักหน่อย
แสงสว่างด้านนอกส่องเข้ามาเล็กน้อยทำให้นางไม่ต้องจุดไฟตะเกียง และค่อยๆเดินอย่างระมัดระวังไปเปิดประตู
“เห้ย”ลี่หลินร้องอย่างตกใจเมื่อพบว่าเท้าของนางไปเหยียบบางอย่างเข้า บางอย่างที่คล้ายกับมนุษย์
“หลี่ซือ? ท่านมานอนอะไรตรงนี้ ตัวเย็นเฉียบเลยไม่ใช่ว่าแข็งตายไปแล้วนะ”นางรีบเขย่าตัวเขาให้ตื่นขึ้นทันที
“หมับ”ร่างกำยำออกแรงดึงร่างบางเข้าไปในอ้อมกอด เขาโหยหาความอบอุ่น จึงรีบซุกตัวเข้าไปอยู่ที่เนินเนื้อนุ่มนิ่มของนางอย่างรวดเร็ว ลวนลามกันแบบนี้ก็ได้เหรอหลี่ซือ
“นี่ท่าน”ลี่หลินพูดกระไรไม่ออกจึงปล่อยให้เขาทำตามใจครู่หนึ่ง ก่อนจะพยายามพยุงให้เขาไปนอนที่เตียง
บ้านหลังนี้เก่ามากแล้วไม่สามารถกันหนาวได้ ฤดูหนาวกำลังจะมาเยือนในอีก 2 เดือนข้างหน้า
หากไม่รีบปรับปรุงบ้านมีหวังนางต้องได้ตื่นขึ้นมาเป็นน้ำแข็งเข้าสักวัน นางจึงตัดสินใจทำบางอย่างเพื่อความอยู่รอด
“หลี่ซือ ถ้าท่านตื่นแล้วลองมองที่โต๊ะข้างหัวเตียงสิ ข้ามีของจะมอบให้ท่านด้วย”เขาลืมตาตื่นขึ้นแล้วทำท่าว่าจะลุกขึ้นนั่ง
เป็นอย่างที่นางคิดเขาตื่นแล้ว แม้จะยังงัวเงียแต่เขาก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่หัวเตียง
“หน้าไม้ มีดอย่างดีและเกราะหนังหรือ”เขาพูดเสียงเบาราวกับไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
“เจ้าไปเอามาจากที่ใดกันลี่หลิน คงมิได้ขะ…”เขายั้งคำพูดเอาไว้ได้ทัน
ความคิดแรกที่แวบเข้ามาก็คือนางไปขโมยของพวกนี้มาจากที่ไหน ดูจากคุณภาพของวัสดุเหล่านี้แล้วอย่างน้อยก็ต้องเป็นของพวกขุนนางจึงจะสามารถหามาใช้ได้
“ข้ามิใช่ลู่ลี่หลินหรอกหลี่ซือ ข้าชื่อมะลิเป็นดวงวิญญาณที่ออกจากร่างตอนที่เสียชีวิตแล้ว ย้อนเวลากลับยังโลกใบนี้ และมาเข้าร่างของลู่ลี่หลินด้วยอานุภาพของแหวนวงนี้”นางเกริ่น
หากเล่าเรื่องทั้งหมดแล้วเขาจะคิดว่านางบ้าไปแล้วนางก็ต้องทำใจ เพราะดูสถานการณ์ตอนนี้นางไม่ทีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว
หลังจากนั้นลี่หลินก็เล่าประวัติความเป็นมาทั้งหมดของนาง รวมถึงเรื่องน้ำผึ้งกับกวินน้องชาย และเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมรับแหวนวงนี้ไป
ข่าวการตายของพวกเขาถูกเพื่อนพนักงานพูดกันในไลน์ ส่วนนางก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจนกระทั่งเห็นพี่สาวของน้ำผึ้งโพสต์ลงเฟส
“เจ้าเชื่อสิ่งที่ข้าเล่าหรือไม่”เขาเงียบไปพักใหญ่ นางจึงต้องเอ่ยถามขึ้น
“หากจะไม่เชื่อเจ้าก็คงยาก ในเมื่อเจ้าสามารถซื้อหน้าไม้ มีดและเกราะหนังอย่างดีให้ข้าได้
มีกระบอกน้ำที่พกพาสะดวกหน่อยหรือไม่ ข้าอยากได้มานานแล้ว”เขาเอ่ยทีเล่นทีจริง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
บางครั้งหลี่ซือก็ดูลึกลับและอ่านยาก ภายใต้ดวงตาสีดำขลับคล้ายมีบางอย่างซุกซ่อนอยู่
บางคราวเขาก็กลัวนางคล้ายบุรุษขี้ขลาด บางคราวเขาก็องอาจราวกับราชสีห์
กระบอกน้ำเช่นนั้นหรือ? ได้ ถ้ามันจะทำให้เขาเชื่อนาง เอาไปเลย 2 กระบอก
ลี่หลินเปิดระบบร้านค้าออนไลน์ขึ้นมาแล้วเลือกแสดงหน้าจอภาพที่นางเห็นให้ปรากฏขึ้น เพื่อแสดงเป็นหลักฐานให้หลี่ซือเห็นด้วยเช่นกัน
“ในร้านค้าออนไลน์นี้จะมีหน่วยเงินที่ใช้เรียกว่าหยวน ที่ข้าให้ท่านซื้อปิ่นหยกมาให้ เพราะต้องการจะนำมาขายที่หน้าร้านค้าของข้า
ท่านเห็นตะกร้าใส่สินค้านี้ไหม หากเราต้องการนำของที่มีอยู่ที่นี่ไปขายในระบบ เราก็สามารถนำมาวางไว้ในนี้ได้เลย”
“แล้วเรื่องราคาขายต้องตั้งอย่างไร เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าปิ่นหยกชิ้นนี้ต้องขายราคาเท่าใด”
“เป็นคำถามที่ดี ระบบจะมีราคากลางอยู่และจะเป็นผู้ตรวจสินค้าแต่ละอย่างที่เรานำมาขาย ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่ คล้ายๆกับว่าเป็นของแท้หรือว่าของปลอมหรือเปล่า”
“อืม เป็นระบบที่ดียิ่งนัก เพราะมีระบบนี้หรือเจ้าจึงอยากให้ข้าอยู่ที่บ้าน แทนที่จะออกไปล่าสัตว์”เขาถามอย่างตรงไปตรงมา
“ใช่ เพราะว่าในนี้มีข้าวสาร แป้งขาว ไข่ไก่ เนื้อสัตว์และอาหารต่างๆที่พวกเราต้องการ ขอแค่เพียงมีเงินหยวนก็สามารถซื้อของที่มีนี้ได้”
“และถ้าหากเงินหยวนหมดเราก็ต้องหาของจากที่นี่ไปขาย เช่น ของจำพวกปิ่นหยกใช่หรือไม่ เมื่อนำไปวางขายได้เงินหยวนมาก็สามารถนำไปซื้อของในร้านค้าออนไลน์ได้
ส่วนก้อนทองขนาดเล็กที่ข้าเคยนำไปขายที่ร้านจาง เหวิน เป็นของรางวัลที่ระบบให้มาตั้งแต่แรก และก้อนทองนี้ยังใช้ในการเลื่อนระดับแหวนและซื้อหน้าร้านค้าออนไลน์ด้วยถ้าข้าจำไม่ผิดตอนนี้แหวนของเจ้าอยู่ที่ระดับ 3 แล้ว”เขาพูดตามที่เข้าใจ
ส่วนลี่หลินอดมองบุรุษผู้นี้อย่างรู้สึกทึ่งไม่ได้ เขาเข้าใจอะไรรวดเร็วยิ่งนัก และดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกตกอกตกใจอะไรมากอย่างที่คิด
นางแอบคาดหวังให้เขาร้องกรี๊ดออกมา ตอนที่นางเปิดระบบออนไลน์ออกมาด้วยซ้ำ
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาเลือกกระบอกที่ชอบใจได้ 2 อัน แต่ดูเหมือนจะตัดสินใจไม่ได้ว่าต้องซื้อใบไหนดี
ลี่หลินใจดีเป็นพิเศษจึงซื้อให้ทั้งสองอัน แล้วหยิบของที่ระบบส่งมาให้ส่งให้เขาไปทันที
หลี่ซือรับกระบอกน้ำสีดำและสีเงินไปดูอย่างพิจารณา เขาเดินออกนอกห้องไปลองใส่น้ำแล้วปิดฝาให้สนิท เขย่าอย่างไรก็ไม่มีน้ำเล็ดลอดออกมา
“กระบอกนี่ช่างวิเศษยิ่งนักลี่หลิน ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าจึงอยากให้ข้าอยู่ช่วยที่บ้าน แต่ข้าก็ยังคงไม่เห็นด้วย”
“เพราะเหตุอันใดกัน”
“เจ้ามีความสามารถและประสบการณ์จากชาติก่อนมากก็จริง และการมาเกิดใหม่ครั้งนี้เจ้ามีตัวช่วยเช่นระบบนี่ มันยิ่งทำให้เจ้ารู้สึกสบายใจ
แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ พวกเราจะตอบพวกชาวบ้านว่าอย่างไร ไฉนพวกเราจึงมีเงินทองมากมาย และพวกเราหาเงินทองพวกนี้มาจากไหน
ข้ารู้สึกยินดีที่เจ้ามีของวิเศษนั่นก็จริง แต่สิ่งที่ข้าต้องการก็คือแหล่งรายได้ที่มั่นคง ที่สามารถแสดงให้คนทั่วไปเห็นว่าเราทำมาหากิน ในขณะที่เจ้าใช้ระบบช่วยเหลือพวกเราอยู่”เขาพูดสิ่งที่เขาคิดออกมา ลี่หลินเองก็เห็นด้วย
