ตอนที่ 6 อดีตอันขมขื่น
ช่วงบ่ายลี่หลินตากผ้าทั้งหมดเสร็จแล้วก็นั่งพักเหนื่อย เข้าไปดูในห้องเห็นอาจิ้งยังหลับอยู่ นางจึงออกมาทำธุระส่วนตัวบ้าง
นางจึงซื้อสมุดและปากกาออกมาทำสิ่งที่นางชำนาญที่สุด นั่นก็คือการออกแบบสร้างบ้าน และบ้านหลังแรกที่นางต้องการสร้างก็คือ “บ้านหลังนี้”นั่นเอง
ขีดเขียนไปได้สักพักนางก็ต้องเปลี่ยนแบบใหม่ เพราะลืมตระหนักไปว่าหากทุบบ้านหลังนี้แล้วสร้างใหม่ พวกนางจะไปอาศัยอยู่ที่ไหนระหว่างนี้
พื้นที่ด้านหลังบ้านก็มีออกจะกว้างขวาง หากปรับหน้าพื้นดินให้เสมอกันแล้วสร้างบ้านใหม่ไปเลยน่าจะง่ายกว่า
ช่วงเวลาที่ช่างมาก่อสร้างบ้านนางจะได้ช่วยคุม และก็ได้ดูแลอาจิ้งไปด้วย นางไม่ได้อยู่ลำพังกับพวกเขาน่าจะไม่มีอะไรที่เสียหาย
บิดาของนางไม่ไยดีว่านางจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร ลู่กังไฉทำถึงขนาดไปขอหลักฐาน ในการแต่งงานของนางกับ หลี่ซือที่อำเภอด้วยตนเอง
ทั้งๆที่ไม่ใช่ธุระกงการใดๆของเขา พอได้มาแล้วก็จัดการทำหนังสือสัญญาตัดขาดกับนาง
เขาประกาศว่าต่อจากนี้ถือว่านางมิใช่คนในตระกูลลู่อีกต่อไป พร้อมกับตัดขาดนางออกไปจากชีวิต ทั้งๆที่นางยังมิได้ทำสิ่งใดผิดต่อครอบครัวเลย
ในความทรงจำที่ค่อยๆฟื้นกลับมา ลู่ลี่หลินก็ไม่ใช่สตรีร้ายกาจมาแต่เดิม ในวัยเด็กนางก็มีความคิดเช่นเด็กไร้เดียงสาทั่วๆไป
แต่เพราะตรรกะที่บิดเบี้ยวของครอบครัวทำให้ตัวของนาง กลายเป็นบุตรสาวที่ไม่เป็นที่รักใคร่ของบิดาและมารดาเท่าใด
ย้อนกลับไปในช่วงที่นางอายุได้ 12 ขวบ คืนหนึ่งน้องเล็กลู่ฟางซินที่มีอายุได้ 10 ขวบ ขึ้นไปเล่นซนที่โต๊ะทำงานของท่านพ่อ แล้วพลาดพลั้งทำชุดน้ำชาชุดโปรดของท่านพ่อแตก
นางหวาดกลัวว่าจะโดนทำโทษมาก จึงวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่และพี่รอง
พี่ใหญ่สตรีที่แสนดีได้ออกโรงปกป้องน้องสาวคนเล็กที่ยังไม่รู้ความ แต่ทว่าแผนการที่พี่ใหญ่แนะนำมานั้น เปลี่ยนชีวิตของลู่ลี่หลินไปตลอดกาล
ลู่ลี่หลินออกไปเล่นข้างนอกกับสหายสนิทพอกลับมาถึงบ้านก็เจอบิดายืนมองนางเขม็ง ในมือตั้งท่านถือไม้เรียวเตรียมลงโทษนางเต็มที่
นางถึงกับผงะถอยหลังออกไป คืนนั้นท่านพ่อตีนางจนนางสลบไปด้วยความเจ็บปวด โดยไม่ได้ไถ่ถามนางสักคำว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไร
กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งเต็มห้องนอน ไม่มีผู้ใดสนใจว่านางจะเป็นหรือจะตาย
นางต้องนอนอยู่นิ่งๆเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน ถึงจะเริ่มขยับตัวได้บ้าง เช้าวันถัดมานางก็ลุกขึ้นเดินไปห้องครัว รับประทานอาหารที่ท่านแม่เตรียมให้ทุกคนจนหมด
ลู่ลี่หลินเดินเข้าไปในห้องของพี่สาวทั้งสองคนที่ยังนอนหลับสนิท นางมองไปที่พวกเขาแล้วยิ้มอย่างชั่วร้าย
จากนั้นจัดการหยิบกรรไกรในลิ้นชักขึ้นมา ตัดแต่งทรงผมให้พี่สาวผู้เป็นที่รักของท่านพ่อและท่านแม่อย่างมีความสุข
นางจะไม่ยอมทนทุกข์ทรมานอยู่ผู้เดียวแน่ หากท่านพ่อทำโทษนางเพราะนางมีความผิดจริง นางจักยอมรับโทษโดยไม่บิดพริ้ว
แต่นี่นางไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย ในเมื่อท่านไม่ชอบให้ข้าเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทท่าน ข้าก็จะขอกลายเป็นลูกที่ชั่วร้ายดูบ้าง
เผื่อว่าพวกท่านจะให้ความรักและความเมตตาข้า เช่นพี่สาวทั้งสองคนและน้องสาวจอมเจ้าเล่ห์
จากนั้นนางก็เข้าไปในห้องของท่านแม่ จัดการกวาดเครื่องประดับและเงินทั้งหมด ไปฝังลงใต้ดินในบริเวณที่สวนหน้าบ้านสถานที่โปรดปรานของนาง
อาศัยช่วงเวลาที่พวกเขาไม่อยู่ทุบตีชุดน้ำชาทั้งหมดของบิดา จากนั้นก็กลับไปนอนไม่รู้ไม่ชี้ในห้อง รอดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ
นอนได้ครู่เดียวนางก็หลับไปด้วยความเหนื่อยล้าและจากพิษของบาดแผล
สวีอี้เหมยกลับมาจากทำธุระนอกบ้าน เห็นอาหารบนโต๊ะถูกรับประทานจนหมดก็มิได้โวยวาย ไม่รู้ว่าแมวขโมยตัวไหนมันกล้ามาขโมยอาหารกินและทำจานชามแตกไปหมด
นางรีบเก็บเศษข้าวของเหล่านั้นแล้วจัดแจงทำอาหารเพื่อให้สามีและลูกๆรับประทานใหม่
ต่อมาอีก 1 ชั่วยามลู่กังไฉก็กลับมา จากการออกไปเจรจาค้าผ้าไหมกับหุ้นส่วน ใช้เวลานานมากกว่าจะตกลงซื้อขายกันได้
ลู่กังไฉรู้สึกกระหายอยากดื่มน้ำชา จึงเดินเข้าไปในห้องเพื่อนำน้ำชาชุดโปรดออกมาใช้ ถึงจะเสียเวลานานแต่ว่าการค้าขายครั้งนี้ ทำกำไรให้เขาได้มากถึง 10 ตำลึง
วันนี้ต้องฉลองให้กับชัยชนะก้าวสำคัญก้าวนี้สักหน่อย แต่พอก้าวเข้าไปในห้องก็ต้องตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
“อ๊ากกกก”เศษชุดน้ำชากระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด มูลค่าของพวกมันรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ตำลึงเชียวนั่น แถมยังมีชุดที่ทำจากทองคำที่เขาสั่งทำพิเศษอีกด้วย
“หายไป หายไปที่ใดกัน?” เสียงเอะอะโวยวายในบ้านทำให้ลู่จางหลิงและลู่โจวหนี่ตื่นขึ้น
พวกนางสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างของตนเองจึงรีบวิ่งตรงไปที่กระจก
พอเห็นทรงผมที่เคยยาวสลวยกลายเป็นสั้นกุดเช่นนี้ สองพี่น้องจึงแผดเสียงร้องอย่างรับไม่ได้
ตระกูลลู่ทุกคนพอจะคาดเดาได้ว่าเกิดขึ้นเพราะฝีมือใคร ลู่ลี่หลินยังหลับอยู่และนางนอนเจ็บหนักมา 3 วันแล้ว
ตอนนี้บาดแผลตามตัวเริ่มส่งกลิ่นเหม็นออกมา สวีอี้เหมยเดินเข้าห้องมาหมายจะคาดโทษนาง แต่ก็มิอาจทำได้เพราะนางหลับไหลไม่ได้สติ
เมื่อร่างกายของลู่ลี่หลินส่งกลิ่นเหมือนซากศพ สวีอี้เหมยจึงจัดการลงมือทำแผลให้นางอย่างลวกๆ
ลู่กังไฉก็มิได้ห้ามปรามเนื่องจากรู้สึกเหม็นเต็มทน เขาไม่อยากให้นังเด็กนี่มานอนตายอยู่ที่บ้านเขาเช่นกัน
“เจ้าไปตามลู่ฟางซินมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะฆ่านางทิ้งเสีย”เขาพูดด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
สวีอี้เหมยตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว เนื่องจากฟางซินเพิ่งอายุได้ 10 ปี นางยังเล็กอยู่หากถูกตีหนักถึงเพียงนั้นจะเป็นอย่างไร
“ข้าจะยอมให้ท่านซื้อชุดน้ำชาใหม่อีก 2 ชุด แต่ว่าอย่าลงโทษฟางซินเลย นางยังเด็กไม่รู้ความ ทำผิดพลาดไปบ้างท่านก็ต้องให้อภัยลูก”นางเจรจาต่อรอง
ณ ช่วงเวลานั้นลี่หลินตระหนักได้แล้วว่า ท่านแม่มิได้เกรงกลัวท่านพ่อแต่อย่างใด นางกล้าเอ่ยปากห้ามปรามไม่ให้เขาลงโทษน้องเล็กทันที
แต่พอถึวคราวท่านพ่อลงโทษตบตีนาง ท่านแม่กลับไม่เคยปกป้องนางบ้าง หรือว่าแท้จริงแล้วท่านแม่ไม่เคยคิดว่านางเป็นบุตรสาวของท่านแม่เลย
พอได้คำตอบจากเหตุการณ์ตรงหน้า เสียงบางอย่างในหัวของนางขาดผลึ่ง เยื่อใยและความหวังที่นางจะกลับมาเป็นที่รักของคนในครอบครัวจบลงแล้ว
และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของวีรกรรมต่างๆที่สตรีร้ายกาจอย่างลี่หลินทำ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากบิดาและมารดา
ความทรงจำนี้ทำให้มะลิที่อยู่ในร่างลี่หลินตระหนักแล้วว่า ปิศาจไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแต่มันถูกสร้างโดยน้ำมือของใครสักคนต่างหาก แล้วปิศาจตนนั้นก็กำลังถือถุงสมบัติที่ภายในบรรจุกาน้ำชาทองคำของบิดา และเครื่องประดับมีค่าต่างๆของมารดาอยู่
นางบรรจงใส่เครื่องประดับต่างๆขายไปมากกว่า 3 ชิ้น ไม่ทันไรระบบก็ให้นางเลื่อนขั้นเป็น Level 3 ต้องจ่ายค่าเลื่อนขั้น 400 ก้อนทอง เพิ่มมาจาก Level 2 ตั้ง 100 ก้อนทอง จะอิดออดไม่ยอมจ่ายก็ไม่ได้อีก
หากไม่รู้อะไรนางคงคิดว่าระบบนี่ร้อนเงินน่าดูเลย มองดูบัญชีของนางมีเงินอยู่ประมาณ 27,356 หยวนแล้ว ส่วนก้อนทองหักค่าใช้จ่ายต่างๆ คงเหลือ 2,000 ก้อนทอง
ก้อนทองที่นางให้หลี่ซือไปแลกนั้น อยู่ในส่วนของก้อนทองเริ่มต้นของนาง 250 ก้อนที่ได้มาจากระบบ
จำนวนเงินที่ใช้ในการเลื่อนขั้นในแต่ละเลเวลสูงขึ้นเรื่อยๆ
ใน Level 4 นางต้องจ่ายถึง 600 ก้อนทอง 1000 ก้อนทอง และ 1500 ก้อนทองตามลำดับ ถือว่าเป็นจำนวนที่แพงมหาศาล
หากต้องการแลกเปลี่ยนเงินเป็นก้อนทอง เงิน 3,500 หยวนสามารถแลกเป็นก้อนทองได้ 1 ก้อน
แต่ในทางกลับกันไม่สามารถนำก้อนทองมาขายเป็นเงินหยวนได้ ระบบไม่ได้รองรับการแลกเปลี่ยนตรงนี้
หากอยากแลกเปลี่ยนจริงๆก็จะมีตลาดมืดที่สามารถจัดหาสิ่งเหล่านี้ได้
แลกก้อนทองกับของที่อยากได้ตามที่ตกลงกันไว้ แต่หากเป็นมือใหม่ยังไม่รู้จักใคร นางคิดว่าไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับตลาดพวกนี้
“ถ้าเย็นนี้หลี่ซือกลับมาข้าจะปรึกษาเขาเรื่องสร้างบ้านสักหน่อย”
นางเปิดดูหน้าวัสดุก่อสร้างบ้านแล้วรู้สึกคันไม้คันมือยิ่งนัก อยากจะช้อปปิ้งอุปกรณ์พวกนี้เร็วๆจังเลย
การสร้างบ้านต้องใช้แรงงานคนจำนวนมาก หลี่ซือน่าจะรู้จักคนมากพอสมควร ถึงแม้คนที่เขารู้จักปฏิเสธที่จะพูดว่ารู้จักเขาก็มีมากกว่าครึ่ง
เพราะอะไรหนะเหรอ เพราะว่าเขายากจนมากอย่างไรเล่า ไม่มีผู้ใดอยากคบค้าสมาคมกับคนที่ไม่มีแม้ข้าวจะกินหรอก
แต่ยามที่ยากจนนี่แหละที่เราจะเห็นน้ำใจของคนได้ชัดเจน อย่างน้อยครอบครัวตระกูลหยางก็มีน้ำใจกับนาง
ถือว่าเป็นครอบครัวที่ไม่เลวเลย เอาไว้หากนางลืมตาอ้าปากได้นางจะตอบแทนพวกเขาอย่างถึงที่สุด
คิดได้ดังนั้นแล้วนางก็ก้มหน้าลงขีดๆเขียนๆวาดแบบบ้านที่นางต้องการต่อไป อย่างน้อยนี่ก็เป็นงานที่นางถนัด ทำแล้วไม่ลืมว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน
