ตอนที่ 7 ก้อนทองแลกตำลึงทอง
หลี่ซือเดินเข้าออกตามร้านค้าต่างๆ เพื่อของานทำเป็นว่าเล่น แต่ทว่าไม่มีผู้ใดรับเขาเข้าทำงานเลยสักคน จนสุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความท้อแท้
ลี่หลินเพิ่งญาติดีกับเขา นี่เขาต้องทำให้นางผิดหวังอีกอย่างนั้นเหรอ
เขาเดินถอนหายใจออกมาจากโรงเตี๊ยมแห่งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในร้านจางเหวิน ซึ่งเป็นร้านขายเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในเมือง อย่างน้อยเขาต้องขายก้อนทองนี้แล้วนำเงินมาซื้อปิ่นให้นางจงได้
“เถ้าแก่ข้านำของมาขาย อยากทราบว่าท่านจะให้ราคาข้าเท่าใด”หลี่ซือยื่นก้อนทองทรงกลมให้เถ้าแก่จาง
หลี่ซือยื่นก้อนทองคำขนาดเล็กให้เถ้าแก่ทันทีเพราะเกรงว่าเถ้าแก่จะไม่เชื่อ แล้วจะไล่เขาออกจากร้าน
ดูจากลักษณะการแต่งตัวของเขาแล้ว ไม่เหมาะสมกับร้านเครื่องประดับที่หรูหราเช่นร้านนี้ หากเถ้าแก่จะไล่ตะเพิดเขาออกไป เขาก็ไม่รู้สึกแปลกใจเลย
“แล้วเจ้าจะเอาทองคำมาขายด้วยเหตุใดเล่า”
“ภรรยาข้าบอกว่านางอยากได้ตำลึงมาใช้จ่ายแทนขอรับ พอดีว่าบ้านของพวกเรากำลังขัดสนเรื่องเงินจึงจำต้องนำมาขายด้วยความจนใจ”เขาพูดทุกอย่างตามที่ลี่หลินสอน
“เฮ้อ ขายสมบัติเก่ากินสินะ ถึงแม้ว่าข้าจะเห็นใจพวกเจ้ามาก แต่ข้ารับซื้อได้แค่ก้อนละ 3 ตำลึงทองเท่านั้น หากเจ้าไม่พอใจกับราคานี้ก็ไปขายที่ร้านอื่นเถอะ”
เขาโบกไม้โบกมือแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แม้ใจจริงจะมองก้อนทองที่มันวาวเหล่านั้นอย่างไม่วางตา
หลี่ซือสังเกตท่าทางของเถ้าแก่จางแล้วหวนคิดถึงคำของลี่หลินที่บอกว่า ปลากำลังฮุบเหยื่อที่เราวางล่อเอาไว้แล้ว
ทีนี้ขั้นตอนต่อไปก็คือการต่อรองราคาและการปิดการขาย
“ข้ามีอยู่ 5 ชิ้นหากเถ้าแก่ให้ราคาที่เป็นธรรมแก่ข้า ข้าจะขายให้ท่านทั้งหมด
รับรองว่าเครื่องประดับสวยๆเช่นนี้ ท่านไม่สามารถหาได้จากที่ใดอย่างแน่นอน” หลี่ซือลองกลั้นใจต่อรองอีกสักนิดเผื่อจะสามารถโก่งราคาขึ้นได้
เถ้าแก่จางนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อไตร่ตรองแล้วตัดสินใจเอ่ยมาในที่สุดว่า
“ ข้าเอา 5 ชิ้นให้ราคา 18 ตำลึงทอง หากมากกว่านี้เจ้าคงต้องไปขายที่ร้านอื่นแล้วแหละพ่อหนุ่ม ก้อนทองของเจ้าสวยดีแต่ว่าขนาดเล็กไปหน่อย ข้าให้ราคาได้เท่านี้จริงๆ”
“เช่นนั้นข้าคงต้องไปขายที่ร้านเถ้าแก่จงเสียแล้ว ขอบคุณเถ้าแก่มากข้าขอลา” เขาเก็บของใส่ถุงผ้าใบน้อยแล้วเตรียมเดินออกจากร้านทันที
“ชะช้าก่อน 20 20 ตำลึงทองมาเอาไปเลย ข้าจะรีบนำเงินมาให้เดี๋ยวนี้ แหม เมื่อครู่ข้าแค่หยอกเจ้าเล่นนิดเดียวเอง”เขาพูดแก้เขิน
“เช่นนั้นก็คงต้องรบกวนเถ้าแก่แล้ว”หลี่ซือพูดอย่างนอบน้อม อย่างน้อยเขาก็มั่นใจในทักษะการมองคนของเขา และต้องขอบคุณคำแนะนำของลี่หลิน ที่ช่วยให้เขามั่นใจมากยิ่งขึ้น
เมื่อได้เงินมาแล้วเขาก็เดินไปเลือกซื้อปิ่นหยกในร้าน ของเถ้าแก่จาง ตามที่ลี่หลินสั่งกำชับ
จ่ายไปเพียง 2 ตำลึงได้ปิ่นหยกมามากมาย เขาจึงรีบเดินทางกลับบ้านทันที
แม้จะนึกสงสัยว่าลี่หลินหาของล้ำค่าพวกนี้มาจากที่ใด แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ถาม เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะต้องมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับนาง
ขายก้อนทองได้เงินมาจำนวนมากขนาดนี้ ลี่หลินคงวางแผนจะไปจากเขาและอาจิ้งอย่างแน่นอน
เอาเถิดหากนางได้เงินก้อนนี้ไป ก็คงไม่ต้องไปตกทุกข์ได้ยาก เขาก็จะไม่เหนี่ยวรั้งนางไว้อีกอย่างแน่นอน
ณ บ้านตระกูลหวัง
ลี่หลินเก็บกวาดของต่างๆเรียบร้อยแล้ว นางตัดสินใจนำนาฬิกามาแขวนที่ข้างฝา พร้อมสอนให้อาจิ้งดูเวลาในแบบปัจจุบันด้วย
เวลายุคโบราณแบ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนนัก นางคิดว่ามันยากต่อการเข้าใจ จึงประมาณเอาตามเวลาในโลกปัจจุบันที่คุ้นเคย
อาจิ้งเรียนรู้ได้เร็วมากกว่าที่นางคาดเอาไว้เสียอีก สอนเพียงครึ่งชั่วโมงเขาก็เข้าใจและสามารถอ่านเวลาแบบต่างๆที่นางสอนได้ทั้งหมด
กับข้าวบนโต๊ะส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจ แต่ทุกคนตั้งใจจะรอหลี่ซือกลับบ้านก่อน เพื่อรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน
ระหว่างรอลี่หลินขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนหลังจากที่ซื้อสบู่มาใช้ เพื่อช่วยขจัดความสกปรกออกไปจากร่างกาย นางจึงรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก
“ลี่หลินข้ากลับมาแล้ว”เสียงหลี่ซือเรียกชื่อนาง นางจึงเดินไปเปิดประตูห้องให้เขาเข้ามา
“อ้อเจ้ากลับมาแล้ว ไปอาบน้ำสักหน่อยเถิดแล้วไปกินข้าวกัน”
“ข้านำตำลึงทองมาให้เจ้า”เขายื่นถุงผ้ามาให้นางด้วยมือที่สั่นเทาเล็กน้อย
“ขายได้ 20 ตำลึงทองเชียวเหรอ”นางนับก้อนทองในมืออีกครั้งอย่างตื่นเต้น
เพราะซื้อปิ่นหยกเงินจึงเหลือไม่ครบ แต่ปิ่นหยกนางก็นำมาขายต่อเพื่อแปลงเป็นเงินหยวน ส่วนก้อนทองนี้นางสามารถนำเงินหยวนในร้านค้าไปซื้อได้
หลี่ซือซื้อปิ่นหยกให้นางได้ตั้ง 10 ชิ้น แถมยังเลือกแต่ปิ่นที่มีลวดลายแกะสลักสวยงามมาให้ด้วย เขาช่างตาถึงยิ่งนักที่มองออกว่าปิ่นชิ้นไหนค่อนข้างมีมูลค่าสูง
เงิน 3,500 หยวนสามารถซื้อก้อนทองเล็กๆนี้ได้ 1 ก้อน ส่วนก้อนทอง 5 ก้อนสามารถนำไปขายได้เงินมาตั้ง 20 ตำลึงทอง
มองเห็นหนทางทำมาหากินเบื้องหน้า ทำให้นางนัยน์ตาลุกวาวอย่างมีความสุข
“ข้าออกไปรอข้างนอกก่อนนะ”
หลี่ซือพูดแล้วเดินจากไปแต่ลี่หลินสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงนั้น เขาคงคิดว่านางเตรียมจะหนีออกจากบ้านไปอีก
ลี่หลินเดินไปหยิบสมุดที่นางวาดเอาไว้ยื่นส่งให้หลี่ซือ “ข้าอยากสร้างบ้านของพวกเราขึ้นใหม่ ไม่รู้ว่าที่ดินที่บ้านหลังนี้ตั้งอยู่เป็นของพวกเราอย่างถูกต้องใช่หรือไม่”
“…” สองพี่น้องเงยหน้ามองนางอย่างไม่คาดคิดว่าจะได้ยินประโยคนี้
นางจึงยิ้มกว้างให้พวกเขาพร้อมกับพูดออกมาจากใจว่า“ข้าไม่คิดจะหนีไปจากที่นี่อีก แต่ข้าอยากอยู่ในบ้านที่สุขสบายและเป็นบ้านของพวกเราจริงๆ ข้าจึงนำสมบัติส่วนตัวไปขาย”
“บ้านหลังนี้ตั้งอยู่บนที่ดินของข้าอย่างถูกต้อง มีเนื้อที่ประมาณ 8 หมู่เศษ”
“กว้างใหญ่ถึงเพียงนั้น”
“ใช่แล้วพี่สะใภ้ ที่นี่เป็นที่ของพี่ใหญ่ พวกเรามีโฉนดที่ดินอย่างถูกต้องขอรับ”อาจิ้งกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
เขาต้องสละของขวัญที่ได้มาในวันเกิดครบรอบ 11 ปีเพื่อให้พี่ใหญ่นำไปใช้ซื้อที่และบ้านหลังนี้
“ดี เช่นนั้นเรื่องสร้างบ้านท่านว่าอย่างไร ต้องใช้งบประมาณมากน้อยเพียงใด”นางถามเขาเพื่อเป็นการกระตุ้นเนื่องจากเห็นเขาเงียบไปนาน
“ข้าคิดว่าเจ้าไม่ได้กำลังสร้างบ้านหรอก นี่มันคฤหาสน์หลังย่อมๆชัดๆ”
“นั่นแหละ ต้องใช้งบประมาณเท่าใด”
“ข้าจะลองคำนวณคร่าวๆก็คงไม่ต่ำกว่า 300 ตำลึงหรอก ยังไม่รวมพวกเครื่องเรือนอีกต่างหาก”
“อืม แพงมากเลยนะ แต่ข้าคิดว่าพวกเรายังมีหนทางอยู่”นางพูดอย่างใช้ความคิด
“ลี่หลินเรื่องสร้างบ้านนี้พวกเราค่อยมาคุย หลังจากข้ากลับมาจากล่าสัตว์ก่อนแล้วกัน”หลี่ซือสรุปความ
เขาอยากลงมือรับประทานอาหารตรงหน้าแล้ว ฝีมือทำอาหารของนางช่างอร่อยกว่าที่เขาเคยลิ้มลองมาทั้งชีวิต เครื่องปรุงที่นางใช้นั่นช่างแสนวิเศษยิ่งนัก
“ข้าไม่อยากให้ท่านออกไปล่าสัตว์ มันจะไม่อันตรายเกินไปเหรอ”นางเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของเขาอย่างไม่รู้ตัว
“ข้าจำต้องไปเพราะมีผู้ไหว้วานให้ข้าช่วยหาหมูป่าให้ เขาจะให้เงินตั้ง 8 ตำลึง พวกเราจะมีข้าวสาร อาหารดีๆและมีค่ายาให้อาจิ้งด้วย”หลี่ซืออธิบาย
“เช่นนั้นข้ามอบให้ท่าน 10 ตำลึงทองเอาไว้ซื้อยาให้อาจิ้ง แล้วก็ถือเป็นการจ้างให้ท่านอยู่บ้านได้หรือไม่”
นางส่งสายตาอ้อนวอนเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะตระหนักว่าตนเองเพิ่งจ้องเขาเขม็งไป
เฮ้อ เกิดเป็นนางร้ายนี่ไม่ง่ายจริงๆ จะอ่อยผู้ชายสักหน่อยลูกตาดันจะถลนออกจากเบ้าอีก…
“ข้าสัญญาว่าจะปลอดภัยกลับมา”เขาส่งรอยยิ้มมาให้นางอย่างเสียไม่ได้
“เช่นนั้นก็ลงมือกินข้าวเถิด เดี๋ยวข้าจะทำเนื้อเค็มตากแห้งเป็นเสบียงให้ท่านเอาไปกินก็แล้วกัน”ลี่หลินไม่ดื้อดึงอีกต่อไป พูดจบก็ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารตรงหน้า
เวลาที่เขาไม่อยู่บ้านนางรู้สึกไม่ปลอดภัย ระหว่างที่รับประทานอาหารด้วยกัน นางพยายามจะเอื้อนเอ่ยคำนี้ออกไป
เพียงแต่ว่ามันติดอยู่ที่ลำคอไม่สามารถพูดออกไปได้ สุดท้ายก็ต้องกลืนลงคอไปพร้อมกับข้าวคำโต