“เช่นนั้นพวกเราทำสวนผักดีหรือไม่ ผักทั่วไปราคาไม่แพงหรอก แต่ข้าจะนำผักมาแปรรูปขายรับรองว่าขายดีอย่างแน่นอน แต่ระหว่างนี้ท่านต้องล้อมรั้วรอบที่ของเรา และอนุญาตให้ข้าปลูกบ้านใหม่ด้วย”
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะคุยกับท่านลุงหยางให้วันนี้เลย ข้าก็แค่ไม่อยากให้เจ้าพึ่งพาตัวช่วยมากจนเกินไป
ความโดดเด่นเป็นสิ่งที่ดี แต่มันจะดึงดูดอันตรายมาสู่ครอบครัวของพวกเราได้”หลี่ซือพูดเสียงขรึม
“ได้ ข้าจะลุกขึ้นไปทำอาหารก่อน ตอนบ่ายข้าว่าจะทำขนมถั่วกวน ฝากท่านนำไปให้ป้าหยางที
หากเราจะทำการค้าสิ่งแรกที่เราต้องมีก็คือพวกพ้อง และก็อย่างที่ท่านเห็น ข้าไม่มีใครชอบขี้หน้าข้าสักคน”
นางยิ้มแหยๆให้เขา แต่หลี่ซือกลับมองว่ารอยยิ้มนั้นช่างน่าเอ็นดู เขารู้สึกเห็นใจนางยิ่งขึ้นไปอีก เกิดใหม่ทั้งทีก็ดันมาเกิดในร่างสตรีที่ร้ายกาจที่ไม่มีผู้ใดยอมรับ…
เขาเองก็ลุกขึ้นตั้งใจจะไปจัดการธุระให้ลี่หลิน แต่จู่ๆก็รู้สึกหนาวขึ้นมา ร่างสูงโปร่งเกือบจะล้มคะมำลงไป หากไม่ได้มือเล็กคอยพยุงไว้
นางจัดแจงให้เขานอนพัก และก็มอบยาเอาไว้ให้รับประทาน 2 เม็ด เพื่อลดไข้ ก่อนจะเดินเข้าครัวไปอย่างอารมณ์ดี
อากาศยามเช้าวันนี้ช่างสดใสนัก การได้แบ่งปันเรื่องราวของตัวเองให้ผู้อื่นฟัง ช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย หน้าตาก็พลอยแจ่มใจขึ้น
ลี่หลินคว้าตะกร้าออกไปเด็ดผักที่สวนหลังบ้านเพื่อเตรียมนำมาทำอาหาร มองเห็นป้าหยางเดินมาเกาะรั้วไม้เก่าๆข้างหน้าบ้านนางจึงเดินไปพูดคุย
“ท่านป้าเมื่อวานต้องขอบคุณท่านที่นำไข่และเนื้อหมูมาให้พวกเราด้วย”นางพยายามพูดอย่างสุภาพ แม้น้ำเสียงจะฟังดูแปร่งๆไปหน่อยก็ตาม
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกพวกเราเป็นเพื่อนบ้านกันก็ต้องดูแลกันเป็นธรรมดา หลี่ซือและอาจิ้งเป็นอย่างไรบ้าง”
ความหมายของท่านคือ ท่านอยากจะถามว่าข้าตบตีพวกเขาจนเลือดตกยางออกอีกแล้วใช่หรือเปล่า
“พวกเขาสบายดีเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าบ่ายนี้ท่านลุงหยางว่างหรือไม่ ข้าอยากจะเชิญท่านมาพูดคุยที่บ้านหน่อยท่านป้า”
“มีเรื่องอะไรหรือ ช่วงนี้ลุงหยางไม่มีงานก่อสร้างที่ใดเขายังว่างอยู่”
“ข้าอยากจะจ้างงานลุงหยางให้สร้างบ้านใหม่ของพวกเราเจ้าค่ะ พอดีว่าหลี่ซือเจอกล่องสมบัติเก่าที่มารดาทิ้งเอาไว้ให้กล่องใหญ่ ข้าจึงอยากปลูกบ้านที่มั่นคงกว่านี้เจ้าค่ะ”นางทำท่ากระซิบกระซาบ
“จริงเหรอ? ดีจริงๆเดี๋ยวข้าจะรีบกลับไปบอกตาเฒ่าเดี๋ยวนี้เลย พวกเจ้าจะได้มีบ้านดีๆอยู่กันเสียดี”ป้าหยางรีบกลับไปอย่างรีบร้อน
หลี่ซือ ท่านเห็นไหมว่ามันยังมีอีกหนทางหนึ่ง ที่จะทำให้ชาวบ้านรู้ว่าพวกเราได้เงินมาอย่างไรและวิธีนั้นเรียกสั้นๆว่า“โกหก”อย่างไรเล่า
จากนั้นก็ปล่อยให้ท่านป้าหยางเป็นผู้กระจายข่าวให้ทุกคนทราบ วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลชะงัดนักแล
